Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ผลแห่งการบูชาบุคคลที่ควรบูชา
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับสั่งด้วยพระองค์เองว่า ความไม่ประมาทเป็นยอดแห่งธรรมทั้งหลาย ใครก็ตามที่ดำรงตนอยู่ด้วยความไม่ประมาท ชีวิตของผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นอมตะไม่มีวันตายจากคุณงามความดี ใครก็ตามที่ใช้ชีวิตอย่างประมาทมัวเมา ชีวิตของผู้นั้นเสมือนผู้ที่ตายไปแล้ว เกิดมาก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีสาระแก่นสารอะไร ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขอันใดทั้งแก่ตนและผู้อื่น ความไม่ประมาทนี้ได้ชื่อว่า ครอบคลุมไว้ซึ่งความดีทุกประการ หากเราไม่มีความประมาท และมีความตระหนักแน่นอยู่ในใจแล้ว เราก็จะใช้ชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า ความไม่ประมาทจะทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ได้อย่างแท้จริง ซึ่งต้นแหล่งแห่งความไม่ประมาทก็คือ การมีสติอยู่ที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลา ใจหยุดนิ่งอยู่ในกลางพระธรรมกายทุกอนุวินาที หากทำเช่นนี้เราจะได้ชื่อว่า เป็นผู้มีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาทโดยแท้จริง
มีวาระแห่งภาษิตที่ปรากฏอยู่ใน ธูปทายกเถราปทานที่ ๖ ความว่า
“เรามีจิตเลื่อมใส ได้ถวายธูปไว้ในพระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้เป็นเชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ เราเข้าถึงกำเนิดใดๆ คือความเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในกำเนิดนั้นๆ เราย่อมเป็นที่รักของชนแม้ทั้งหมด นี้เป็นผลแห่งการถวายธูป ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ เราได้ถวายธูปใดในเวลานั้น ด้วยผลแห่งการถวายธูปนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายธูป คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว”
ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะเห็นกันเป็นประจำคือ เวลาที่เราจะบูชาพระรัตนตรัยหรือพระพุทธรูป ซึ่งเป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะมีการจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ไม่ใช่มีเพียงสมัยนี้เท่านั้น ในสมัยก่อนมีการบูชาอย่างนี้มาแล้ว จนกระทั่งเป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงพวกเรา และผู้ที่บูชาพระรัตนตรัยก็ได้ประสบผลแห่งบุญที่ได้กระทำไว้อย่างดีแล้ว ในครั้งนี้หลวงพ่อจะนำเอาชีวประวัติของพระเถระรูปหนึ่งมาเล่า เพื่อเป็นกำลังใจกับทุกท่านผู้รักในการบูชาพระรัตนตรัย และเราจะได้เกิดความมั่นใจว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่นักสร้างบารมีทั้งหลายในกาลก่อนท่านก็ทำมาแล้วเหมือนกัน แล้วจะได้ถือเป็นแบบแผนที่ดีปฏิบัติสืบต่อไป
พระเถระรูปนี้ท่านเป็นผู้โชคดีได้โอกาสเกิดมาพบพระพุทธศาสนา และได้สั่งสมบารมีไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาหลายพระองค์ ทุกครั้งที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา บุญในตัวของท่านจะกระตุ้นเตือนให้ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต ท่านจะคิดได้ด้วยตัวเองและจะสั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ ในภพชาตินั้นๆ อย่างเต็มกำลังความสามารถ
* จนกระทั่งมาถึงยุคแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ ท่านได้บังเกิดในตระกูลที่มีฐานะดี พอทราบข่าวการบังเกิดขึ้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มีจิตเลื่อมใส จึงหาโอกาสไปทำบุญสักการบูชาอย่างสมํ่าเสมอ ตั้งใจเอาบุญอย่างเต็มที่ วันหนึ่งคิดว่า เรามีโอกาสได้สร้างบุญกับพระผู้มีพระภาคเจ้าเช่นนี้ นับเป็นบุญลาภอันประเสริฐของเรา เราควรที่จะทำการบูชาพระพุทธองค์ด้วยบุญพิเศษสักอย่างหนึ่ง
เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็ตั้งใจไปแสวงหาไม้จันทน์ที่มีกลิ่นหอม ไม้กฤษณา และไม้กระลำพัก ล้วนเป็นไม้หอมที่หาได้ยากอย่างยิ่งในสมัยนั้น เอามาทำเป็นธูปหอม แล้วนำไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านทำการบูชาด้วยธูปเป็นอันมาก บุญที่ทำการบูชาด้วยธูปหอม ยังใจของท่านให้เกิดมหาปีติอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ใจก็ยังปีติอยู่กับบุญนั้น ด้วยบุญกรรมนั้นส่งผลให้ท่านได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เสวยสมบัติทั้งในเทวโลกและมนุษยโลกเป็นเวลายาวนานทีเดียว ในทุกๆ ที่ที่ท่านไปเกิด ก็จะเป็นผู้ที่ควรแก่การบูชาในภพที่บังเกิดนั้น
