ทบทวนบุญ
เรื่อง : พระสมศักดิ์ จนฺทสีโล
จะเป็นใคร ... ถ้าไม่ใช่
"อุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน"
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า "อุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน" คือ บุคคลสำคัญที่จะร่วมกันสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ให้เกิดขึ้นแก่ประเทศชาติและสังคมโลกในยุคนี้ ที่ถือว่าเป็นยุค Change the World และกำลังจะเป็นต้นแบบที่จะนำสังคมให้ก้าวเดินไปสู่สันติสุขที่แท้จริง เพราะไม่น่าเชื่อเลยว่า นับตั้งแต่ยุคโบราณ จนมาถึงยุคปัจจุบัน แม้มนุษย์จะคิดค้นและสร้างวิวัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี แต่กลับปรากฏว่า ยิ่งมีความเจริญทางด้านวัตถุมากขึ้นเพียงใด ความเจริญทางด้านจิตใจกลับยิ่งตกต่ำลงอย่างชัดเจน แต่บัดนี้ โลกกำลังมีคลื่นแห่งความดียุคใหม่ นั่นคือ อุบาสิกาแก้ว ผู้ปฏิบัติตามทางสายกลาง คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ผู้กอปรด้วยคุณธรรม ความมีศีล ๘ เป็นอาภรณ์ ประดับกาย วาจา ใจ งดงามและบริสุทธิ์ประดุจดอกไม้แรกแย้ม แม้กายภายนอกก็สว่างสดใส ด้วยอานุภาพแห่งศีล และกายภายในก็เป็นหน่อเนื้อแห่งพุทธะ เป็นกายแก้วภายในที่สุกใสสว่างด้วยอำนาจแห่งศีล สมาธิ และปัญญา และกอปรด้วยอุดมการณ์มุ่งมั่น ที่จะช่วยกันสืบสานจรรโลงพระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน
แม้วันบวชก็ดังกึกก้องกังวานไกล
ภาพแห่งความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือนและยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งในแผ่นดินไทยและในชีวิตของแต่ละคน นั่นก็คือ ภาพสตรีผู้มีศีลแต่งกายด้วย ชุดขาวบริสุทธิ์ในนามอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ได้ไปพร้อมเพรียงกันเพื่อกล่าวคำขอศีล เพื่อจะยกตนเข้า สู่ความเป็นอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนรุ่นประวัติศาสตร์ กว่าล้านคนทั่วโลก ณ ลานธรรม มหาธรรมกายเจดีย์ จนพระศีลาจารย์ คือ พระธรรมกิตติวงศ์ได้กล่าวให้โอวาทด้วยความชื่นชมตอนหนึ่งว่า
"วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ของพระพุทธ-ศาสนา ท่านทั้งหลายได้มาประชุมรวมกัน ได้เข้าร่วม พิธี ได้เปล่งวาจาให้พระสงฆ์ได้รับรู้รับทราบว่าเป็นอุบาสิกาผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย เสียงที่ท่านทั้งหลาย ได้เปล่งวาจาขอบวชและขอศีลดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ มิใช่เฉพาะในบริเวณนี้เท่านั้น แต่ดังกึกก้องไปทั่วโลก ทั่วจักรวาล ดังไปถึงพรหมโลก เหล่าเทพยดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ย่อมได้ยิน เพราะนี่เป็นเสียงแห่งบุญ เป็นเสียงแห่งจิตใจล้านดวงที่เป็นหนึ่งเดียว มีพลัง มีอานุภาพมาก สามารถที่จะดังกึกก้องไปทั่วจักรวาล ดังที่กล่าวมา ท่านเหล่านั้นก็จะได้อนุโมทนากับท่าน ทั้งหลาย และจะได้บันทึกไว้ว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย เป็นอุบาสิกาแก้วในพระพุทธศาสนา"
ชีวิตของนักบวชสตรี ที่เริ่มต้นจากความไม่เคย
