Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โปริสาท ตอนที่ 10
มีธรรมะภาษิตที่ปรากฎในขุททกนิกาย สุตโสมชาดกว่า
ถึงแม้ลมจะพึงพัดภูเขามาได้ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์จะพึงตกลงบนแผ่นดิน แม่น้ำทั้งหมดจะพึงไหลทวนกระแสได้ ถึงอย่างนั้นข้าพเจ้าก็พึงพูดเท็จไม่ได้จริงๆ
ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่ยอมกล่าวเท็จทั้งๆที่รู้ เป็นผู้รักษาความสัตย์ยิ่งชีวิต เช่น พระอริยบุคคลและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ส่วนคนทั่วไปมักจะรักตัวกลัวตาย กล้าพูดโกหก ยอมพูดเท็จทั้งๆที่รู้เพื่อรักษาทรัพย์ อวัยวะ และชีวิตของตนเอาไว้
แต่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายท่านไม่เป็นอย่างนั้น เพราะท่านฝึกฝนตนเองมาข้ามชาติ จึงตระหนักดีว่าการจะได้บรรลุอภิสัมมาสัมโพธิญาณนั้นต้องมีความสัตว์ ไม่คดในข้องอในกระดูก วาจาต้องตรงกับใจ
แม้ฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย หากต้องล้มตายก็จะไม่ยอมให้ความสัตย์สูญเสียไปเด็ดขาด นี่คือคุณธรรมข้อหนึ่งของพระโพธิสัตว์ที่ควรศึกษากันเอาไว้และนำไปปฏิบัติให้ได้
ต่อจากตอนที่แล้ว การอารักขาพระเจ้าสุตโสมหนาแน่นมาก โปริสาทซึ่งฉลาดมากก็ได้แอบเข้าไปหลบในสระโบกขรณีตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเป็นช่วงที่การอารักขาหลักหลวม หลังจากกองกำลังอารักขาพร้อมแล้ว พระเจ้าสุตโสมก็เสด็จไปสรงสนานที่สระโบกขรณี ซึ่งเป็นราชจริยาวัตรที่พระองค์จะต้องเสด็จไปสรงสนานทุกๆ ๑๕ ค่ำ
เมื่อเสด็จไปถึงทรงเปลื้องเครื่องราชอิสริยาภรณ์เสด็จลงสระโบกขรณีสรงสนานอย่างสบายพระทัย จากนั้นก็เสด็จขึ้นทรงพระภูษาซับพระวรกายให้แห้ง ฝ่ายเจ้าพนักงานได้ทูลเกล้าถวายพระภูษาของหอม ดอกไม้ และเครื่องอลังการ ทุกอิริยาบถของพระเจ้าสุตโสมนั้นอยู่ในสายตาของโจรโปริสาทอยู่ตลอดเวลา
โจรโปริสาทคิดว่าเมื่อพระราชาประดับพระองค์แล้วจะทำให้พระวรกายหนักขึ้น ทำให้ยากแก่การลักพาตัว ต้องรีบฉวยโอกาสในช่วงนี้ ว่าแล้วก็ขึ้นจากสระ ควงดาบเหนือศีรษะดุจพญามัจจุราชได้บรรลือลั่นทั่วราชอุทยาน ประกาศนามว่าตนเองคือจอมโจรโปริสาท
พวกข้าราชบริพารได้ยินเสียงนั้นแล้วก็ล้มหมอบเอาตัวรอดไปตามๆกัน ที่นั่งบนช้างก็หมอบบนช้าง ที่นั่งบนม้าก็หมอมบนม้า
ที่นั่งบนรถก็หมอมลงบนรถ ฝ่ายคนเดินเท้าก็ทิ้งอาวุธนอนหมอบอยู่บนพื้น ตามปกติเวลาที่โจรโปริสาทจับพระราชาองค์อื่น
จะจับพระบาทยกขึ้นห้อยพระเศียรลง จากนั้นก็ใช้ส้นเท้าแตะพระเศียรของพระราชาจนสลบ แต่สำหรับพระโพธิสัตว์นั้น โปริสาทได้น้อมตัวเข้าไปยกขึ้นให้นั่งบนบ่า
ฝ่ายพระเจ้าสุตโสมแม้จะมีพละกำลังมากก็ไม่ทรงคิดโต้ตอบ และไม่ได้หวาดหวั่นต่อมรณะภัย เพราะสังเกตเห็นว่าโจรโปริสาทให้ความเคารพพระองค์มากจึงปล่อยให้ทำตามอำเภอใจ
โจรโปริสาทได้กระโดดข้ามกำแพงสูง ๑๘ ศอก เพราะคิดว่าถ้าหากวิ่งออกทางประตูจะทำให้เสียเวลา เมื่อกระโดดข้ามกำแพงแล้วก็กระโดดเหยียบลงบนกระพองพญาช้าง
วิ่งเหยียบหลังม้าด้วยกำลังและความเร็วดุจสายลม ประหนึ่งว่ากระโดดเหยียบยอดเขาที่ตั้งอยู่เรียงรายกันไป
