องค์ชายใจเพชร เผด็จศึกลวงฤทัย

วันที่ 27 มค. พ.ศ.2559

องค์ชายใจเพชร เผด็จศึกลวงฤทัย

 

               สาเหตุที่ตรัสชาดกสมเด็จพระชินสีห์ทรงมีพระธรรมเทศนาแก่ภิกษุเรื่องกายคตาสติตรัสว่า ภิกษุต้องไม่ปล่อยสติ เป็นผู้ไม่ประมาท เหมือนนักโทษประคองโถมีน้ำมันเต็มเปียมเสมอขอบมีเพชฌฆาตถือดาบพาไปสถานที่ของนางงามหยดย้อย ถ้านักโทษปล่อยให้น้ำมันหยดลงที่ใดเพชฌฆาตจะตัดศีรษะเขาทันที เขามีมรณภัยคุกคามแล้ว มิอาจใส่ใจถึงนางงามด้วยความประมาทเลย ไม่ลืมตาดูนางงามหยดย้อยเหล่านั้นแม้สักครั้ง ภิกษุกราบทูลว่าทำได้ยาก พระทศพลตรัสว่ามิใช่เป็นการกระทำได้ยาก นั่นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายโดยแท้ เพราะว่ามีคนเงื้อดาบคอยขู่ตะคอกไปอยู่แต่การที่บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อนไม่ปล่อยสติ ไม่ทำลายอินทรีย์ ไม่มองดูรูปอันงดงามนั่นแหละ!ที่กระทำได้ยาก เมื่อภิกษุกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตมาดังนี้..

 

                 ครั้งอดีตกาลนานมา ณ เมืองอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง พระราชาแห่งแคว้นทรงมีพระราชโอรสอยู่ถึง 100 พระองค์ วันหนึ่ง ได้มีพระปัจเจกพุทธเจ้าจาริกผ่านมา พระราชาทูลอาราธนาให้ฉันในพระราชวัง พระราชโอรสองค์เล็กสุดได้ทรงทำหน้าที่เป็นไวยาวัจกรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์ตรัสถามพระคุณเจ้าถึงอนาคตของพระองค์ว่าจะได้สืบสันตติวงศ์ในพระนครนี้หรือไม่พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงตอบว่า..

    "พระองค์จะไม่ได้ราชสมบัติในพระนครนี้ แต่จากนี้ไปอีก 120 โยชน์มีนครชื่อตักกสิลาถ้าพระองค์สามารถไปถึงได้ก็จะได้ราชสมบัติในวันที่ 7 นับจากวันนี้ แต่ในระหว่างทางนั้นจะผ่านดงดิบใหญ่มีอันตรายอยู่ ย่านนั้นจะมีฝูงยักษิณีพากันเนรมิตบ้านและศาลาไว้ระหว่างทาง ตกแต่งที่นอนแพรวพราว ประดับร่างกายยั่วยวน มีร่างเป็นทิพย์ คอยหน่วงเหนี่ยวบุรุษผู้เดินทางผ่านด้วยคำอ่อนหวานยิ่งนัก แล้วจะพากันเล้าโลมจนใจอ่อนยอมตกอยู่ในอำนาจกิเลสเมื่อเสพสมกับบุรุษแล้วก็เคี้ยวกินทันที ถ้าพระองค์สามารถสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย และคุมสติไว้มั่นคงผ่านไปได้ก็จะได้ราชสมบัติในพระนครนั้นแน่"

 

              องค์ชายเล็กฟังโอวาทจากพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว รู้สึกว่าหนทางนี้ช่างอันตรายยิ่งนัก ถ้าพระคุณเจ้าไม่เตือนไว้ก่อนเห็นจะรับมือลำบาก พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะเดินทางไปทันทีโดยไม่ลังเล ทรงตั้งพระทัยอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะฟันฝ่าตะลุยผ่านดงนี้ไปให้จงได้ จึงขอพรจากพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วเสด็จไปทูลบังคมลาพระราชบิดามารดา จากนั้นได้ตรัสกับขุนพลคน นิทว่า..
  
