Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
บวชสร้างบารมี
มีวาระพระบาลีที่พระโพธิสัตว์เจ้ากล่าวไว้ใน ยุธัญชยชาดก ว่า
อุสฺสาโวว ติณคฺคมฺหิ สุริยสฺสุคฺคมนํ ปติ
เอวมายุมนุสฺสานํ มา มํ อมฺม นิวารเยติ ฯ
น้ำค้างบนยอดหญ้าพระอาทิตย์ขึ้นก็เหือดแห้งไปฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ขอทูลกระหม่อมแม่อย่าทรงห้ามหม่อมฉันออกบวชเลย
การพิจารณาเห็นโลกและชีวิตไปตามความเป็นจริง เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ถูกกิเลสอาสวะครอบงำ ให้หลงระเริงยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ต่างๆ หรือแม้จะรู้ว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ เต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้าน แต่ก็ยอมที่จะจมอยู่กับความทุกข์นั้นต่อไป
เพราะไม่รู้หนทางหลุดพ้น เหมือนเดินวนอยู่ในห้องมืด ต้องรอคอยกัลยาณมิตรมาแนะนำ ให้แสงสว่างในชีวิตจึงจะรู้จักเส้นทางไปสู่สวรรค์และนิพพาน เพราะฉะนั้นการตัดสินใจออกบวชบำเพ็ญสมณธรรม เพื่อแสวงหาโมกขธรรมจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง ผู้ที่กล้าตัดสินใจออกบวชจึงเป็นการตัดสินใจอันประเสริฐ ยิ่งกว่าความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ครอบครองทวีปทั้ง ๔ พรั่งพร้อมไปด้วยรัตน ๗ ประการเสียอีก เพราะนี่เป็นความปรารถนาที่จะกำจัดกิเลสอาสวะ ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ให้หมดสิ้นไปอย่างแท้จริง เหมือนความคิดของพระบรมโพธิสัตว์ในการก่อน ที่หลวงพ่อจะนำมาเล่าให้ลูกๆ ทุกคนได้รับฟังกันในวันนี้
เรื่องก็มีอยู่ว่าในอดีตกาล ได้มีพระราชาทรงพระนามว่าสัพพทัต ทรงครองราชสมบัติอยู่ที่ รัมมะนคร มีพระราชโอรสพันพระองค์ ทรงสถาปนาพระราชโอรสพระองค์ใหญ่พระนามว่า ยุธัญชัย เป็นพระอุปราช พระอุปราชได้ทรงบำเพ็ญมหาทานทุกวัน ไม่เคยขาดเลย ครั้นกาลเวลาผ่านไปหลายร้อยปี
วันหนึ่งยุธัญชัยกุมาร เสด็จไปเล่นในพระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรหยาดน้ำค้าง บนปลายยอดหญ้า บนกิ่งไม้แล้วก็ที่ใยแมงมุมก็ ทรงจดจำความใสบริสุทธิ์ของหยดน้ำเอาไว้ ทรงเล่นกีฬากับพระสหายจนถึงเวลาเย็น ครั้นกลับมาดูหยาดน้ำค้างอีกทีก็หายไปเสียแล้ว พระราชกุมารพอทราบว่า น้ำค้างระเหยไปเพราะแสงอาทิตย์ จึงสอนตัวเองว่า แม้ตัวเราสักวันหนึ่ง ก็ต้องถูกความร้อนคือความแก่ ความเจ็บและความตายเผาผลาญเอา ควรจะอำลาพระราชมารดาและพระราชบิดาไปบวชจะดีกว่า ว่าแล้วก็ทรงกระทำหยาดน้ำค้างให้เป็นอารมณ์ ทรงมีพระทัยมั่นที่จะออกผนวช เพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์
เมื่อเสด็จกลับมาในท้องพระโรงซึ่งล้นหลามไปด้วยเหล่าอำมาตย์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พระองค์จึงถือโอกาสทูลลาผนวชกับพระราชบิดา พระราชาทรงห้ามปรามเอาไว้ว่า ถ้าเธอยังบกพร่องด้วยกามคุณทั้งหลาย พ่อจะหามาเพิ่มเติมให้เต็มทุกอย่าง ผู้ใดเบียดเบียนเธอพ่อจะห้ามปรามและรับสั่งให้ขจัดบุคคลนั้นเสีย พ่อยุธัญชัยอย่าเพิ่งรีบด่วนที่จะออกบวชเลย จงยินดีในราชสมบัติที่พ่อจะมอบให้ทั้งหมดนี้เถิด
เนื่องจากพระกุมารไม่ทรงยินดีในสมบัติเหล่านั้นเลย ท่านอยากได้อริยสมบัติมากกว่า เพราะจะทำให้ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป จึงตรัสว่าหม่อมฉันนั้นไม่ได้บกพร่องด้วยกามคุณทั้งหลาย และในโลกนี้ก็ไม่มีใครน่ะเบียดเบียนหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันปรารถนาจะทำที่พึ่งที่ชาติ ชรา มรณะครอบงำไม่ได้ ขอพระองค์อย่าทรงห้ามหม่อมฉันเลย อย่าให้หม่อมฉันมัวเมาอยู่กับกามคุณทั้งหลายเลย อย่าให้หม่อมฉันเป็นไปในอำนาจของชลาที่เข้ามาเยือนอยู่ทุกขณะเลย
