กรรมของการคดโกงลูกค้า
อดีตเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ตามที่เราได้ทำลงไป ทั้งทางกาย วาจา ใจ เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้ สิ่งที่ล่วงไปก็เป็นอันต้องผ่านเลยไป เหมือนสายน้ำที่ไหลไปไม่มีวันย้อนกลับ หรือเหมือนชีวิตที่ย่างก้าวไปสู่ความเสื่อมสลาย ในที่สุดก็ไปสู่ความตาย แม้กระทั่งอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เราก็ไม่ควรไปมุ่งหวังมากเกินไป เพราะอนาคตเป็นของไม่แน่นอน การประกอบคุณงามความดี สั่งสมบุญอยู่เป็นนิจ จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เราจะมีอนาคตที่สดใส ชีวิตจะก้าวไปสู่ความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์พร้อมยิ่งขึ้น ผู้รู้ทั้งหลายจึงสอนให้เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดด้วยการน้อมนำใจที่ซัดส่ายไปมา กลับมาไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นต้นแหล่งแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต
มีวาระพระบาลีที่มาใน สุภาสิตสูตร ว่า
“ตเมว วาจํ ภาเสยฺย ยายตฺตานํ น ตาปเย
ปเร จ น วิหึเสยฺย สา เว วาจา สุภาสิตา
บุคคลพึงกล่าวแต่วาจาที่ไม่เป็นเหตุยังตนให้เดือดร้อนและไม่เป็นเหตุเบียดเบียนผู้อื่น วาจานั้นแลเป็นสุภาษิต บุคคลพึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก ที่ชนทั้งหลายชื่นชมแล้ว ไม่ถือเอาคำที่ชั่วช้าทั้งหลาย พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักแก่ชนเหล่าอื่น”
โบราณว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หมายถึงว่า คนเราจะได้ดี ประสบความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตหรือพบกับความหายนะ ก็เพราะอาศัยวาจาที่เปล่งออกมาจากปากนี่แหละ ความเดือดร้อนใจที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ส่วนหนึ่งก็มาจากคำพูดที่ไม่สำรวมระวังของตัวเราเอง พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน ไม่ทำตนและคนอื่นให้เดือดร้อน ซึ่งท่านเรียกว่าวาจาสุภาษิต ถือเป็นมงคลอันสูงสุด เพราะจะนำแต่สิ่งที่เป็นสิริมงคลมาสู่ตัวเรา คนที่พูดเป็นนั้น ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูดให้ยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด เพราะอย่างน้อยถ้าเราไม่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด ความเดือดร้อนหรือโทษต่างๆ ก็ไม่เกิดขึ้น
* มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงสาวัตถี ในหมู่บ้านนั้นมีครอบครัวของพ่อค้าที่ชอบเอาเปรียบอยู่ครอบครัวหนึ่ง ไม่มีความศรัทธาเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา ไม่เคยทำบุญให้ทาน ทุกคนในครอบครัวมักจะพูดโกหกหลอกลวงเป็นประจำทุกวัน เมื่อตื่นขึ้นมาก็เอาแต่ทำมาค้าขายเอากำไรจากชาวบ้านเกินควร ชอบโกงตราชั่งเป็นประจำ ไม่มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การกระทำของพ่อค้าท่านนี้เป็นที่รู้จักของคนทั้งหมู่บ้าน แต่ชาวบ้านไม่มีความสามารถเอาสินค้าไปขายที่เมืองอื่น จึงจำใจต้องขายให้พ่อค้าคนนี้