 "เราจะไปเป็นกษัตริย์ในตักกสิลา พวกเจ้าจงอยู่ช่วยราชกิจที่นี่ให้ดี เราขอตัวลาไปก่อน"


               5 ขุนพลคน นิทฟังดังนี้แล้วอยากขอติดตามไปด้วย 5 ขุนพลนี้นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการรบและเจนจบในยุทธศาสตร์มาโชกโชน แต่ยังหารู้ไม่ว่าหนทางนี้สุดแสนอันตรายเพียงใด มาตรว่าจะมีทหารหมื่นกองพันมาห้ำหั่นกันในสนามรบก็ไม่อันตรายเทียบเท่าครั้งนี้ได้เลย องค์ชายเล็กรู้ว่า 5 ขุนพลของตนมีใจกล้าหาญมาก หากมีพลยักษ์สักร้อยหมื่นมาท้ารบ ขุนพลทั้ง 5 นี้ย่อมหาญนำทัพไปปราบศึกให้ได้ แต่สนามรบครั้งนี้กลับเป็นสนามยั่วเย้า เป็นศึกเล้าโลม ศึกครั้งนี้เกินแรง 5 ขุนพลไปแล้ว องค์ชายเล็กรู้แก่พระทัยในข้อนี้ดีจึงตัดสินพระทัยไม่พาไปด้วย แต่ขุนพลทั้ง 5 กลับมิรู้กำลังตน ร้องขอจะตามไปให้ได้ ด้วยว่าต้องการที่จะอารักขาคุ้มครององค์ชายเนื่องเพราะพวกตนรักเคารพองค์ชายผู้ดูแลแผ่น้ำใจให้เหล่าทหารหาญมาตลอดทั้ง 5 ขอยอมตายเสียดีกว่าที่จะอยู่โดยไร้นาย แต่พระองค์จำต้องตัดใจจริงๆ เพราะมิอาจเห็นพวกนี้ไปตายได้ ดังนั้นพระองค์จึงอธิบายให้เหล่าทหารหาญได้ฟังถึงหนทางที่น่ากลัวว่า มีนางยักษ์ร้ายคอยยั่วยวนความที่มันไม่ร้ายก็คือความร้ายของมัน! มันจะทำให้เหยื่อไม่ทันตั้งตัวหรือแม้รู้ตัวแล้วก็ยังลุ่มหลงมันได้ มันจะแปลงร่างเป็นสาวสวยโฉมงามปานเทพอัปสร เสกสรรอวัยวะน้อยใหญ่มาชอนไชสายตาผู้คนให้หลงใหล ทั้งยังทำสรรพสำเนียงได้
ไพเราะเพราะพริ้งชวนให้อ่อนระทวยใจ และยังเนรมิตอาหารให้ผู้ติดในรสได้เมามัวจนลืมตาย กระทั่งยังสรรหาที่หลับนอนยามอ่อนล้ามาหลอกล่ออีกด้วย เช่นนี้แล้วเหล่าขุนพลนักรบทั้งหลายยังจะทนไหวได้อยู่ฤา?

 

              5 ยอดขุนพลฟังอย่างตั้งอกตั้งใจพลันให้รู้สึกระวังตัวขึ้นมาทันที เนื่องเพราะคนทั้ง 5 ล้วนแล้วแต่ชอบสิ่งยั่วยวนกันคนละประเภทครบทั้ง 5 พอดี!แต่ทว่า ทั้ง 5 ไม่เชื่อว่าตนจะมิอาจทนทานได้ ยิ่งเมื่อรู้ตัวก่อนว่าจะพบสิ่งดังกล่าวกลับยิ่งให้มั่นใจว่าตนสามารถฟันฝ่าไปได้อย่างแน่นอน และด้วยมานะศักดิ์ศรีแห่งทหารองค์รักษ์ย่อมมิอาจทอดทิ้งพระองค์ไปได้ คนทั้งหมดจึงพร้อมใจกันทูลอ้อนวอนหนักแน่น..

    "ข้าแต่สมมติเทพ! หากพวกข้าพระบาทได้เสด็จตามพระองค์ไปแล้วจะไม่สนใจมองดูพวกเหล่านั้นเลย พระเจ้าข้า พวกข้าพระบาทก็จะไปให้ถึงที่ตักกสิลาให้ได้เช่นกัน"องค์ชายสุดจะทัดทานได้อีกแล้ว จึงตรัสว่า..
"ถ้าอย่างนั้น พวกท่านก็อย่าประมาทแล้วกัน"

 