เมื่อพระโอรสทรงมีพระทัยมุ่งมั่นเช่นนั้น พระราชาก็ทรงยอมจำนน แต่ทางฝ่ายพระราชมารดาครั้นสดับข่าวว่า พระโอรสกำลังจะเสด็จออกผนวช พระพักตร์ยังไม่ได้ผัด ภูษาอาภรณ์ก็นุ่งห่มยังไม่ทันจะเรียบร้อย เพราะความรีบร้อนที่อยากจะมาพบกับพระโอรส จึงได้เสด็จไปตรัสอ้อนวอนว่า ลูกแม่ขอร้องเจ้า แม่ไม่อยากให้เจ้าไป แม่ปรารถนาจะเห็นเจ้านานๆ เจ้าอย่าได้บวชเลย
เมื่อพระราชกุมารสดับถ้อยคำของพระราชมารดา ก็ไม่ได้ทำให้ใจของพระองค์หวั่นไหวได้ จึงกราบทูลว่า น้ำค้างบนปลายยอดหญ้า พระอาทิตย์ขึ้นก็เกิดแห้งไปฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็ฉันนั้น เมื่อความแก่ ความเจ็บ ความตายเข้ามาครอบงำ ทุกคนก็ต้องพลัดพรากจากกันไป พระโอรสจึงทูลขอร้องขอทูลกระหม่อมแม่อย่าทรงห้ามหม่อมฉันเลย ถึงกระนั้นพระมารดาก็ยังอ้อนวอนขอร้อง ไม่อยากจะให้พระโอรสต้องไปตกระกำลำบากตามลำพัง พระโอรสจึงทูลขอร้องให้พระบิดา พาพระราชมารดากลับไปยังตำหนักเหมือนเดิม จะได้ไม่มาทำอันตรายต่อการบรรพชาของพระองค์ พระราชาทรงสดับพระดำรัสของพระโอรสแล้ว ก็ไม่อยากจะขัดขวางความปรารถนาอันสูงส่งของลูก เพราะเห็นว่านั่นน่ะเป็นทางสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจริงๆ และนี่ก็เป็นการตัดสินใจอันยิ่งใหญ่ ที่หาใครๆ ในโลกยากที่จะทำอย่างนี้ได้
จึงตรัสกับพระมเหสีว่า พระนางผู้เจริญเธออย่าได้ขัดขวางหนทางสวรรค์และนิพพานของลูกเลย จงปล่อยให้ลูกเจริญในธรรมของพระอริยเจ้าทั้งหลายเถิด เมื่อว่ามารดาสดับพระดำรัสของพระราชาแล้ว ก็มิอาจที่จะคัดค้านอีกต่อไปได้หลีกทางให้ แล้วขึ้นไปประทับยืนอยู่บนประสาทพร้อมด้วยหมู่นารีอีก ๕๐๐ นางทอดพระเนตรดูพระโอรส ที่กำลังหันหลังให้กับพระราชบัลลังก์ มุ่งหน้าสู่ป่าหิมพานต์
ก่อนออกเดินทางพระขนิษฐาของพระยุธัญชัยกุมารพระนามว่า ยุธิฏฐิละ ถวายบังโคมพระราชบิดา กราบทูลขออนุญาตพระบิดา เพื่อติดตามพระเจ้าพี่ออกผนวชด้วยอีกคนหนึ่ง เมื่อได้รับอนุญาตแล้วทั้งสองก็ออกเดินทางไปด้วยกัน ด้วยพระหฤทัยที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ในครั้งนั้นน่ะทำให้มีมหาชนคิดจะติดตามพระองค์ออกบวชกันมากมาย แต่พระองค์ทรงห้ามเอาไว้ เมื่อทั้งสองพระองค์ผนวชแล้ว ก็ได้ทำฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้นทรงเลี้ยงชีพด้วยผลหมากรากไม้ คลั้นละโลกไปแล้วก็ไปบังเกิดในสุคติภพ
เห็นไหมจ๊ะว่า นักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลาย ท่านออกบวชกันเพราะมีเป้าหมายอันสูงส่ง ไม่ใช่บวชเพราะชีวิตล้มเหลว การออกบวชน่ะไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องพอดีพอร้าย เป็นสิ่งที่มีสาระที่สุด ที่ทุกคนควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย ที่ได้เกิดในบวรพระพุทธศาสนา ต้องหาโอกาสบรรพชาอุปสมบทให้ได้สักครั้ง พวกเราทั้งหลายที่ได้เกิดเป็นชาย อันเป็นอุดมเพศเป็นผู้ได้โอกาสอันประเสริฐ ที่จะเป็นเหตุ ให้เราได้บำเพ็ญเนกขัมมบารมี ได้ศึกษาค้นคว้าธรรมะ ทั้งภาคปริยัติและปฏิบัติโอกาสเช่นนี้น่ะเป็นสิ่งที่หาได้ยากในชีวิต นอกจากจะเป็นการพัฒนาตนเอง ฝึกฝนอบรมตัวเองให้มีชีวิต ที่สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไปแล้ว ยังมีโอกาสได้ทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตร ให้แก่โยมพ่อโยมแม่และหมู่ญาติ ชักนำให้ท่านได้เข้ามาสู่เส้นทางธรรม เป็นการเปิดประตูสวรรค์และนิพพานให้กับท่านอีกด้วย ได้ทั้งบุญกุศลที่เกิดขึ้นกับตนเองและหมู่ญาติ เป็นการสร้างบารมีแผ้วถางทางไปสู่พระนิพพานกันนะจ๊ะ
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์
หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)