ใช้เวลาเพียงพักเดียวก็ข้ามพ้นกองอารักขาที่มีมากถึงสามโยชน์โดยไม่มีใครสามารถไล่ตามได้ทัน การที่โจรโปริสาทมีเดชมากถึงเพียงนี้เพราะบุญที่ได้บำเพ็ญไว้ในชาติก่อน
คือเมื่อครั้งสมัยของพระกัสสปทศพล ท่านได้เป็นผู้ริเริ่มทำสลากภัตน้ำนมสดแต่ภิกษุสงฆ์ จึงทำให้มีกำลังมาก ได้สร้างโรงไฟ ถวายมีด ถวายฟืน และได้ก่อกองไฟเพื่อบรรเทาความหนาวแก่ภิกษุสงฆ์ บุญนั้นจึงส่งผลให้เป็นผู้มีเดช วิ่งได้เร็ว สามารถกระโดดได้สูง ๑๘ ศอก
ถึงแม้จะอยู่ในป่าตามลำพังสัตว์ร้ายทั้งหลายก็เกรงกลัวต่อเดชานุภาพของโปริสาท ไม่กล้ามาทำอันตรายใดๆ ขณะที่แบกพระเจ้าสุตโสมเข้าป่านั้น โจรโปริสาทสังเกตเห็นว่ามีหยาดน้ำหยดลงใส่ที่อกตน ก็นึกว่าพระเจ้าสุตโสมกลัวตายถึงกับร้องไห้
จึงกล่าวว่า “ท่านผู้มีความรู้ มีปัญญาเป็นพหูสูต ย่อมไม่ร้องไห้ การที่พวกบัณฑิตได้เป็นผู้บรรเทาความเศร้าโศกผู้อื่นได้ นี่แหละจึงจะเป็นที่พึ่ง อย่างยอมเยี่ยมของนรชน เหมือนเกาะเป็นที่พำนักของคนเรือแตกท่ามกลางมหาสมุทร”
“ท่านสุตโสม พระองค์คิดถึงตนเองหรือหมู่ญาติ คิดถึงตนเองหรือราชสมบัติ ผู้มีความรู้เช่นพระองค์ไม่ควรร้องไห้ เมื่อคนเช่นพระองค์ร้องไห้เพราะกลัวความตาย คนโง่เหล่าอื่นจะเป็นยังไงเล่า ท่านสุตโสมในบรรยาปิยชนผู้เป็นที่รัก พระองค์คิดถึงอะไร พระองค์ทรงเศร้าโศกรำพึงถึงอะไร”
อันที่จริงพระเจ้าสุตโสมไม่ได้ร้องไห้ น้ำที่หยดลงมาเป็นเพียงน้ำจากปลายพระเกศา เพราะพระองค์เพิ่งเสร็จจากการสรงสนาน การที่พระโพธิสัตว์จะร้องไห้เพราะกลัวตายนั้นไม่ใช่วิสัยของท่าน แต่เห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้สนทนากับโปริสาท จึงตรัสว่า “เราไม่ได้คิดถึงตัวเองหรือราชสมบัติ แต่เราคิดถึงคุณธรรม คือความสัตย์ที่นัดแนะไว้กับพราหมณ์ ท่านไม่ได้ให้เราฟังคาถากับพราหมณ์ จับเอาเรามาเสียก่อน ท่านช่วยปล่อยเราไปก่อนเถอะ เราฟังธรรมเสร็จแล้วจะกลับมาให้ท่านฆ่า”
โจรโปริสาทไม่เชื่อว่าพระเจ้าสุตโสมจะไม่กลับมาให้ตนทำบวงสรวงเทวดาอีก จึงปฏิเสธไปว่า “คนผู้มีความสุข หลุดพ้นจากปากของมัจจุราชแล้วจะมาสู่เงื้อมือของศตรูอีก ข้อนี้ข้าพเจ้าไม่เชื่อเด็ดขาด ฉะนั้นข้าพเจ้าไม่โง่ถึงขนาดปล่อยพระองค์ไปหรอก”
พระโพธิสัตว์ก็ไม่ทรงย่อท้อ ได้ใช้เหตุผลตรัสสืบไปว่า “คนที่มีศีลบริสุทธิ์ย่อมไม่กลัวความตาย มีแต่คนที่มีธรรมลามกเท่านั้นที่หวาดหวั่นต่อมรณะภัย ”
“จะอย่างไรก็ตาม นรชนจะกล่าวคำเท็จเพราะความรักอันใด ความรักอันนั้นไม่อาจรักษานรชนนั้นจากทุคติได้เลย ถึงแม้ลมจะพัดภูเขาดุจปุยนุ่นไปได้ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์จะตกในแผ่นดิน หรือแม่น้ำทั้งหมดสามารถไหลทวนกระแสได้ ถึงกระนั้นเราก็ไม่อาจพูดจาโกหกได้จริงๆ แม้โลกจะแตกได้ ทะเลจะเหือดแห้ง แผ่นดินที่รองสรรพชีวิตจะพึงพลิกกลับหรือเมรุบรรพตจะพึงพลิกกลับ หรือเมรุบรรพตจะพึงพังทลายได้ เราก็จะไม่ยอมพูดเท็จอย่างเด็ดขาด”
โจรโปริสาทแม้ฟังแล้วก็ยังไม่ยอมเชื่ออยู่ดี เพราะไม่คิดว่าคนที่รักษาความสัตย์ยิ่งชีวิตจะยังมีอยู่ในโลก พระโพธิสัตว์ได้ตรัสต่อไปว่า “สหายโปริสาท ท่านจงให้เราลงจากบ่าก่อนและจะสาบานให้ท่านรู้ว่าเราพูดจริงทำจริง”