                  แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางกันทันที องค์ชายและ 5 ขุนพลเดินทางมาถึงดงดังกล่าวแล้วบรรยากาศเริ่มอึมครึมเงียบเหงาอย่างยิ่ง ยังคล้ายมีเสียงแปลกๆ แว่วมาแต่ไกลคนทั้ง 6 เดินไปได้ระยะหนึ่งก็พบบ้านหลังหนึ่ง! บ้านที่ไม่ค่อยสวยแต่กลับสวยที่คนนั่งหน้าบ้าน ทุกคนเตรียมใจไว้ก่อนแล้วจึงมีดวงตาคล้ายดั่งรู้ทันว่านั่นคือยักษ์สาวแปลงมาแต่คาดมิถึงว่าจะสวยถึงเพียงนี้ ช่างเป็นความสวยที่กระชากวิญญาณบุรุษโดยแท้! ทุกคนไม่สงสัยเลยว่าเหตุไฉนจึงไม่เคยมีชายใดสามารถผ่านดงนี้ไปได้เลย ทั้ง 6 เริ่มสัมผัสถึงความน่าสะพรึงกลัวที่เกินกว่าจะพรรณนาได้อีกแล้ว! ทุกคนเดินผ่านไปอย่างสำรวมระวังตัวเป็นที่สุด แต่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นในกลุ่ม เมื่อเหลียวมองกันพลันพบว่ามีขุนพลคนหนึ่งคล้ายกับตายไปแล้ว! ดวงตาเหม่อลอย มือสั่นวางเปะปะ ตัวอ่อนเข่าอ่อนล้าระทวยเหมือนจะเดินตามทุกคนไม่ทันร่ำไป องค์ชายรีบตรัสเตือนสติถามว่า..
"ท่านขุนพล! ทำไมจึงเดินช้าลงไปเล่า"
"เท้าของข้าพระบาทบาดเจ็บ! ขอนั่งพักในศาลาสักหน่อยแล้วจะตามไป พระเจ้าข้า"
ขุนพลตอบอย่างใจลอย
"นั่นมันฝูงนางยักษ์นะ! เจ้าอย่าไปสนใจมันเลย" องค์ชายตรัสย้ำ
"องค์ชายขอรับ จะเป็นอย่างไรก็ให้มันเป็นไปเถิดขอรับ ข้าพระบาททนไม่ไหวแล้ว!" ยอดขุนพลทูลอย่างไม่อาจยับยั้งอะไรได้อีก องค์ชายสุดจะห้ามปราม หนึ่งขุนพลตายไปแล้วจริงๆ วิญญาณได้หลุดลอยล่องไปไกลเสียแล้ว ขุนพลท่านนั้นรีบเดินเข้าไปหาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งที่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรแต่ก็มิสนใจทุกสิ่งอีกแล้ว..

 

               บัดนี้เสียขุนพลไปหนึ่ง ทั้ง 5 ยังคงมุ่งหน้าต่อไป พบศาลาอีกหลัง! ในศาลามีวงดนตรี ในวงดนตรีมีสาวสวยขับร้องนำ เสียงช่างไพเราะจับใจจนสามารถจับบุรุษมามัดไว้ได้ บุรุษทั้ง 5 แม้ปิดตาไม่ดูแต่มิอาจปิดกั้นหูมิให้ได้ยินทั้งหมด คิดจะรีบรุดเดินผ่านไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แต่ขุนพลผู้หนึ่งล้าหลังลงอีกแล้ว! เพียงแค่ล้าหลังฟังน้ำคำอันอ่อนหวานจับใจมิทันไรก็ถูกยักษ์จับเคี้ยวกินทันทีเสียงได้กระชากวิญญาณขุนพลไปอีกหนึ่ง..

 

                 ทั้ง 4 ยังมุ่งหน้าต่อไป บังเอิญพบร้านขายข้าวแกง! ช่างตั้งร้านได้เหมาะเจาะพอดี ทุกคนกำลังหิว คนหิว ยักษ์ก็หิว บุรุษทั้ง 4 เดินทางมายาวนานซ้ำยังเร่งรีบอย่างยิ่ง อากาศก็ร้อนจัดและยังต้องคอยระวังภัยสารพัดจนความกดดันได้ดันอาหารให้หายไปจากกระเพาะนานแล้ว เวลานี้ช่างหิวจนยากจะทนทาน กลิ่นข้าวแกงก็โชยมาเตะจมูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าดุจคลื่นกระทบฝัง ในที่สุดฝังก็แตกทำลาย!มี 2 ขุนพลหิวจนตาลายทนไม่ไหวถึงกับเดินไปหายักษ์เพื่อขอข้าวกิน เมื่ออิ่มท้องแม้สำนึกเสียใจก็สายเกินไป..

