Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๑๗
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกายคาถาธรรมบทว่า
บุคคลไม่ควรใส่ใจ คำก้าวร้าวของคนอื่น
ไม่ควรมองการงานของคนอื่นว่า เขาทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำ
ควรพิจารณาดูแต่งงานของตนว่า ที่ทำเสร็จแล้วหรือยังไม่ได้ทำเท่านั้น
วิสัยของบัณฑิตนักปราชญ์ท่านจะพิจารณาตนเอง ไม่มัวเสียเวลาไปเพ่งโทษคนอื่น มีแต่หมั่นแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ตั้งใจทำแล้วแต่ยังไม่ได้ทำ หรือทำแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ ก็จะรีบขวนขวายลงมือทำ ไม่มัวผลัดวันพระกันพรุ่ง เนื่องจากตระหนักงดีว่าวันเวลาของชีวิตในโลกนี้มีน้อยนิด แค่พิจารณาปรับปรุงแก้ไขตนเองอย่างเดียวก็หมดเวลาแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปคิดถึงเรื่องของคนอื่น ที่มัวแต่วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาหาข้อสรุปอะไรไม่ได้ ฟังแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด มีแต่เสียเวลาและทำให้ใจฝุ่นมัวเสียเปล่าๆ
เราเป็นนักสร้างบารมีเป็นคนเสียเวลาคิดเล็กคิดน้อย หรือมากังวลกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่ไม่ปรารถนาดี ควรมุ่งสร้างบารมีเรื่อยไปเมื่อตั้งใจจะทำสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่โลกแล้ว ก็อย่าให้อุปสรรคทั้งหลายมาทำให้เราล้มเลิกความตั้งใจ แต่จงมองข้ามอุปสรรคไปที่เป้าหมาย เอาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแรงขับเคลื่อน ให้เกิดพลังใจที่จะต่อสู้เพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง เพื่อยังสันติภาพให้มันเกิดขึ้นในโลก และให้ชาวโลกทุกคนได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง และเข้าถึงพระธรรมกายกันนะจ๊ะ
สำหรับวันนี้เรายังคงมาติดตามรับฟังเรื่องพระเตมียกุมารกันต่อนะจ๊ะ เมื่อครั้งที่แล้วหลวงพ่อได้เล่าถึงว่าสุนันทาสาระถีรับพระราชโองการจากพระเจ้ากาสิกราชว่าให้เป็นผู้นำพระเตมียกุมาร ไปฝังทั้งเป็นที่ป่าช้าผีดิบ เขาก็รีบกลับมาเตรียมการทุกอย่าง ตามกระแสรับสั่งแต่ในขณะที่นอนรอให้ถึงเวลารุ่งเช้า เขาไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เพราะนึกอยู่ตลอดเวลาว่าตนจะต้องปลงพระชนม์พระราชกุมาร ภายในจิตใจจึงที่มีแต่ความร้อนรุ่มไม่สบายใจ นอนกระสับกระส่ายตลอดคืนยันรุ่ง แต่เมื่อไม่อาจจะฝืนพระราชโองการได้ จึงได้แต่คิดว่าตนจะกระทำตามหน้าที่เท่านั้น
ครั้นรุ่งเช้า สุนันทสารถีจึงลุกขึ้นด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง มีแต่ความรันทดหดหู่ใจ เพราะรู้ว่าตนเองจะต้องทำปาณาติบาต ต้องประหารเตมียกุมารผู้ไม่มีทางสู้ เมื่อถึงเวลาก็เดินเข้าไปในโรงเก็บราชรถ เพื่อเลือกหารถอัปมงคล เที่ยวเดินเลือกรถอยู่แต่เช้า แต่ไม่พบรถคนไหนที่ตนพอใจเลย เทวดาจึงดลใจให้เลือกรถมงคล แล้วก็ให้เทียมด้วยม้าที่เป็นมงคล เมื่อเทียมรถเสร็จแล้วจึงขับเข้าสู่ถนนด้านหน้าพระราชวัง หยุดรถนั้นไว้แทบพระราชทวาร แล้วขึ้นสู่พระราชนิเวศน์อันเป็นที่ประทับของพระนางจันทาเทวี และพระราชกุมาร
ฝ่ายพระนางจันทราเทวีทรงบรรทมไม่หลับทั้งคืน เพราะรู้ว่า พระโอรสจะต้องจากไปแล้ว พระนางได้สรงสนานให้พระโอรสแต่เช้าตรู่ ตกแต่งองค์เสร็จแล้วก็สวมกอดพระโอรสไว้ พร้อมด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด
ทางด้านสุนันทสารถี แม้จะจงรักภักดีต่อพระนางเจ้าและพระโอรสเพียงใด ก็จำต้องอดกลั้นความสงสารและความเห็นใจนั้นไว้ เดินผ่านประตูเข้าสู่ห้องบรรทม เข้าไปนั่งคุกเข่าถวายบังคมพระเทวีแล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระเทวี ขอพระแม่เจ้าอย่าได้กริ้วข้าพระบาทเลย ข้าพระบาทรับพระราชบัญชามา จำเป็นต้องทำตามรับสั่ง ขอพระนางเจ้าจงถอยออกไปก่อนเถิด อย่าได้ห้ามข้าพระบาทเลย” กราบทูลดังนี้แล้ว ก็เอาหลังมือกันพระเทวีซึ่งนั่งสวมกอดพระโอรสอยู่ให้พ้นออกไป แล้วอุ้มเอาพระราชกุมารผู้บริสุทธิ์ดุจกำดอกไม้ที่งดงาม หันหลังกลับเพื่อเดินลงจากปราสาท
ส่วนพระนางจันทาเทวี เมื่อถูกแย่งเอาพระโอรสออกจากอ้อมอกไปก็ไม่อาจอดกลั้นความเศร้าโศกอันเกิดจากความพลัดพรากจากพระราชกุมารผู้เป็นที่รักได้ จึงสยายพระเกศา ทรงปริเทวนาการดังสนั่นอยู่กับหมู่นางสนมในปราสาทนั้น
พระโพธิสัตว์เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระมารดากรรแสง ก็เป็นเหมือนพระหฤทัยจะแตกสลาย ด้วยความรักและสงสารพระมารดา ทรงดำริว่า เมื่อเราไม่พูดกับพระชนนี พระองค์ก็จะมีพระทัยแตกสลาย จึงทรงใคร่ที่จะพูดด้วย แต่เมื่อทรงนึกถึงความปรารถนาที่จะสำเร็จในเวลาอันใกล้ ก็ทรงอัดอั้นตันพระทัยแล้วทรงดำริต่อไปว่า ถ้าเราจะพูดกับพระมารดา ความพยายามที่เราทำมาถึง ๑๖ ปี ก็จะไร้ประโยชน์ แต่เมื่อเราไม่พูดนั่นแหละ ก็จะเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง แก่พระชนกพระชนนี และแก่มหาชน ดำริดังนี้แล้ว จึงทรงอดกลั้นความโศกาอาดูรนั้นเสีย ไม่ตรัสอะไรกับพระชนนี ทรงหลับพระเนตรนึกถึงศีลที่พระองค์ทรงรักษาด้วยดีมาตลอด แล้วทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ขออานุภาพแห่งศีลที่เรารักษามาดีแล้วนี้ จงคุ้มครองพระชนนีให้ทรงปลอดภัยด้วยเถิด”
ส่วนนายสารถีนั้น อุ้มพระโพธิสัตว์ให้ขึ้นประทับบนรถแล้ว ก็ขับรถมุ่งตรงออกสู่ถนนหน้าประตูด้านทิศตะวันออก แม้คิดว่าเราจะขับรถออกจากประตูด้านทิศตะวันตกตามพระราชบัญชา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถูกเทวดาดลใจให้ขับมุ่งตรงไปสู่ประตูด้านทิศตะวันออกนั้น เมื่อรถแล่นถึงประตูด้านหน้าพระราชวัง พระโพธิสัตว์ทรงสดับเสียงล้อรถกระทบธรณีประตู ก็ทรงดำริว่า บัดนี้ความพากเพียรที่เราทำมาถึง ๑๖ ปีได้ประสบผลสำเร็จแล้ว ก็ทรงมีพระหฤทัยแช่มชื่นเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง ราชรถก็ได้แล่นไกลออกจากพระนครไปเรื่อยๆ สิ้นระยะทางประมาณสามโยชน์ ถึงชายป่าอันร่มรื่นน่ารื่นรมย์ใจแห่งหนึ่ง แต่น่าแปลกใจที่ป่าแห่งนั้นได้ปรากฏแก่สายตาของนายสารถีประดุจป่าช้าผีดิบ นายสารถีจึงคิดว่า ตรงนี้แหละเหมาะสมจะเป็นสถานที่ฝังพระราชกุมาร จึงชะลอรถแวะลงจอดที่ข้างทาง สารถีคิดว่าการฝังพระโอรส พร้อมด้วยเครื่องประดับทำให้สูญเสียสมบัติอันล้ำค่าไปเสียเปล่า จึงเปลื้องเครื่องทรงของพระโพธิสัตว์ออกแล้วห่อไว้ เสร็จแล้วก็ถือจอบเริ่มลงมือขุดหลุมสี่เหลี่ยม ในที่ไม่ไกลจากรถ
ส่วนพระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า ขณะนี้เป็นเวลาที่เราจะต้องเคลื่อนไหวแล้ว ก็เราทำความพยายามมาถึง ๑๖ ปีโดยไม่เคลื่อนไหวมือและเท้าเลย ก็บัดนี้กำลังของเรายังมีอยู่หรือไม่หนอ จึงค่อยๆ เอาพระหัตถ์ข้างซ้ายลูบพระหัตถ์ข้างขวา เอาพระหัตถ์ข้างขวาลูบพระหัตถ์ข้างซ้าย แล้วนวดพระบาททั้งสอง จากนั้นจึงเสด็จลุกขึ้น ทรงดำริที่จะลงจากรถ ขณะนั้น แผ่นดินตรงที่จะนูนสูงขึ้นเพื่อรองรับพระบาทของพระองค์ พระโพธิสัตว์จึงเสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินกลับไปกลับมาอยู่พักหนึ่ง ก็ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้มีพละกำลังมาก อวัยวะทุกอย่างยังใช้การได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนว่าพระโพธิสัตว์จะทำอย่างไรต่อไป ก็ให้ลูกๆ มาติดตามรับฟังกันต่อในวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ
พระธรรมเทศนา โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)