นานเท่าไรแล้ว.. ที่เราต้องเหนื่อยล้าจากการทำงานเกือบทุกวัน
นานเท่าไรแล้ว.. ที่เราได้ให้เวลากับสิ่งรอบตัวอย่างมากมาย
และต้องให้เวลากับคนรอบข้าง จนลืมวันเวลาที่น่าจะมีสำหรับตัวเอง
จะมีสักวันไหมหนอ ที่ชีวิตของเราไม่ต้องขึ้นกับใครเลย
ไม่ต้องขึ้นกับอะไรทั้งสิ้น เป็นวันที่ปลอดกังวล เป็นวันที่เราให้เวลากับตัวเองอย่างแท้จริง เป็นเวลาแห่งความสุขล้วนๆ ที่เราจะหลุดจากพันธนาการทั้งมวล และเป็นวันที่เราได้พักใจ เพื่อให้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงของชีวิต...
จากบทความข้างต้น ทำให้เรานึกถึงแพทย์หญิงคนหนึ่ง ที่จะมาให้แง่มุมเกี่ยวกับความรู้สึกตรงนี้ได้ดี เพราะเธอเป็นผู้ที่สามารถจัดวิถีชีวิตเข้าสู่ระบบแห่งความสุข โดยแบ่งเวลาได้อย่างสมดุลไปพร้อมกับปฏิบัติภาระกิจหน้าที่การงาน อีกทั้งยังแบ่งเวลาที่จะนำพาตัวเองให้มาเข้าถึงความสุขที่แท้จริงของชีวิตในวันสุดสัปดาห์ จนสามารถพูดได้เลยว่า วันอาทิตย์เป็นวันที่ดีที่สุดของเธอ...
แพทย์หญิงสุภาภรณ์ แสงวิโรจนพัฒน์ หรือ หมอสุ เธอเป็นคนที่เราเห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงของเธอมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนิสิตแพทย์จุฬาฯปี ๑ ปัจจุบันเธอได้เปิดคลีนิกของตัวเองที่มีชื่อว่า คลินิกเวชกรรมธรรมธร แถวตำบลคลองสาม
"การมาวัดในสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์เปรียบเสมือนเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนรู้ และได้มาเห็นต้นแบบที่ถูกต้องดีงาม โดยมีพระอาจารย์สอนและแนะนำจนสุเข้าใจและซึมซับสิ่งดีงามนี้เข้าไปเรื่อยๆ จนทำให้สามารถฝึกฝนตัวเองได้ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งความคิด คำพูดและการกระทำ จนสุถูกหล่อหลอมให้เป็นคนดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะสุเองคิดว่า คนเราจะเก่งอย่างเดียวไม่พอ เราต้องดีด้วย เพราะความสามารถ ความเก่งถึงจะมีมากสักเพียงใด ก็จะพัฒนาถึงจุดที่ดีที่สุดไม่ได้เลย หากไม่มีความดีไม่มีศีลธรรม และในทางกลับกันหากคนเรามีศีลธรรม ศีลธรรมจะทำให้สามารถก้าวสู่ความสำเร็จในชีวิตที่ยิ่งใหญ่อย่างมั่นคง"
เธอเป็นคนสนใจทางด้านพุทธศาสนาตั้งแต่ยังเล็กๆ จนกระทั่งได้มารู้จักวัดพระธรรมกาย และได้ทุ่มเททำกิจกรรมชมรมพุทธควบคู่กับการเรียน
