ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : อมรตบะ


ธรรมะเพื่อประชาชน : อมรตบะ

Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP135_01.jpg

อมรตบะ
 

                        เราเกิดมาในภพชาตินี้ไม่ได้มาเพื่อเสวยสุข ซึ่งเป็นช่วงเวลาประเดี๋ยวประด๋าว หรือเพียงเพื่อมาชดใช้กรรมที่ได้ทำไว้ในอดีต แต่มีเป้าหมายชัดเจนคือ เพื่อสั่งสมบุญบารมี และเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง จะได้มุ่งไปสู่อายตนะนิพพาน ความสุข ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เป็นผลอันเกิดจากการกระทำในปัจจุบัน และเป็นเหตุปัจจัยจากภพชาติก่อน สิ่งที่เราจะต้องหมั่นทำให้ยิ่งๆ ขึ้นไปคือบุญกุศล เพราะเมื่อมีบุญบารมีมาก ความสุขและความสำเร็จก็มากตามไปด้วย อุปสรรคทั้งหลายที่มีอยู่ก็จะละลายหายสูญไป เหมือนแสงสว่างที่เกิดขึ้น ย่อมขจัดความมืดให้หมดสิ้นไป การสั่งสมบุญด้วยการเจริญสมาธิภาวนานั้น จะทำให้เราได้ที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐ คือเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในเป็นบุญพิเศษ และเป็นทางลัดที่จะนำเราไปสู่อายตนะนิพพาน อันเป็นเป้าหมายชีวิตที่สูงสุดของมวลมนุษยชาติทั้งหลาย      

                                                                                                                                                                                              
                        มีวาระพระบาลีใน ปัจจุปัฏฐานสัญญกเถราปทาน ความว่าผู้ใดพึงบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นนายกของโลกนี้ แม้ยังดำรงพระชนม์อยู่ก็ดี พึงบูชาพระบรมธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดผักกาด ของพระพุทธเจ้า แม้ปรินิพพานแล้วก็ดี เมื่อจิตอันเลื่อมไสของผู้นั้นเสมอกันบุญก็มีผลมากเสมอกัน คนเราเมื่อดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ หากขาดปัญญาในการดำเนินชีวิตแล้ว ก็จะทำให้ดำเนินชีวิตผิดพลาด เมื่อประสบกับความทุกข์ ความไม่รู้หนทางที่จะแก้ไข ก็จะหันไปพึ่งสิ่งที่ไม่ใช่สรณะ ไปนับถือผีเจ้าเข้าทรง ที่คิดว่าจะเป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถที่จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกให้กับเราได้ และยังทำให้เกิดโมหะอีกด้วย ส่วนคนที่มีบุญบารมี มีปัญญาที่ได้สั่งสมอบรมมาดี ก็จะมองออกว่า ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงคือพระรัตนตรัย แล้วจะเพิ่มพูนความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยยิ่งๆ ขึ้นไป บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ย่อมติดตามตัวบุคคลนั้นไปทุกภพทุกชาติ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปสู่สุคติภูมิ ดังเรื่องที่หลวงพ่อจะเล่าให้ฟังในวันนี้นะจ๊ะ 

 

                        ในครั้งพุทธกาลมีพระเถระรูปหนึ่งชื่อว่า พระอังคณิกภารทวาชเถระ ภพชาติในอดีตของท่าน เคยได้โอกาสสั่งสมบุญกุศลกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ด้วยกัน ภายในกัปที่ ๓๑ นับถอยหลังไปจากกัปนี้ ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ได้สั่งสมมาอย่างดีแล้ว จึงส่งผลให้ท่านมาบังเกิดยังตระกูลที่ร่ำรวย มีโภคะมาก และก็นับว่าเป็นบุญของท่านอีกที่ได้เกิดมาตรงกับยุคสมัยที่พระพุทธเจ้าพระนามว่า สิขี ได้อุบัติขึ้นในโลกพอดี ครั้นเจริญวัยแล้ว มีอยู่วันหนึ่งท่านได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ เมื่อเห็นแล้วจึงได้ไหว้และก้มลงกราบด้วยความศรัทธาเลื่อมใสอย่างล้นพ้น ด้วยอำนาจกุศลผลบุญที่ได้กราบไหว้ ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสนี้เอง เมื่อละจากโลกไปแล้ว ทำให้ท่านไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ในระหว่างที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้น ท่านไม่เคยไปสู่ทุคติเลย จะวนเวียนอยู่แค่ ๒ ภพภูมิ คือระหว่างภพมนุษย์กับเทวโลกเท่านั้น