ทางด้านลูกชายของพ่อค้า ก็เอาแต่เที่ยวเตร่ตามประสาวัยรุ่น ไม่ช่วยพ่อแม่ทำมาค้าขาย เอาแต่ใจตนเอง เที่ยวทะเลาะกับคนในบ้าน แม้พ่อแม่จะคอยห้ามปราม ก็ไม่เชื่อ บางวันลูกชายพาเพื่อนๆ มาดื่มเหล้าและเล่นการพนันที่บ้าน แม่เห็นว่าเพื่อนของลูกแต่ละคนไม่มีการศึกษาและชอบเที่ยวเตร่เฮฮา จึงขับไล่ออกจากบ้าน ทำให้ลูกชายโมโหมาก หาว่าพ่อแม่ไม่ให้เกียรติเพื่อนของตนเอง จึงทุบตีแม่ แล้วเอาเชือกเส้นใหญ่ฟาดศีรษะของแม่
ฝ่ายหญิงสะใภ้ของพ่อค้า เป็นคนชอบลักเล็กขโมยน้อย มีนิสัยขี้ขโมย เมื่อโดนจับได้ก็จะโกหกว่าไม่ได้ขโมย โยนความผิดไปให้คนอื่น มีอยู่วันหนึ่ง นางแอบไปลักกินอาหารอันประณีตที่ชาวบ้านช่วยกันเตรียมไว้ เพื่อนำไปถวายพระสงฆ์ เมื่อถูกชาวบ้านซักไซ้ไล่เลียง นางก็ยังปฏิเสธพร้อมกับสาบานว่า "ถ้าดิฉันกินอาหารนั้นจริง เกิดกี่ภพกี่ชาติ ก็ขอให้ดิฉันพึงเฉือนเนื้อสันหลังของตนเองกินเถิด"
ฝ่ายภรรยาของพ่อค้า เมื่อมีเพื่อนบ้านมาขอยืมอุปกรณ์บางอย่าง แม้อุปกรณ์ในบ้านจะมีพอให้ยืม แต่นางก็ไม่ยอมให้ใครยืมไปใช้ บังเอิญว่าเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ขาดแคลนอุปกรณ์ชิ้นนั้นจริงๆ จึงอ้อนวอนขอยืมจากบ้านของพ่อค้า ภรรยาของพ่อค้าก็ยังพูดโกหกพร้อมทั้งสาบานว่า "ถ้าเรากล่าวถึงสิ่งของที่มีอยู่ ว่าไม่มีละก็ เกิดกี่ภพกี่ชาติ ก็ขอให้เราพึงเป็นผู้มีคูถเป็นอาหารเถิด" เพื่อนบ้านนึกว่านางพูดจริง จึงไม่มารบกวนอีก
ต่อมาเมื่อคนทั้ง ๔ เสียชีวิตลง พวกเขาไปบังเกิดเป็นเปรตในดงไฟไหม้ ในคน ๔ คนนั้น พ่อค้าโกงใช้มือทั้งสองข้างกอบเอาแกลบที่มีไฟลุกโพลง เกลี่ยลงบนศีรษะของตนเองเสวยทุกข์ทรมานอย่างมาก ส่วนภรรยาของพ่อค้า เนื่องจากไม่เคยให้ทานเอาไว้ จึงหิวโหยมาก เที่ยวแสวงหาอาหารตามสถานที่ต่างๆ ในขณะที่กำลังจะน้อมเอาข้าวที่มีกลิ่นหอมไปกิน ข้าวหอมนั้นก็กลายเป็นคูถไปทันที เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่หนอน มีกลิ่นเหม็นน่ารังเกียจ นางใช้มือทั้งสองข้างกอบคูถนั้นกินด้วยความหิว แต่ก็ไม่หายหิว
ฝ่ายลูกชายของพ่อค้า วันๆ ที่เอาแต่เที่ยวเตร่และเพราะกรรมที่ทุบตีแม่ กรรมนั้นจึงส่งผลให้ใช้ค้อนเหล็กตีศีรษะของตนเองจนเลือดไหลเยิ้มไปทั่วร่างกาย ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ไปที่ไหนค้อนเหล็กนั้นก็ตามติดไปด้วย ไม่สามารถจะทิ้งมันไปได้ หญิงสะใภ้ของพ่อค้าก็ใช้เล็บทั้งสิบนิ้วที่ทั้งใหญ่และยาว คมกริบเหมือนกับใบมีดที่ลับดีแล้ว กรีดเนื้อแผ่นหลังของตนเองกินเป็นอาหาร นางร้องโหยหวนอยู่ตลอดเวลา เสวยทุกข์ทรมานในดงไฟไหม้แห่งนั้นไม่แพ้สามีของนาง
วันหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานเถระได้ไปที่ดงไฟไหม้นั้น เห็นเปรตเหล่านั้นกำลังเสวยทุกข์ทรมานเพราะกรรมที่ทำเอาไว้ จึงไต่ถามว่า "ท่านทั้ง ๔ นี้ ท่านหนึ่งกอบเอาแกลบร้อนที่มีไฟลุกโชนโปรยลงบนศีรษะของตนเอง ท่านหนึ่งทุบศีรษะของตนด้วยค้อนเหล็ก ส่วนท่านที่เป็นหญิงก็เอาเล็บจิกหลังกินเนื้อและเลือดของตนเอง อีกท่านก็กินคูถอันเป็นของไม่สะอาด ในสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์พวกท่านได้ทำกรรมอะไรเอาไว้"
ภรรยาของพ่อค้าโกงเป็นตัวแทนของเปรตตอบพระเถระว่า "เมื่อก่อนผู้นี้เป็นลูกชายของดิฉัน ได้ทุบตีดิฉันผู้เป็นมารดา ผู้นี้เป็นสามีของดิฉัน ได้คดโกงเอาข้าวเปลือกปนแกลบขายให้คนอื่น ผู้นี้เป็นลูกสะใภ้ของดิฉัน ได้ลักกินอาหารของคนอื่น เมื่อถูกจับได้ก็ยังหลอกลวงด้วยมุสาวาทว่าไม่ได้กิน ส่วนตัวดิฉันเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ได้เป็นหญิงแม่เรือน เป็นคนมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน เมื่อสิ่งของมีอยู่ ครั้นเพื่อนบ้านมาขอยืมก็เก็บซ่อนไว้เสีย มิได้ให้คนเหล่านั้นเลย ข้าพเจ้าโกหกพวกเขาพร้อมกับสาบานว่า ถ้าเราปกปิดของที่มีไว้จริงๆ ขอคูถจงเป็นอาหารของเรา ด้วยเหตุนั้นข้าวสาลีอันมีกลิ่นหอมจึงกลายเป็นคูถเพราะวิบากแห่งกรรมมุสาวาท ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันตระหนักเมื่อตายแล้วมาเป็นเปรตนี่แหละ ว่ากรรมทั้งหลายที่บุคคลทำเอาไว้ทั้งทางกาย วาจา และใจมีผลจริงๆ กรรมนั้นไม่สาบสูญ แต่จะติดตามบุคคลนั้นไปข้ามภพข้ามชาติ ดังนั้นดิฉันจึงกินและดื่มแต่มูตรคูถอันมีกลิ่นเหม็น ต้องเสวยกรรมอยู่อย่างนี้จนกว่าจะหมดอายุขัยในอัตภาพของเปรต"
เพราะฉะนั้น บาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อย อย่าได้ทำ เรื่องอะไรก็ตามที่พูดแล้วใจเราเศร้าหมองขุ่นมัว พึงเตือนตนเองให้ละเว้นถ้อยคำเหล่านั้น อย่าไปยินดีในบาปอกุศล จะทำธุรกิจการงานใดก็ให้เป็นสัมมาอาชีวะ เป็นสุจริตชน อย่าเห็นแก่ได้ยิ่งกว่าความสุจริต เพราะผลของบาปจะทำให้เราได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่ำไป และให้สำรวมระวังกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ อย่าเห็นแก่ตัวจนทำให้ตนมัวหมอง ถึงขั้นกล้าโกหกมดเท็จทั้งๆ ที่รู้
คนที่โกหกทั้งๆ ที่รู้ ธาตุเห็นไม่ตรงจะติดตัวข้ามชาติ เมื่อใจคดเสียแล้ว เวลานั่งสมาธิจะหาศูนย์กลางกายได้ยาก เพราะปากกับใจไม่ตรงกัน หรือแม้ว่ามีธรรมบ้าง ถึงรู้ ญาณก็ไม่แม่นยำ เพราะจิตไม่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ยินได้ฟังเช่นนี้แล้ว ต้องตั้งใจที่จะฝึกฝนอบรมตนเอง ให้มีความคิด คำพูดและการกระทำที่เชื่อมโยงสอดคล้องกัน จะเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ ให้ทุกความคิด ทุกถ้อยคำและการกระทำทุกอย่างของเรา เป็นไปเพื่อบุญล้วนๆ เราจะใช้กายหยาบนี้สร้างบารมีให้เต็มที่ จนกว่าจะละสังขาร ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส เราจะได้สร้างบารมีบนโลกมนุษย์และได้ไปเสวยสุขในสวรรค์กันทุกคน
พระธรรมเทศนาโดย: หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* มก. เล่ม ๔๙ หน้า ๓๙๔
** ตัวละครนี้ถูกสร้างขึ้นโดย AI