อานิสงส์ของการถวายธูปหอมบูชาพระตถาคตเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย มีมากมายถึง ๑๐ ประการด้วยกัน คือ ๑.จะเกิดไปในภพชาติใดก็ตาม จะเป็นผู้ที่มีกลิ่นตัวหอมฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศ ๒.จะเป็นผู้ที่มียศใหญ่ ๓.จะเป็นผู้ที่มีปัญญาว่องไว ๔.เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงดีงาม ขจรขจายไปทั่ว ๕.มีปัญญาที่เฉียบแหลม ๖.มีปัญญาที่กว้างขวาง รู้ได้ครอบคลุม ๗.จะเป็นผู้ที่มีปัญญาที่แจ่มใสร่าเริง สามารถให้ทุกๆ คน มีกำลังใจในการสร้างความดี ๘.มีปัญญาลึกซึ้งรู้ได้ลุ่มลึกไปตามลำดับ ๙.มีปัญญาเครื่องแล่นไปไพบูลย์ หมายถึงว่า สามารถสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชาวโลกด้วยปัญญาของตนเอง และประการที่ ๑๐.จะได้บรรลุพระนิพพานเป็นที่สุด นี้เป็นอานิสงส์ของการถวายธูปที่พระอรหันต์องค์หนึ่งนามว่า ปิลินทวัจฉะได้กล่าวเอาไว้ หลวงพ่อถือโอกาสนำมาเล่าให้ได้รับทราบกัน เพราะเป็นเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ที่น่าทำตามเป็นอย่างยิ่ง
ย้อนกลับมาถึงเรื่องราวของพระอรหันต์ ที่ได้ทำบุญจากการจุดธูปถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญที่เกิดจากการถวายธูปได้ส่งผลให้ท่านได้รับอานิสงส์ดังที่ได้กล่าวแล้ว ไม่ว่าจะเกิดในที่ใดก็ตาม ท่านจะเป็นผู้ที่ทุกๆ คนเคารพ เกรงอกเกรงใจ ท่านเกิดอยู่เพียงสองภพภูมิเท่านั้นคือมนุษย์และเทวโลก เสวยมหาสมบัติใหญ่มาหลายภพหลายชาติ จนกระทั่งมาถึงสมัยพุทธกาล ได้มาบังเกิดในเรือนแห่งตระกูลของผู้มีศรัทธาในพระศาสนา ด้วยอานุภาพบุญที่ผูกพันกับการบูชาพระรัตนตรัยมายาวนาน ท่านมองเห็นภัยในวัฏสงสารจึงตัดสินใจสละความสุขสบายทางโลก และออกบวชในที่สุด
ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่ท่านสั่งสมมา ไม่นานนักก็ปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนา สามารถกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้ ได้บรรลุพระอรหัต ชื่อของท่านจึงปรากฏในที่ทุกสถานว่า ธูปทายกเถระ แปลว่า พระเถระผู้ถวายธูป เพราะท่านได้ทำการบูชาด้วยธูปหอม พอท่านได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว ก็ระลึกถึงบุพกรรมของตนที่ได้ทำมา เกิดปีติโสมนัสจึงเปล่งอุทานว่า "ผลแห่งการสร้างบุญด้วยการถวายธูปบูชาพระศาสดาพระนามว่า สิทธัตถะ ได้ส่งผลให้เราท่องเที่ยวอยู่ในสองภพภูมิ ไม่ว่าจะเกิดอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม เราจะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย นี้เป็นผลของการถวายธูปบูชา ผลแห่งบุญนี้ ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน"
เมื่อพระเถระได้กล่าวถึงบุพกรรมของท่านให้สาธุชนทั้งหลายได้รับทราบ ก็ก่อให้เกิดกำลังใจในการสร้างความดี ด้วยการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ทุกๆ คนที่ได้รับทราบต่างก็พากันขวนขวายในบุญกันอย่างเต็มที่ ก่อให้เกิดกระแสที่ดีงามในการบูชาบุคคลที่ควรบูชา พอได้บูชาด้วยวัตถุสิ่งของเป็นอามิสบูชาแล้ว ทุกคนก็ได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของท่าน เมื่อเห็นปฏิปทาข้อวัตรที่ดีงามก็ตั้งใจปฏิบัติตาม ทำให้เกิดการบูชาที่สมบูรณ์ทั้งสองประการคือ ทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา ทำให้มหาชนเป็นจำนวนมากมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป
เราจะเห็นว่า การบูชาบุคคลที่ควรบูชาด้วยเครื่องสักการบูชา แม้จะเป็นเพียงธูปหอม แต่ผลที่ได้รับนั้นไม่ธรรมดาเลย เพราะเครื่องบูชานั้นมีจิตตั้งไว้ในพระรัตนตรัย เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความเลื่อมใสที่มีอยู่ภายในใจอย่างเปี่ยมล้นต่อทักขิไณยบุคคล จึงก่อให้เกิดมหานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลตามมา จะส่งผลให้สมบูรณ์ด้วยบุญบารมีและมหาสมบัติทั้งหลาย เมื่อเราบูชาด้วยอามิสบูชาแล้ว จะเกิดกำลังใจที่จะดำเนินตามข้อวัตรปฏิบัติของท่าน การปฏิบัติบูชาก็ตามมา เมื่อมีการปฏิบัติก็ส่งผลเป็นปฏิเวธ คือการรู้แจ้งในธรรมของพระพุทธองค์ บุญจากการบูชาในครั้งนี้จึงเป็นบุญใหญ่จักนับจักประมาณมิได้นั่นเอง