                      

                        พอมาถึงพุทธกาลนี้ ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ท่านสั่งสมมาอย่างดีแล้ว ส่งผลให้ท่านมาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาสาร   ในเมืองอุกกัฏฐะ มีโภคะสมบัติมากมาย หมู่ญาติพี่น้องได้ตั้งชื่อให้ท่านว่าอังคณิกภารทวาชะ  ครั้นเจริญวัยก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาในทางโลกจนสำเร็จ แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้มีบุญจึงเกิดความเบื่อหน่ายในเพศฆราวาส ต้องการออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรมทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่า หนทางสู่ความหลุดพ้นเป็นอย่างไร จึงได้ขออนุญาตมารดาบิดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ท่านก็ออกบวชเป็นปริพาชกทันที หลังจากบวชแล้วก็ได้ประพฤติ อมรตบะ คือบำเพ็ญตบะที่จะไม่ให้ตาย จากครูคนหนึ่ง แล้วจะเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ

 

                        อยู่มาวันหนึ่งปริพาชกได้พบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ที่ชนบทแห่งหนึ่ง เมื่อได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใสได้แสดงความเคารพทันที แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับพระพุทธองค์ ต่อมาเมื่อรู้ว่า พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ไหนแล้ว พอได้เวลาก็เดินทางไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ เมื่อได้ฟังธรรมและรู้วิธีปฏิบัติ เพื่อได้บรรลุมรรคผลนิพพานในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ตระหนักดีว่า วิธีการประพฤติปฏิบัติของตนที่ผ่านมานั้นมันผิดวิธี ถึงจะบำเพ็ญเพียรยิ่งยวดอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ในวัฏสงสารไปได้ จะเข้าถึงความเป็นอมตะได้ ต้องเดินทางสายกลางคือ มัชฌิมาปฏิปทา ต้องปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น จึงเลิกวิธีการปฏิบัติที่ผิดพลา ที่ผ่านมาอย่างเด็ดขาด จากนั้นก็สละเพศปริพาชกขอบวชในพระพุทธศาสนา ครั้นบวชแล้ว พระอังคณิกภารทวาชะ ก็มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมอย่างต่อเนื่อง ต่อมาไม่นานก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ทรงอภิญญา ๖ สมกับความตั้งใจที่ได้ออกบวช  เพื่อแสวงหาหนทางสู่ความหลุดพ้น จากทุกอย่างแท้จริง

                         

                        มีอยู่วันหนึ่งพระเถระตั้งใจจะบำเพ็ญ ญาตัตถจริยาคือ ปรารถนาจะอนุเคราะห์หมู่ญาติ จึงดำริที่จะเดินทางไปโปรดหมู่ญาติที่บ้านเกิด วันรุ่งเช้าท่านได้เดินทางไปบ้านเกิดตามลำพัง เมื่อไปถึงก็พูดชักชวนให้หมู่ญาติให้เข้ามาฟังธรรม แล้วท่านก็แสดงธรรมได้พูดถึงคุณของพระรัตนตรัยและอนิสงส์ของการรักษาศีล เพื่อให้หมู่ญาติมีความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัย และให้ทุกคนตั้งใจรักษาศีล หลังจากนั้นท่านก็เดินทางกลับไปพักอยู่ในป่าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านกุณฑิยะ ในแคว้นกุรุ