มีอุบาสิกาแก้วไม่น้อยที่เปิดเผยว่าตนเองเพิ่งเข้าร่วมโครงการบวชเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเข้ามาร่วม เป็นหนึ่งในโครงการแล้ว แม้จะต้องปรับตัวและร่วม กิจกรรมต่าง ๆ ก็ตาม ก็รู้สึกว่าถูกอัธยาศัย เพราะ ไม่เพียงมีการนั่งสมาธิอย่างเดียว แต่ก็ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำให้มีการเปลี่ยนอิริยาบถ และรู้สึกปลาบ ปลื้มกับบุญทุกบุญที่ได้มีส่วนร่วม ดังเช่นอุบาสิกา แก้วท่านหนึ่งเล่าว่า
"ดิฉันได้เข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ รู้สึกมีความสุขมากที่ได้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ถวายภัตตาหารพระ พัฒนาและทำความสะอาดวัด ดิฉันรู้สึกปลื้มปีติใจอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ ทุกเวลา ที่อยู่ในโครงการ เป็นช่วงเวลาที่แสนจะมีคุณค่า ยิ่ง ช่วงเวลานั่งสมาธิ เป็นช่วงเวลาที่ดิฉันไม่อยากจะให้ หมดเลยค่ะ"
ขณะที่อุบาสิกาแก้วบางท่านเล่าถึงการปฏิบัติธรรมอีกว่า
"ดิฉันไม่เคยฝึกนั่งสมาธิเลย เพิ่งมีโอกาสนั่งหลับตาก็ตอนมาบวชอุบาสิกาแก้วครั้งนี้เป็นครั้งแรก ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่า การนั่งหลับตาธรรมดาไม่นาน เท่าไร จะทำให้เรามีความสุขมากกว่าช่วงลืมตาทั้งชีวิต ตอนเริ่มนั่งสมาธิ ดิฉันก็ทำตามที่พระอาจารย์ สอน ไม่นึกไม่คิดอะไร ทำใจสบาย ๆ โล่ง ๆ นั่งไป เรื่อยๆ สักพักก็รู้สึกร่างกายเบาหวิวคล้ายปุยนุ่น เบา จนเหมือนไม่มีร่างกาย แล้วจู่ ๆ ก็มีองค์พระแว้บมานั่งที่ตักของดิฉัน องค์ท่านใสมากมองได้ทะลุปรุโปร่ง และมีแสงสว่างออกมารอบตัว สักพักองค์พระก็ขยายใหญ่ขนาดเท่าตัวดิฉัน ดิฉันมีความสุขมากจนน้ำตาแห่งความปลื้มปีติเอ่อล้นออกมา นึกภาคภูมิใจเหลือเกินที่เราได้มาบวชอุบาสิกาแก้วครั้งนี้"
ใครทำใครรู้...ใครปฏิบัติย่อมเข้าถึง
ประสบการณ์ภายในจิตใจที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม แม้จะนำมาเล่าและอธิบายให้บุคคลอื่นได้รับรู้ แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะความรู้สึกสัมผัสและการเข้าถึง เป็นสิ่งที่บุคคลนั้นจะรู้สึกได้ด้วยตนเอง ดังเช่นอุบาสิกาแก้วท่านหนึ่งเล่าถึงประสบการณ์ภายในจิตใจของตนเองว่า
"ดิฉันมาบวชรุ่นแรกและรุ่นล้าน ปกติดิฉันเป็นคนใจบุญและชอบไปสวดมนต์ที่วัดเป็นประจำตลอด ๕ ปี เคยนั่งสมาธิครั้งแรก นั่งเฉย ๆ อยู่ ๆ ก็เห็นแสงสว่างข้างหน้า วันต่อมาก็เห็นแสงสว่างที่กลางท้อง พอนั่งไปเรื่อย ๆ ก็เห็นเป็นดวงแก้วและองค์พระใส ดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อน จึงแปลกใจแล้วไปเล่าให้สามีฟังว่า นั่งสมาธิแล้วทำไมเห็นเป็นดวงแก้ว เป็นองค์พระ สามีก็บอกว่า "บ้าไปแล้ว คนอื่นไม่มีใครเคยเห็นเลย คิดไปเองหรือเปล่า" ทำให้ ดิฉันกลัวและไม่ค่อยกล้านั่ง แต่ก็แปลกใจว่า ทำไม นั่งทุกครั้งแล้วมีความสุขทุกครั้ง อย่างนี้จะเรียกว่าบ้าได้อย่างไร ดิฉันเลยไปถามหลวงพี่ที่วัด ท่านก็ตอบว่าดีแล้ว จากนั้นดิฉันก็ไม่สนใจใครแล้ว ใครจะ ว่าบ้าก็ยอมบ้า เพราะบ้าแล้วมีความสุข เห็นอย่างนี้ มาเกือบ ๕ ปีแล้ว ใคร ๆ เห็นดิฉันก็จะถามว่าไปทำอะไรมา ทำไมดูสวยจังและยังสาวอยู่เลย จนดิฉันได้เข้ามาบวชรุ่นนี้ ผลการปฏิบัติธรรมก็ก้าวหน้า กว่าเดิม เพราะนั่งทุกครั้งก็จะเห็นองค์พระชัดใสสว่าง ทุกครั้ง"
คำบอกเล่านี้ สมดังบทสวดมนต์สรรเสริญพระธรรมคุณที่ว่า ธรรมะเป็น สวากขาโต ภควตาธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาในตน และปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน ดังนี้