หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว
ถาม : คนมีปัญญามีที่ไปที่มาอย่างไร และที่ว่าใช้ปัญญาสร้างบุญนั้นเป็นอย่างไร ?
ตอบ : เมื่อสมัยนั่งสมาธิกับคุณยายอยู่ที่บ้านธรรมประสิทธิ์ หลวงพ่อถามคุณยายว่า ทำไมพระสารีบุตรซึ่งเป็นพระอรหันต์เช่นเดียวกับพระอรหันต์รูปอื่น คือหมดกิเลสเหมือนกัน จึงมีปัญญาเหนือกว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าด้วยกัน
คุณยายตอบว่า พระสารีบุตรมีปกติเกิดมากี่ภพกี่ชาติ เป็นผู้ที่มากด้วยกตัญญูกตเวที ก็เลยทำให้เป็นคนเจ้าปัญญา
หลวงพ่อถามคุณยายอีกว่า ความกตัญญูกตเวทีทำให้เป็นคนเจ้าปัญญาได้อย่างไร คุณยายก็ตอบในลักษณะว่า คนมีความกตัญญูกตเวที วัน ๆ ใจไม่ไปไหนหรอก ใจทุ่มเทอยู่ที่จะเค้นสติปัญญามาทำสิ่งที่ดี ๆ ให้แก่ผู้มีบุญคุณ ก็เลยทำให้มีปัญญา
การแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีคุณต้องเค้นสติปัญญาออกมาเป็นอย่างไร ลองนึกดู ถ้าเราเกิดมาในครอบครัวในตระกูลที่สมบูรณ์พรั่งพร้อม คุณพ่อคุณแม่มีพร้อมแล้วทุกสิ่ง การตอบแทนบุญคุณผู้มีพร้อมแล้วทุกสิ่งนั้นไม่ง่ายเลย เพราะต้องไตร่ตรองแล้ว ไตร่ตรองอีก ด้วยเหตุนี้ความกตัญญูกตเวทีจึงเป็นเหตุให้เกิดความฉลาด ความมีสติปัญญา เพราะบังคับให้เราต้องคิดเจาะลึกให้ถึงที่สุดจริง ๆ เป็นการใช้สติปัญญาในเชิงลึก
อย่างคุณยายอาจารย์ฯ ของเรา ท่านตั้งความปรารถนาทีแรกว่า อยากจะไปเจอพ่อที่ตายไปแล้ว อยากจะไปขอขมาพ่อ เพราะว่าท่านเคยพูดล่วงเกินพ่อไว้เมื่อตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ และตั้งใจไว้ว่าจะขอขมาเวลาพ่อใกล้ตาย แต่ตอนพ่อใกล้ตายตัวเองไปอยู่ในท้องนา กลับมาถึงพ่อก็ตายแล้ว เลยไม่ได้ขอขมา ท่านมีความคิดว่า จะต้องหาทางไปขอขมาพ่อให้ได้ ไม่ว่าพ่อที่ตายแล้วจะอยู่ที่ไหน เมื่อรู้ว่าหลวงปู่มีความรู้ความสามารถ มีอภิญญา สามารถสอนวิชาให้ไปเยี่ยมพ่อในโลกหน้าได้ ท่านก็ดิ้นรนออกจากบ้านไปหาหลวงปู่ที่วัดปากน้ำ
เมื่อได้เรียนวิชาจากหลวงปู่ ทั้ง ๆ ที่ทีแรกไม่ได้เรียนโดยตรงกับหลวงปู่ แต่เรียนจากคุณยายทองสุข ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ แต่สามารถไปเยี่ยมพ่อตัวเองได้สมใจนึก ไปขอขมาพ่อเรียบร้อยแล้วยังไม่พอ ยังช่วยพ่อให้พ้นนรกได้อีกด้วย ท่านจึงนึกขอบพระคุณหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง แล้วคิดจะตอบแทนบุญคุณหลวงปู่ด้วย เมื่อมาเจอหลวงปู่ คุณยายก็ทุ่มชีวิตฝึกวิชชาธรรมกายด้วยความเคารพ ด้วยความกตัญญูต่อหลวงปู่ มุ่งจะตอบแทนพระคุณหลวงปู่ที่ทำให้ท่านสมหวัง เมื่อทุ่มปฏิบัติหนักเข้า ๆ ก็เกิดความแตกฉาน