"ในช่วงนั้น..ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน สุจะพยายามทำใจให้อยู่ในบุญตลอดเวลา ตื่นนอนตี ๕ ออกจากบ้าน ๖ โมงเช้า มาถึงจุฬาฯ ๗ โมง จะมาที่ชมรมพุทธ ปัดกวาดเช็ดถูชมรม จัดดอกบัว เตรียมอาสนะ สวดมนต์ทำวัตร เล่าธรรมะ พอ๘ โมงรีบเดินข้ามฟากไปคณะแพทย์เพื่อเข้าเรียน พอตอนกลางวันก็กลับมาชมรม พอบ่ายโมงก็วิ่งข้ามฟากไปเรียนต่อที่คณะแพทย์อีก บางวันกินข้าวมื้อเดียว เพราะเวลาไม่ทัน แต่อาศัยที่ว่าสุดื่มนมดื่มปานะเอา พอถึงตอนเย็นเลิกเรียนแล้ว สุก็วิ่งกลับมาชมรมอีก มาสวดมนต์นั่งสมาธิประชุมงานบุญของชมรม กว่าจะกลับจากชมรม ภารโรงก็ต้องมาคอยเตือนว่าจะปิดตึกแล้วทุกที และเมื่อกลับถึงบ้าน สุก็ต้องโทรชวนคนมาอบรมธรรมทายาทอีก ๕-๑๐ คน โทรจน ๕ทุม จากนั้นอ่านหนังสือเรียนก่อนจะเข้านอน สุต้องทำกิจกรรมอย่างหนัก เรียนก็ต้องเรียนอย่างเต็มที่ แม้ในช่วงสอบสุก็ต้องอ่านหนังสือจนแทบไม่ได้นอนติดต่อกันหลายคืน แต่พอถึงวันอาทิตย์ทีไร สุก็ไม่ขาดในการมาวัด ช่วงที่ทำกิจกรรมชมรมพุทธ สุคิดว่า ทุกนาทีเป็นนาทีที่มีคุณค่า เป็นนาทีที่บุญเกิดตลอดเวลา ตอนนั้นยอมรับค่ะว่า..เหนื่อยมาก แต่แม้เหนื่อยกาย แต่ก็ไม่เคยเหนื่อยใจเลย
ครั้นเมื่อสุเรียนจบ สุจะต้องไปใช้ทุนนักเรียนแพทย์ถึงจังหวัดสกลนครและปราจีนบุรี แม้ระยะทางจะไกลขึ้น การเดินทางมาวัดก็ค่อนข้างลำบากขึ้น เพราะไม่สะดวกเรื่องรถ สุก็ไม่เคยขาดการมาวัดวันอาทิตย์เลย หรือบ่อยครั้งที่สุต้องทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ และต้องอยู่เวรทำให้อดนอนติดต่อกันหลายคืน แต่เมื่อถึงวันอาทิตย์ สุก็ต้องมาวัด คือไม่ว่าสุจะไปทำอะไรก็ตาม สุจะถือเอาวันอาทิตย์ไว้เป็นหลัก ว่ายังไงสุก็ต้องมาวัด และบุญจากการทุ่มเทในการมาวัดอย่างนี้นี่เอง ทำให้สุเป็นคนที่สามารถหาทรัพย์มาได้ง่ายๆ และทุกอย่างในชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น"
ไม่เพียงชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น ที่เธอได้จากการมาวัดทุกวันอาทิตย์ และยังทำให้เธอเข้าใจแก่นแท้ของชีวิต มากไปกว่านั้นธรรมะยังบ่มให้เธอเป็นผู้ให้ คิดสอนตนเองได้ และรู้ว่าสิ่งใด คือ หน้าที่ที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์ !!!
"บางคนอยากสวย ก็จะเข้าสปา บางคนอยากดูดีแข็งแรง ก็ไปเข้า Fitness บางคนอยากร่ำรวย ก็ขยันทำงานมากๆ แต่สุว่าหากเราอยากได้ทุกอย่าง ทั้งความหล่อสวย รวย ฉลาด สามปรารถนาแล้วล่ะก็ เราต้องมาวัด มาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะรักษาใจให้ใสตลอดช่วงเวลาทำงานในแต่ละวัน อย่างสุเอง หากมีช่วงว่างปุ๊บ สุก็จะนั่งทำสมาธิทันที คือ รวมๆแล้ววันหนึ่ง สุจะนั่งสมาธิไม่ต่ำกว่าวันละ ๔ ชั่วโมง ซึ่งพอสุนั่งมากๆ ใจมันมีความสุขมาก จนรู้สึกว่าความสุขภายในที่เกิดขึ้นอย่างนี้ จะเก็บไว้คนเดียวไม่ได้แล้ว สุอยากให้คนอื่นพบความสุขอย่างนี้บ้าง ก็เลยไปทำหน้าที่เปิดบ้านกัลยาณมิตร โดยการไปเคาะประตูตามบ้านแม้สุไม่รู้จัก และก็แนะนำให้เขาสวดมนต์ทำสมาธิ ตอนนั้นไปเคาะตามบ้านได้วันละ ๓๐-๔๐ หลัง แต่รู้สึกว่าได้น้อยมากจึงคิดวิธีการใหม่ โดยการเปิดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตามวัดต่างจังหวัด และแนะนำให้คนไข้เปิดบ้านกัลยาณมิตร ซึ่งได้ช่วยกันทำกับเพื่อนแพทย์ และกลุ่มกัลยาณมิตรในจังหวัดที่มีอุดมการณ์และเป้าหมายเดียวกัน จนสามารถเปิดบ้านได้พันกว่าหลัง
การที่สุได้มารู้จักวัด ได้มาทำหน้าที่กัลยาณมิตรโดยตลอด มารู้จักการสร้างบารมีอย่างนี้ เพราะวัดให้คำตอบที่ใช่สำหรับชีวิต และที่สุมาวัดวันอาทิตย์ ก็เพื่อตัวสุเอง บางคนอาจเข้าใจว่า การมาวัดเป็นการเอาตัวรอด เป็นการเห็นแก่ตัว ซึ่งหากมาทำความเข้าใจกันจริงๆ จะพบว่าไม่ใช่เลย เพราะสุมาวัด สุได้มาฝึกตัวเองให้พร้อมจะเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้ด้วย วัดทำให้สุค้นพบขุมทรัพย์ของชีวิต เพราะทำให้สุรู้ว่าจะทำอย่างไร ให้พบความสุขความสำเร็จในชีวิต
แล้วอีกอย่างการมาวัดวันอาทิตย์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเปิดโอกาสให้ทุกคนได้สร้างบุญอย่างเต็มกำลังทุกบุญ และเป็นการทำให้ได้บุญพิเศษเพิ่มอีกอย่างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว คือภาพของเราที่ไปปรากฏรวมกับคนหมู่มากที่พร้อมใจกันมานั่งสมาธิเยอะๆ จะเป็นภาพที่มีพลังเพียงพอที่จะไปสร้างแรงบันดาลใจอันไม่มีประมาณให้กับผู้พบเห็นเวลาใครมาเห็นภาพนี้ |
|
เขาจะสงสัยว่าพวกเรามา ทำอะไรกัน พอเขารู้ว่าพวกเรามานั่งสมาธิ มาแสวงหาความสุขที่แท้จริงของชีวิต เขาก็จะสนใจและอยากทำตามซึ่งการดูดาวธรรมอย่างเดียวที่บ้านทำไม่ได้ สุจึงถือเอาวันอาทิตย์ เป็นวันที่ดีที่สุดในรอบสัปดาห์ ที่สุจะได้มาพักกายพักใจ เป็นวันที่ปลอดกังวล เป็นวันที่สุได้ให้เวลากับตัวเองอย่างแท้จริง และเป็นเวลาแห่งความสุขล้วนๆ ที่สุจะหลุดจากพันธนาการทั้งมวล โดยการทำสมาธิภายใต้บรรยากาศรอบข้างที่เอื่ออำนวย เพื่อให้สุเข้าถึงความสุขที่แท้จริงของชีวิต...
