Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
อุปนิสัยติดไปข้ามชาติ
มีวาทะธรรมที่ปรากฏในจิตตวรรควรรณาความว่า
การฝึกจิตที่ข่มได้ยาก มีปกติเปลี่ยนแปลงเร็ว
มีปกติตกไปตามความใคร่
ในอารมณ์ต่างๆ ได้ง่าย
เป็นคุณ ยังประโยชน์สำเร็จ
เพราะจิตที่บุคคลฝึกดีแล้ว
เป็นเหตุนำสุขมาให้
มีความจริงที่ว่าสุขทุกข์อยู่ที่ใจ หากใครก็ตามสามารถฝึกใจให้เป็นปกติสุขได้ ในทุกสภาวะ ไม่ยอมตกเป็นทาสทางอารมณ์ ธรรมชาติของใจนั้นจะรับรู้อารมณ์จากการเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสหรือบางทีใจอาจคิดปรุงแต่งอารมณ์ขึ้นมาเอง แล้วก็จะแสดงอารมณ์ออกมาเป็นความรู้สึกสุขบ้างทุกข์บ้าง หรือทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป สำหรับใจที่ได้รับการฝึกฝนอยู่แล้ว จากการเจริญสมาธิภาวนา จะมีความเข้มแข็ง มีภูมิต้านทานต่ออารมณ์ ที่ไม่พึงปรารถนาที่จะเกิดขึ้น และบันดาลให้ความสุขอย่างเดียว เส้นทางการฝึกใจต้องเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ โดยใช้หลักวิชชาคือ ต้องฝึกน้อมนำใจที่ซัดส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆ ซึ่งออกไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้หยุดนิ่งเฉยอย่างสบายๆ ที่ศูนย์กลางกาย
การฝึกอย่างนี้จะทำให้จิตเป็นเอกัคคตารมณ์คือ มีอารมณ์ดีอารมณ์เดียว อารมณ์สบาย แล้วเราก็จะพบความสุขที่ยิ่งกว่าสุขใดๆ ในโลก ในที่สุดก็จะสามารถบรรลุถึงเอกันตบรมสุขคือ การได้บรรลุมรรคผลนิพพาน การทำได้อย่างนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอันสูงสุดในชีวิต สำหรับวันนี้หลวงพ่อมีเรื่องราวของหลวงตาสองรูปบวชในยามชรา เป็นพระที่มัวติดในถิ่นที่ ทำให้มาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาช้ากว่าภิกษุรูปอื่น ซึ่งอุปนิสัยมัวโอ้เอ้ชักช้านี้ ได้ติดตัวมาข้ามชาติ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เรามาติดตามรับฟังกันเลยนะจ๊ะ
ในสมัยพุทธกาลในวัดป่าแห่งหนึ่ง มีพระเถระผู้เฒ่าสองรูปอาศัยอยู่จำพรรษา วันหนึ่งท่านทั้งสองมีความเห็นพร้อมกันว่า ควรจะไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักครั้ง จึงได้จัดเตรียมเสบียง เมื่อจัดเตรียมเสร็จก็ผัดวันประกันพรุ่ง วันนี้ค่อยไป พรุ่งนี้ค่อยไป จนเดือน ๑ ผ่านไป ๒ เดือนก็แล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกเดินทาง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเกียจคร้านและห่วงหาอาลัยกับสถานที่ จนเดือนที่ ๓ ผ่านไปย่างเข้าสู่เดือนที่ ๔ จึงตัดใจออกเดินทางได้ เมื่อไปถึงวัดพระเชตวันสถานที่ประทับของพระบรมศาสดา พระผู้เฒ่าทั้งสอง ก็นำบริขารไปฝากไว้กับเพื่อนสหธรรมิกที่คุ้นเคย เพื่อนสหธรรมิกครั้นเห็นพวกท่านก็ซักถามเชิงตักเตือนว่า ท่านผู้มีอายุทำไมพวกท่านถึงมาช้านัก ทำตนเหมือนไม่เคารพต่อพระบรมครูเลย พระผู้เฒ่าทั้งสองจึงเล่าให้ฟังว่า อันที่จริงกระผมทั้งสองตั้งใจว่าจะมาตั้งแต่ ๓ เดือนที่แล้ว แต่กังวลเรื่องที่อยู่อาศัย กลัวจะไม่มีใครดูแล อีกทั้งหนทางก็ลำบากเลยลังเลใจ กว่าจะตัดใจได้ก็มาถึงช้า
เพื่อนสหธรรมิกครั้นทราบการประพฤติตัวโลเล มัวติดในที่ของพระผู้เฒ่าทั้งสองก็โจทจันไปทั่วทั้งวัด กระทั่งได้หยิบยกขึ้นเป็นหัวข้อสนทนาในธรรมสภาในเวลาเย็น เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาตรัสถาม ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงตรัสว่าภิกษุทั้งหลายมิใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้น ที่เธอทั้งสองมีนิสัยอย่างนี้ แม้ชาติก่อนก็เป็นผู้มีนิสัยโอ้เอ้โลเล ห่วงหาอาลัยในสถานที่เหมือนอย่างในชาตินี้แหละ แล้วตรัสเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่า