 

                        วันหนึ่งพระเถระได้เดินทางไปอุคคาราม ด้วยกิจธุระบางอย่าง จึงได้พบกับพวกพราหมณ์ ซึ่งพราหมณ์กลุ่มนี้ในอดีต ก็เป็นที่รู้จักคุ้นเคยกับท่าน ในสมัยที่ยังอยู่ร่วมกันในอุตตราปถนิคม เมื่อพวกพราหมณ์เห็นเพศนักบวชของพระเถระแล้ว จึงซักถามด้วยความสงสัยว่า ท่านภารทวาชะผู้เจริญ ท่านเห็นประโยชน์อะไร จึงได้ละทิ้งลัทธิพราหมณ์ที่นับถือมาช้านาน แล้วไปนับถือพระพุทธศาสนาเล่า พระเถระได้ชี้แจงเหตุผลให้พวกพราหมณ์ฟังว่า ความบริสุทธิ์หลุดพ้น จะหาจากที่ไหนๆ ก็ไม่พบ จะมีก็เฉพาะในอริยมรรค ซึ่งเป็นความรู้ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

 

                        เมื่อก่อนเราเคยตามหาความบริสุทธิ์ โดยที่ไม่ได้พินิจพิจารณาด้วยปัญญาอันแยบคาย จึงได้เข้าไปบูชาไฟอยู่ในป่า เมื่อไม่รู้จักหนทางแห่งความบริสุทธิ์ จึงบำเพ็ญอมรตบะ แต่บัดนี้เรารู้หนทางแล้ว เมื่อพวกพราหมณ์ได้ฟังเหตุผลของพระเถระแล้ว ก็เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของท่าน เพราะต่างก็เป็นผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์เหมือนกัน ครั้นตรองตามดูก็เกิดดวงปัญญาเห็นตามว่า ความสะอาดบริสุทธิ์จะหาได้ก็เฉพาะในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เมื่อปรึกษาหารือกันแล้ว จึงตัดสินใจละทิ้งความเชื่อเดิม และหันมานับถือพระพุทธศาสนา ได้ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

 

                        เราจะเห็นได้ว่า ใครก็ตามที่มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้สูงสุดของบุคคลใดในภพ ๓ จะไปหาใครมาเปรียบเทียบกับพุทธองค์ไม่ได้อีกแล้ว เพราะพระองค์ทรงถึงพร้อม ด้วยที่สุดของทุกสิ่ง ทรงมีอานุภาพไม่มีประมาณ และมีพระคุณอันจะนับจะประมาณมิได้ ฉะนั้นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ย่อมบังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น ความเลื่อมใสในฐานะที่น่าเลื่อมใสนี่แหละ จะทำให้ชีวิตของผู้นั้นไม่มีวันตกต่ำเลย จะประสบแต่ความสุขและความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งในภพชาติปัจจุบัน และในภพชาติต่อๆ ไปทุกภพทุกชาติกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม และที่สำคัญ เมื่อเราเกิดมาแล้วต้องรู้จักเลือกสรร เอาแต่สิ่งที่เป็นสาระมาใส่ตัว หากรู้ว่าสิ่งไหนไม่ดีก็ให้หักดิบตัดใจเลิกจากสิ่งเหล่านั้นเสีย อย่าให้ทิฏฐิมานะมาบดบังการได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ต้องไม่ตามใจกิเลสไม่ตามใจตนเอง ให้เห็นแก่ความถูกต้องมากกว่าถูกใจ แม้จะต้องใช้ความอดทน หรือลำบากยากเข็นเพียงใดก็ต้องสู้ ต้องสู้จนกว่าจะชนะ แล้วเราจะเป็นผู้สมบูรณ์พร้อมทั้งกายวาจาใจ และได้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับอนุชนรุ่นหลัง ที่จะตามมาสร้างบารมีในโลกมนุษย์ กับเราอีกมากมายกันนะจ๊ะ

พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล