Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
สิ่งที่ควรเผาผลาญ
พระรัตนตรัยประกอบด้วยรัตนะทั้ง ๓ คือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะและสังฆรัตนะ รัตนทั้ง ๓ อย่างนี้เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาและเป็นสรณะ ที่พึ่งที่ระลึกของสรรพสัตว์ทั้งหลาย มนุษยชาติที่เกิดมาต่างก็แสวงหาที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดนี้ ผู้ที่ได้พบแล้วก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิต เพราะได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ดำเนินตามรอยบาทของท่านผู้รู้ทั้งหลาย ที่ท่านได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตแล้ว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัยภายในแล้ว การฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง เป็นวิธีการที่จะทำให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในและเป็นหนทางที่จะนำพาตัวเรา ให้ก้าวไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น กระทั่งบรรลุถึงพระนิพพานอันเป็นบรมสุขกันน๊ะจ๊ะ
มีเนื้อความที่พระโชติทาสเถระ กล่าวไว้ในอปทานความว่า เราได้พบพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลีกิเลส เป็นเชษฐบุรุษของโลก ผู้ประเสริฐกว่านรชน โชติช่วงเหมือนต้นกรรณิการ์ เรามีจิตเลื่อมใสมีใจโสมนัส ได้พนมกรอัญชลีเหนือเศียรเกล้า แล้วเอาผลมะลื่นถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใด ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งมหาทานบารมี เราเผากิเลสได้แล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราทำสำเร็จแล้ว
นี้เป็นวาทะธรรมของพระอรหันรูปหนึ่ง ที่มีความเลื่อมใส ได้เคยถวายทานกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศกว่าใครในภพทั้ง ๓ พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลก ทรงปรารถนาให้สัพสัตว์ได้พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ แล้วได้ดำเนินลอยตามพระองค์ ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุข ใครก็ตามที่ได้โอกาสทำบุญกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไทยธรรมที่ได้ถวายนั้น แม้จะเป็นสิ่งของเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ผลบุญที่เกิดขึ้น กลับมากมายมหาศาล ยากที่ใครจะนับคำนวนได้ว่าจะได้บุญมากเท่าไร เพราะได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ผลบุญจึงเป็นอสงไขยอัปปมาณัง คือสุดที่จะนับประมาณได้ ซึ่งก็จะมีผลทำให้ชีวิตประสพแต่ความสุข ทั้งในภพนี้และภพต่อๆ ไปทุกภพทุกชาติ ที่สำคัญบุญนั้นได้ช่วยปิดนรกยกใจให้ขึ้นสู่เส้นทางของสวรรค์และนิพพานอย่างเดียว ดังเรื่องที่หลวงพ่อจะนำมาเล่าให้ได้รับฟังกันในวันนี้นะจ๊ะ
ในครั้งพุทธกาล มีพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อพระโชติทาสเถระ พระเถระรูปนี้ภพในอดีตชาติ ท่านก็ได้เคยสั่งสมบุญบารมีมาอย่างดีแล้ว กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์ด้วยกัน เรื่องราวการสร้างบารมีของท่าน จึงน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง มีอยู่ชาติหนึ่งท่านได้เกิดตรงกับยุคสมัย ที่พระสิขีพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก มีอยู่วันหนึ่งเมื่อเสร็จภารกิจการทำงานในไร่ จึงเดินกลับเข้าเดินกลับเข้าไปในบ้าน เพื่อรับประทานอาหารเช้า โชคดีเหลือเกินที่ท่านได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่กำลังเสด็จออกบิณฑบาตร ผ่านมาทั้งนั้นพอดี ท่านเห็นแล้วก็เกิดมีจิตเลื่อมใส อยากใส่บาตรมากคิดจะรีบกลับไปนำอาหารที่บ้านมาถวาย แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วเห็นว่าคงไม่ทัน จึงเอาผลมะลื่นที่มีอยู่น้อมเข้าไปถวายด้วยความปลื้มปีติ บุญกุศลที่ได้กระทำในชาตินั้นแม้เพียงครั้งเดียว แต่ได้ตามระลึกนึกถึงในความปลื้มปีติเป็นประจำ บุญยังหนุนนำให้ท่านได้ไปบังเกิดในเทวโลก จากนั้นมาก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่แค่สองภพภูมิ คือระหว่างภพมนุษย์กับเทวดาเท่านั้น ไม่เคยพลัดไปเกิดในอบายภูมิเลย
พอมาถึงสมัยพุทธกาลนี้ ท่านก็ได้มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ที่มีฐานะร่ำรวยมีความสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ในปาทิยัตถชนบทและมีชื่อว่า โชติทาสะ พอเจริญเติบโตขึ้นก็ได้เล่าเรียนศิลปวิทยาของพวกพราหมณ์ จนกระทั่งสำเร็จหมดทุกอย่าง มีอยู่วันหนึ่งพราหมณ์โชติทาสะ ได้เห็นพระมหากัสสปเถระ กำลังเดินบิณฑบาตอยู่ในหมู่บ้าน เมื่อเห็นแล้วก็เกิดมีจิตเลื่อมใส ท่านสั่งลูกน้องให้ตามไปดูว่าพระเถระพำนักอยู่ที่ไหน จากนั้นจึงถือโอกาสไปฟังธรรมจากท่าน เมื่อพราหมณ์ได้ฟังธรรมแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้นไปอีก จึงได้ให้พวกข้าทาสบริวารไปสร้างวิหารหลังใหญ่ไว้บนภูเขา ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของท่านนั่นแหละ