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี มีปลา ๓ สหายคือ ปลาพหุจินตี ปลาอัปปจินตีและปลามิตจินตี อาศัยแหวกว่ายหากินอยู่ในแม่น้ำกลางป่าลึก วันหนึ่งปลาทั้ง ๓ พากันหากินจนล่วงล้ำเข้าสู่เขตชาวบ้าน โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ปลามิตจินตีเห็นผิดที่ผิดถิ่น ก็รู้ว่าเป็นถิ่นของมนุษย์ไม่ควรอยู่นาน ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนจึงบอกปลาทั้งสองให้รีบกลับ เพราะสถานที่ของมนุษย์ไม่ควรอยู่นานน่ากลัว มีภัยรอบด้านโอกาสพาดท่าถูกจับไปเป็นอาหารของพวกมนุษย์เกิดขึ้นได้เสมอ ปลา ๒ ตัวยังไม่อยากไปไหน เพราะเห็นเป็นสถานที่แปลกใหม่ อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งมีความเกียจคร้านเป็นทุนเดิม จึงพูดผัดวันประกันพรุ่ง จนผ่านไป ๓ เดือนก็ยังไม่มีความคิดที่จะไปเสียที
กระทั่งวันหนึ่งมีชาวบ้านวางตาข่ายตามลำน้ำ ที่ปลาทั้ง ๓ ออกหากิน ขณะที่ปลาพหุจินตีและปลาอัปปจินตี ออกไปหากินอย่างเพลิดเพลินนั้น ได้หลงว่ายเข้าไปติดตาข่ายของชาวบ้านในที่สุด ปลามิตจินตีว่ายติดตามมาทีหลัง สัมผัสได้ถึงกลิ่นของตาข่ายและรู้ทันทีว่า เพื่อนปลาทั้งสองต้องติดตาข่าย ของชาวบ้านแน่แล้ว ด้วยน้ำใจของพระบรมโพธิสัตว์ ทนไม่ได้ที่จะยอมให้เพื่อนถูกจับไป แทนที่จะรีบว่ายหนีเอาตัวรอด กลับคิดวิธีการจะช่วยเหลือเพื่อนให้ได้ ด้วยการว่ายเข้าไปใต้ตาข่ายทำน้ำให้ขุ่นไปทั่ว เหมือนกับว่าท้องตาข่ายถูกกัดขาด จากนั้นก็กระโดดทางโน้นทีทางนี้ที เพื่อหลอกตาให้ชาวบ้านคิดว่า ปลาได้หนีหลุดรอดออกไปหมดแล้ว
พวกชาวบ้านครั้นเห็นเหตุการณ์นั้นก็หลงกลปลาโพธิสัตว์ รีบช่วยกันดึงตาข่ายขึ้นอย่างรีบด่วน โดยไม่สนใจว่าจะมีหรือไม่มี ทำให้ปลาทั้งสองมีโอกาสหลุดรอดหนีออกไปได้ จากนั้นปลาทั้ง ๓ ก็พากันว่ายกลับแม่น้ำในป่าลึก อันเป็นถิ่นเดิมที่พวกตนเคยอาศัยอยู่ทันที และไม่ยอมหวนกลับคืนสู่ถิ่นมนุษย์อีกเลย
เมื่อพระบรมศาสดาทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าจบลง ก็ทรงสรุปว่า ปลาทั้ง ๒ ตัวที่ติดตาข่ายของชาวบ้านคือ พระผู้เฒ่าสองรูปนี้ ส่วนปลาที่ช่วยชีวิตไว้คือพระองค์เอง พระผู้เฒ่าทั้งสอง เมื่อได้ฟังอดีตชีวประวัติของตัวเอง ทำให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของชีวิต ในที่สุดก็สามารถปล่อยวางทุกสิ่งได้ทำใจหยุดใจนิ่ง ในที่สุดท่านทั้งสองก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และจากนั้นท่านทั้งสองก็มีวัตรปฏิบัติที่งดงาม คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น มิได้เกียจคร้าน ผัดวันประกันพรุ่งอีกเช่นเคย
จากเรื่องที่หลวงพ่อได้นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ จะเห็นว่าการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก บางครั้งมันอาจหมายถึงชีวิต การสงเคราะห์กันก็เหมือนกับการชุบชีวิตใหม่ให้กัน ดังเช่นพระผู้เฒ่าทั้งสองรูปที่อาศัยพระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตร จึงได้ชีวิตใหม่ในภาวะของความเป็นพระอริยเจ้า
ชีวิตของเราก็เช่นกัน อย่าเอาไปเสี่ยงกับความตายโดยไม่สมควร ชีวิตที่ผ่านไปทุกอนุวินาทีนั้น มีค่าต่อการสร้างบารมี เป็นชีวิตที่เกิดมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของเราเองให้ดีขึ้น เพราะบางคนอาจมีข้อบกพร่องติดมาข้ามภพข้ามชาติ ที่รอการแก้ไขในชาตินี้ ถึงแม้ข้อบกพร่องบางอย่าง มิสามารถแก้ได้ทันทีแต่ก็เป็นการทำให้ดีขึ้น ให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
ยิ่งถ้าหากเรามีกัลยาณมิตร มีเพื่อนแท้คอยแนะนำคอยชี้ขุมทรัพย์ให้ ก็ยิ่งเป็นทางลัดให้เราได้ปรับปรุงแก้ไขตัวเองได้ไวขึ้นจะทำให้เราเป็นผู้สมบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติคุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพานในภพชาติต่อๆ ไปโดยเฉพาะเราได้ประพฤติปฏิบัติธรรมควบคู่ไปด้วย ก็ทำให้เรามีกำลังใจมีสิ้นสุดในการแก้ไขปรับปรุงตัวเอง นับว่าเป็นการย่นย่อหนทางพระนิพานให้ใกล้เข้ามา ฉะนั้นพวกเราต้องคบกัลยาณมิตรควบคู่กับการประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วความสมบูรณ์พร้อมในทุกด้านจะบังเกิดมีกับตัวเราไปทุกภพทุกชาติกันนะจ๊ะ