ซึ่งสุเองได้สังเกตพบว่า เวลาสุนั่งดูดาวธรรมอยู่คนเดียวที่บ้าน พลังของการนั่งคนเดียวนั้นไม่ยิ่งใหญ่ ไม่มีอานุภาพที่เข้มแข็งเพียงพอที่จะทำให้อยู่กับสมาธิและการฟังธรรมได้อย่างตลอดต่อเนื่อง แต่การมาวัดวันอาทิตย์ เป็นพลังหมู่มากของการที่คนมารวมตัวเพื่อทำความดีพร้อมๆกัน จะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งเพียงพอ ที่จะทำให้ทุกคนนั่งสมาธิ ฟังธรรมได้จนจบโดยไม่อยากลุกไปไหน...
แล้วที่สำคัญการมาวัดทุกวันอาทิตย์ เหมือนเป็นการมาชาร์ทแบตเตอรี่ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อโดยตรง ซึ่งการใกล้ชิดครูบาอาจารย์อย่างนี้ ผลการปฏิบัติธรรมก็จะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างไม่คาดคิด อีกทั้งใจก็จะเข้มแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติไปเอง เพราะโดยปกติมนุษย์แทบทุกคนมักจะต้องเจอกับปัญหา เมื่อเจอปัญหามารุมเร้ามากๆ ก็เปรียบเสมือนกับกลุ่มด้ายที่ยุ่งเหยิงพันกันไว้ โดยที่ไม่สามารถแก้มันได้ แต่หากฝึกสมาธิ สมาธิจะทำให้ใจเรารับกับปัญหาได้อย่างสุขุมชาญฉลาด เปรียบเสมือนการคลีเส้นด้ายนั้นออกให้ตึงเป็นเส้นตรง เพราะเราจะสามารถจัดการเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย เสมือนการสร้างเกราะป้องกันภัยให้ตัวเราเอง เพราะทุกคนก็ไม่รู้ว่าจะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอะไรในวันพรุ่งนี้ วิบากกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจจะรอเราอยู่ เหมือนอย่างสุเอง อยู่ๆ ก็มามีปัญหาเรื่องดวงตาทำให้มองไม่เห็นขึ้นมาเฉยๆ โดยที่สุเองไม่เคยคาดคิด ถ้าสุไม่ได้นั่งสมาธิ หรือไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่ง ป่านนี้ก็คงแย่ไปแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจ และก็คงไม่มีกำลังใจสู้เพื่อที่จะหาย ดังนั้นหากทุกคนรักตัวเอง ก็ควรมาวัดเป็นประจำเพื่อตัวเราเอง เพราะอย่างน้อย เราต้องทำเพื่อให้ตัวเองมีธรรมะเป็นที่พึ่ง..."
หากชีวิตเรายังต้องเดินทางอีกยาวไกล และเราปรารถนาที่จะมีความสุขแล้วล่ะก็ อย่าปล่อยให้ตัวเองเหนื่อยล้ากับชีวิตต่อไปอีกเลย เพราะการทำอย่างนี้ นอกจากจะหาความสุขที่เพิ่มขึ้นให้กับตัวเองไม่ได้แล้ว ยังเป็นการปิดโอกาสไม่ให้สิ่งดีงามเข้ามาในชีวิตอีกด้วย
ดังนั้นจงให้โอกาสตัวเองในการมาวัดทุกวันอาทิตย์ จงทำวันอาทิตย์ให้เป็นวันสำหรับตัวเองอย่างแท้จริง เป็นวันที่เราได้มาสัมผัสกระแสแห่งอานุภาพบุญที่รุกเงียบไปในอากาศอย่างเข้มข้น อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาสั่งสมบุญอย่างต่อเนื่อง เพื่อบุญจะได้ส่งผลกับเราอย่างตลอดต่อเนื่องตลอดไป...
มาวัดทุกวันอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิม
สัมภาษณ์พิเศษ : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์
email : [email protected]
-----------------------------------------
Photo by : Charoen Studio