เรื่องที่ ๑๕๑เกือบไม่รอด
ตัวลอยไปกระแทกกระจกหน้ารถ ศีรษะชนบนฝากระโปรงรถ จนบุบเป็นรอยศีรษะ แล้วจึงกระดอนไปนอนสลบแน่นิ่งอยู่กลางถนน ชักกระตุกครู่หนึ่งแล้วเงียบไป
คุณวศิน อุบลรััศมี อายุ ๓๑ ปี รับราชการที่สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ เล่าว่า เพื่อนได้ชวนมาวัดพระธรรมกายตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๑ รู้สึกประทับใจความสงบสำรวมของพระภิกษุสงฆ์ และความสะอาดร่มรื่น ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพิธีต่างๆ สาธุชนที่มาร่วมงานยิ้มแย้มแจ่มใส พูดกันแต่สิ่งดีๆ เห็นแล้วรู้สึกสบายใจ ที่รู้สึกพอใจเป็นพิเศษคือคนส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น พวกเขาพากันมาวัดเพื่อมาสร้างความดี เห็นแล้วเป็นตัวอย่างทำให้อยากปฏิบัติตาม
เพื่อนของน้องชายชื่อพงษ์ศักดิ์ช่วยรับบุญฝ่ายจราจรของวัด ได้ชวนคุณวศินและน้องชายร่วมรับบุญนี้ด้วยกัน จึงได้ช่วยงานเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครแผนกจราจรอยู่จนถึงปัจจุบัน พร้อมกับได้รับบุญอื่นๆ เช่น เป็นผู้นำบุญชักชวนผู้คนสร้างคนดี สร้างพระธรรมกายประจำตัว สร้างพระบนโดม สร้างพระแกนกลาง และร่วมสร้างมหาวิหารพระมงคลเทพมุนี สภาธรรมกายสากล ฯลฯ
เหตุการณ์ที่ได้พบอานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ เป็นวันเสาร์ที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ ไปทำงานตามปกติ ตอนบ่ายรู้สึกปวดหัวไม่สบาย จึงเลิกทำงาน ไปขอพักที่บ้านเพื่อนใกล้ที่ทำงาน รับประทานยา แล้วขอนอนค้างคืนที่นั่น ตอนเช้าออกจากบ้านเพื่อนเวลา ๖.๓๐ น. เพื่อเดินทางกลับบ้าน เพราะมีนัดต้องไปธุระที่จังหวัดปราจีนบุรี
ระหว่างเดินทางกลับบ้านที่บางบัวทอง จำได้แค่เพียงนั่งรถประจำทางอยู่ จากนั้นจำอะไรไม่ได้มารู้ตัวอีกครั้ง อยู่ที่โรงพยาบาลรัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี คุณพ่อมานั่งเฝ้าอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. ท่านบอกว่าคุณวศินถูกรถชน สลบไม่รู้สึกตัวมา ๙ วันแล้ว จากนั้นรักษาตัวอีกเพียง ๕ วัน คุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้แจ้งว่าหายแล้ว
หลังจากนั้นได้มีคนขับรถตู้ที่เห็นเหตุการณ์ ได้กรุณาพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลบางบัวทองในเวลา ๘.๓๐ น. เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เล่าว่า เห็นคุณวศินเอาศีรษะโขกที่นอน ลักษณะปวดหัวมาก เพราะแพทย์ต้องรอคำอนุญาตจากญาติ กว่าญาติจะทราบเรื่องเป็นเวลาถึง ๑๔.๐๐ น.