เมื่อวิหารหลังใหญ่สร้างเสร็จแล้ว พราหมณ์โชติทาสะ ก็เข้าไปกราบอาราธนาพระมหากัสสปเถระให้เข้ามาพักอาศัย จากนั้นก็ได้เข้ามาบำรุงอุปัฏฐากพระเถระด้วยปัจจัย ๔ เป็นอย่างดี มิได้ขาดตกบกพร่องเลย มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระเถระอยู่เป็นประจำ ทำให้พราหมณ์เข้าใจหลักในการดำเนินชีวิต เข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ พร้อมกับเกิดความเบื่อหน่ายในเพศฆราวาส เขามองเห็นว่าไม่มีสาระแก่นสารอะไร จึงได้ขอบวชกับพระมหากัสสปเถระ เมื่อบวชแล้ว พระโชติทาสะก็ได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ทำความเพียรอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาไม่นานก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ สำเร็จอภิญญา ๖ และวิโมกข์ ๘ ประการ หลังจากนั้นพระโชติทาสะก็ได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกจนแตกฉาน ทำให้มีความชำนาญในพระวินัยปิฎกมาก
พระเถระได้สร้างวีรกรรมในการเผยแผ่ธรรม สมกับเป็นพุทธบุตรผู้สืบทอดคำสอนของพระบรมศาสดาไว้มากมาย เช่นมีอยู่วันหนึ่งเมื่อท่านบวชได้ครบ ๑๐ พรรษาแล้ว ได้ชักชวนบริษัทบริวารของท่านเดินทางไปเมืองสาวัตถี พร้อมกับเพื่อนสหธรรมิกหลายรูป เพื่อเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาที่วัดพระเชตวัน เมื่อเดินทางรอนแรมกันมาหลายวัน ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ในระหว่างทางจึงชักชวนกันเข้าไปพักในอารามของพวกเดียรถีย์ แล้วก็หาที่นั่งพักเหนื่อยเอาแรงเพื่อจะได้เดินทางต่อไป
ในขณะนั้นพระเถระได้แลเห็นเดียรถีย์ท่านหนึ่ง กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่อย่างอุกฤษฏ์ ท่านอยากจะรู้วิธีการบำเพ็ญเพียรของเดียรถีย์ท่านนี้ จึงเข้าไปถามในเชิงแลกเปลี่ยนทัศนคติต่อกันว่า ท่านพราหมณ์เมื่อตบะอย่างหนึ่งถูกเผาอยู่ ตบะอีกอย่างหนึ่งจะเร่าร้อนไปด้วยไหม พอพราหมณ์ได้ฟังคำพูดของพระเถระ ก็รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาทันที เพราะกำลังเหน็ดเหนื่อยกับการทรมานตนเอง อีกทั้งไม่รู้ว่าตบะอีกอย่างหนึ่งคืออะไร จึงพูดโต้ตอบไปว่า ดูก่อนสมณะโล้นตบะอย่างหนึ่งที่จะต้องเผาของท่านคืออะไรล่ะ พระเถระจึงถือโอกาสแสดงธรรมสอนพราหมณ์คนนั้นว่า สิ่งที่ควรเผาเหล่านั้นคือความโกรธ ความริษยา การเบียดเบียนผู้อื่น ความถือตัว ความแข่งดี ความมัวเมา ความประมาท ตัณหา อวิชชาและความคล่องอยู่ในภพ ไม่ใช่สังขารร่างกายที่ท่านทรมานอยู่
เมื่อพราหมณ์และเหล่าอัญญเดียรถีย์ พอได้ฟังถ้อยคำของพระเถระแล้ว ได้ไตร่ตรองตามธรรมภาษิตของท่านด้วยใจที่เป็นกลาง จึงเห็นว่าท่านกล่าวได้ถูกต้อง ก็เกิดความเลื่อมใส จึงชักชวนกันออกบวชตาม หลังจากที่ได้บวชแล้วพระเถระก็ได้พาพระใหม่เหล่านั้น เดินทางไปเมืองสาวัตถีเพื่อเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระบรมศาสดา ก็ได้บรรลุธรรมาพิศมัย ไปตามกำลังบุญของตน หลังจากพักอยู่ที่วัดพระเชตวันพอสมควรแล้ว ก็พากันกลับไปยังหมู่บ้านของตนเอง เพื่อแสดงธรรมโปรดหมู่ญาติ ที่ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับลัทธิความเชื่อต่างๆ แล้วให้หันกลับมานับถือพระรัตนตรัย พระเถระได้เปลี่ยนคนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิให้กลายมาเป็นสัมมาทิฏฐิ ได้พบความสว่างไสวในธรรมมากมาย
เห็นไหมจ๊ะ ว่าสิ่งที่ควรเผาผลาญไม่ใช่สังขารร่างกาย คืออย่าไปทรมานร่างกายให้ได้รับความลำบากเลย เพราะตามปกติสังขารร่างกายของเราก็บอบบางอยู่แล้ว ควรจะทะนุถนอมดูแลให้ดี จะได้เหมาะสมต่อการทำงานที่แท้จริงคือ การเผาผลาญกิเลสที่มีอยู่ในใจ มีความโลภความโกรธ ความหลงเป็นต้น ความโลภและความตระหนี่ในใจก็ต้องเผาผลาญ ด้วยการให้ทาน จึงจะถูกต้องตามหลักพุทธวิธี จะเผาผลาญความโกรธให้สูญสิ้น ก็ต้องอาศัยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์และการเจริญสมาธิภาวนาเท่านั้น จึงจะสามารถเผาผลาญความหลงได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นน่ะให้ลูกทุกคนรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง อย่าให้เจ็บป่วยไข้ แล้วก็รีบลงมือปฏิบัติธรรมเพื่อเผาผลาญกิเลส ที่มีอยู่ภายในให้หลุดร่อนไปจากใจกันให้ได้ทุกคนนะจ๊ะ