ครั้นเกิดความแตกฉานแล้ว ท่านได้คิดไปอีกระดับหนึ่งว่า แท้ที่จริงที่เราทุ่มเทปฏิบัติมา ทำให้เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจโลก เข้าใจพระนิพพาน เข้าใจการเวียนว่ายตายเกิด เข้าใจกฎแห่งกรรม เมื่อรู้ลึกซึ้งหนักเข้าอย่างนี้ ก็เลยกลายเป็นว่าต่อจากนั้นท่านทุ่มเทปฏิบัติธรรมเพื่อปราบกิเลสให้ตัวเอง จะได้ไม่ต้องเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร และในเวลาเดียวกันก็เป็นการตอบแทนพระคุณหลวงปู่ในความหวังดีที่หลวงปู่มีต่อท่าน
เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ตั้งคำถามกับบรรดาผู้ทำวิชชาในโรงงานทำวิชชาตอนนั้นว่า ที่มาทำวิชชากันอยู่นี่ทำเพื่อใคร ทั้งปราบกิเลสในตัวเองด้วย ปราบมารที่เป็นต้นตอที่ทำให้กิเลสมนุษย์กำเริบนั่นด้วย ทำเพื่อใคร บางท่านตอบว่าทำเพื่อหลวงปู่ บางท่านตอบว่าทำเพื่อพระพุทธศาสนา ทำเพื่อพระพุทธเจ้า ทำเพื่อให้ได้บุญเยอะ ๆ ก็ว่ากันไป
แต่พอมาถึงคุณยาย คุณยายของเราฟันธงลงไปเลยว่าไม่ได้ทำเพื่อใครทั้งนั้น ทำเพื่อตัวเอง ปราบกิเลสในตัวเองแล้วจะได้ไม่ต้องไปเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลส ไม่ต้องเป็นบ่าวเป็นทาสของมารต่อไป ให้ดีกว่านั้นอีกก็ปราบมารไปด้วย วันหลังมันจะได้ไม่มากวนกิเลสใครทั้งนั้น ทั้งหมดนี้เป็นการทำเพื่อตัวเอง แต่ว่าผลพลอยได้ได้แก่ทุกคน ได้หมดทั้งโลกเลย
ปัญญาที่ลึกซึ้งจึงมองออกว่า การทำเพื่อตัวเองก็ดี การตอบแทนพระคุณก็ดี เป็นสิ่งที่ไปคู่กัน เพราะสิ่งใดที่เป็นคุณงามความดีแล้ว ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยมีแต่ได้กับได้ทั้งสิ้น ไม่มีใครเสียเลย นี้เป็นธรรมะเชิงลึก เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องละเอียด เมื่อใดใจใสจะตรองตามทัน เมื่อเห็นคุณของพระพุทธศาสนา เห็นคุณของธรรม ซึ่งจะเป็นที่พึ่งให้แก่ชาวโลกทุกคนได้ เห็นคุณค่าของเพื่อนร่วมโลกที่เกิดมาพึ่งพากันและกัน จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะหาวิธีให้ชาวโลกได้มาศึกษาธรรมกันได้แพร่หลาย การที่จัดงานบวชครั้งละจำนวนมาก ก็เพื่อตามหาผู้มีบารมีแก่กล้าทั้งหลาย ที่ยังมาไม่ถึงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปตามเขามา ไปบอกให้เขารู้ตัว เขาจะรู้ตัวได้ก็ต้องมาบวช แล้วได้รับคำแนะนำที่ดี ได้สิ่งแวดล้อมที่ดี ได้โอกาสที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อให้ใจใส เพื่อเข้าถึงธรรม มาเพิ่มปริมาณการเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กันและกัน มาช่วยกันกระจายให้ธรรมคุ้มครองโลก
การทุ่มเทใช้สติปัญญาทำอย่างนี้ได้ผลคุ้มค่าทั้งผู้บวชและผู้ชวนบวช บุญกุศลเกิดกับทุกฝ่าย และตรงนี้ก็เป็นความรอดของเราด้วย รอดจากนรก รอดจากอบายทั้งหลาย แล้วก็เป็นการถางทางไปนิพพาน ไปถึงที่สุดแห่งธรรมของเรา