เพื่อนที่มาเยี่ยมเล่าอาการที่เห็นว่า ใบหน้าบวมใหญ่มาก บวมจนทำให้หูกาง แก้มด้านขวาเขียวช้ำ ตรงบ
ริเวณหูถึงท้ายทอยก็เขียวช้ำ หน้าผากมีรอยบุบ ขอบตาเขียว นัยน์ตาเป็นสีเลือด ทุกคนจำไม่ได้และต่างคิดตรงกันว่าไม่รอด ต้องตายอย่างแน่นอน ขนาดคนป่วยที่อยู่เตียงข้างๆ ๒ เตียงอาการไม่หนักเท่านี้ยังตายหมด
วันที่สองเพื่อนๆ ชาววัดมาเยี่ยม คนป่วยจำใครไม่ได้ เพื่อนคนหนึ่งได้นำพระมหาสิริราชธาตุซึ่งคุณวศินทำบุญสร้างองค์พระไว้ แต่ยังไม่ได้รับ นำมาใส่ไว้ในมือคนเจ็บพร้อมกับพูดว่า "ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องผ่าตัด เดี๋ยวก็หาย หลวงพ่อมาช่วยแล้ว"
คนป่วยพนมมือรับองค์พระ แล้วกล่าวคำว่า "สาธุ" ได้ ทั้งๆ ที่จำไม่ได้ว่าทำอะไร นำองค์พระวางไว้ที่หน้าอกของตนเองแล้วก็หลับสนิท ญาติๆ เล่าว่าจากวันที่ได้รับพระมหาสิริราชธาตุมาแล้ว คนเจ็บลุกขึ้นมาคุยได้มากกว่าวันก่อนๆ เมื่ออยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. ครบ ๓ วัน คุณหมอให้สารละลายเลือดคั่งในสมองตามวิธีการรักษา และแจ้งว่าไม่ต้องผ่าสมองแล้ว ไม่มีเลือดคั่งเหลืออยู่อีกเลย ให้ออกจากห้องป่วยหนักไปพักที่ห้องธรรมดาได้
วันที่ ๒๖ ตุลาคม คุณหมอแจ้งว่าหายเป็นปกติแล้ว ให้กลับบ้านได้ เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่าจะหายได้อย่างรวดเร็ว ในเมื่อคำบันทึกของคุณหมอบอกถึงอาการสาหัสว่า "อุบัติเหตุทางจราจร บาดแผลฟกช้ำหลายแห่งที่ศีรษะ ใบหน้า คอด้านขวา และตามร่างกาย สมองด้านซ้ายช้ำ กระโหลกศีรษะแตก มีเลือดคั่งในเนื้อสมองด้านหน้า ด้านขวามีอาการปวดศีรษะ และมึนซึมมาก"
วันที่ออกจากโรงพยาบาล ไม่มีอาการเหล่านี้เหลืออยู่เลย ไม่มีเลือดคั่ง กระโหลกศีรษะเป็นปกติ ไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นใดที่เป็นอันตราย เหลือเพียงรอยฟกช้ำเล็กน้อย และหายภายใน ๑๔ วัน เป็นอัศจรรย์ คุณวศินรอดชีวิตมาได้ เพราะบุญที่ได้กระทำตลอดมากว่า ๑๐ ปี และอานุภาพพระมหาสิริราชธาตุอย่างแน่นอน ทำให้มีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างบารมีต่อไป
รายนี้ ความจริงก็เป็นอย่างที่เจ้าตัวคิด เพราะได้สั่งสมบุญไว้ตลอดมากว่าสิบปี เมื่อมีกรรมเก่าฝ่ายอกุศลมาตัดรอนทำให้ถึงสิ้นชีวิต อาจจะเป็นเวรปาณาติบาต ทุบศีรษะ หรือทุบเนื้อตัวสัตว์เอาไว้ แต่เนื่องจากบุญจากการช่วยงานจราจรของวัดและทานกุศลอื่นๆ การรักษาศีล และการเจริญภาวนาที่เป็นกุศลกรรมมาอุปถัมภ์ตัดรอนอกุศลวิบากได้ทันเวลา กรรมหนักถึงชีวิตจึงกลายเป็นเบา เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บ
เมื่อมีอำนาจพุทธานุภาพขององค์พระมหาสิริราชธาตุ ก็ยิ่งเพิ่มกระแสพลังบุญให้หายเร็วยิ่งขึ้น ที่สันนิษฐานว่ากรรมเก่าตามทัน เพราะคงเคยทุบตีให้อีกฝ่ายปวดศีรษะไว้ กรรมจึงบันดาลให้เริ่มต้นด้วยการปวดศีรษะจนกลับบ้านไม่ได้ ถ้ากลับบ้านได้ย่อมไม่พบรถปิคอัพคู่กรรม ครั้นนั่งรถประจำทางมาถึงหมู่บ้าน รถคู่กรรมยังมาไม่ถึง กรรมก็บีบให้คุณวศินเผลอสตินั่งรถเลยหมู่บ้านตนเองไป ทำให้ต้องย้อนกลับมาพอดีเวลาเกิดเหตุ เรียกว่ากรรมจัดสรรไว้จริงๆ แต่บังเอิญเจ้าตัวสั่งสมกุศลกรรมไว้กว่าสิบปี เท่ากับบุญเป็นผู้ช่วยเหลืออย่างดียิ่ง
คนเราทุกคนมีบาปกรรมเก่าในอดีตติดตัวมาทั้งสิ้น เพราะเราเกิดกันมานับชาติไม่ถ้วน กรรมที่ยังตามส่งผลไม่ทันมีอยู่อีกมาก คนไม่ประมาทในชีวิตย่อมคิดคำนึงถึงเรื่องนี้ แล้วพยายามสร้างสมกรรมดีรุดหน้าไปอย่างเดียว กรรมชั่วแม้น้อยนิดก็ไม่ยอมแตะต้อง นอกจากผลบุญจะช่วยตัดรอนผลบาปกรรมที่หนักให้เบา และที่เบาให้หายไปได้แล้ว ก็ยังมีผลบุญใหม่สั่งสมไปใช้เบื้องหน้า เป็นที่น่าอุ่นใจในวัฎสงสารของตน