 

                องค์ชายสูญเสียทหารหาญไป 4 นายแล้ว ทรงข่มกลั้นความเจ็บปวดพระทัยเอาไว้ อย่าว่าแต่ก่อนมาพระองค์ก็เตรียมพระทัยไว้แล้วว่ามาคราวนี้ต้องสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ต้องทุ่มเทคุณค่ามหาศาลลงไป เข้าสู่สนามรบย่อมต้องมีบาดแผล ย่อมต้องมีสูญเสีย! นี่คือธรรมดาแห่งการรบ อีกประการยามนี้พระองค์จำต้องมีสมาธิให้มากที่สุด ไม่มีเวลาให้พระทัยวอกแวกแม้สักวินาทีเดียว เนื่องเพราะวินาทีเดียวก็เป็นวินาทีแห่งความตาย! หากใจพระองค์ไขว้เขวจนกิเลสในใจพระองค์ฟุ้งขึ้นมาเมื่อใด ในสถานการณ์เช่นนี้นับว่าไม่มีผู้ใดในโลกจะข่มมันได้อีกแล้ว ฉะนั้นเวลานี้พระองค์ยังคงต้องสงบใจเข้าไว้แล้วรีบรุดหน้าต่อไปให้เร็วที่สุด..

 

              ทั้ง 2 พลันพบที่นอน! นับเป็นที่นอนใหญ่โตขนาดภูเขาย่อมๆ มันดูนุ่มนิ่มอ่อนละมุนไปหมดที่หลับนอนมาปรากฏในยามนี้ ยามโพล้เพล้อาทิตย์ใกล้ตกดิน ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีแดงอ่อนๆ ที่สำคัญเวลานี้ทหารองครักษ์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่กลับรู้สึกเมื่อยล้า และอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างยิ่ง อีกไม่นาน ก็จะออกจากดงเข้าสู่เมืองตักกสิลาแล้ว ทั้งที่รู้ว่านั่นคือเตียงมรณะ! แต่นายทหารได้เดินเข้าไปนอนแล้ว การนอนพักย่อมต้องสบายแน่สบายไปชั่วชีวิต เมื่อไร้ร่างกายแล้วไหนเลยจะเมื่อยล้าอีกขุนพลพลันพบเห็นตนนอนอยู่บนผืนทราย ชาตามร่างกาย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง แม้สำนึกเสียใจก็สายเกินไป..

 

               เป็นอันว่า ทหารองครักษ์ทั้ง 5 ที่ขอติดตามมาและยืนยันมั่นคงว่าจะต้องผ่านดงนี้ไปให้ได้บัดนี้ได้ตายหมดสิ้นแล้ว! ตายเพราะลืมเป้าหมายไปชั่ววูบ วูบเดียวก็เกินพอ เป็นวูบแห่งความตายหากมิได้ผูกเป้าหมายให้มั่นในใจดั่งโซ่รัดไว้ ย่อมต้องพบจุดจบเช่นนี้ ..ตายอย่างไร้เป้าหมาย

               พระราชโอรสยังคงเดินมุ่งหน้าต่อไป นางยักษ์ได้กินคนมาตลอดทางแต่ให้เจ็บใจเหลือกำลังที่ยังกินเจ้าชายองค์นี้ไม่ได้สักที จึงเกิดมานะว่าถ้ากินไม่ได้ก็จะไม่กลับเมืองยักษ์ นางยักษ์เดินตามราชโอรสไปเรื่อยๆ.. พ้นปากดงแล้ว นางยักษ์ยังคงตามมา พวกชาวบ้านใคร่รู้เข้ามาถามสาวสวยว่า..
"นี่! เธอเดินตามชายคนนี้ต้อยๆ เขาเป็นอะไรกับเธอรึ"
"เขาเป็นสามีของฉันเองค่ะ"
นางยักษ์มารยาตอบ
"โอ้! พ่อมหาจำเริญ!สาวน้อยนางนี้ช่างเปราะบางอ่อนแอน่าทะนุถนอมดั่งกลีบบุปผา ผิวก็งามเยาว์วัยปานนี้ นางอุตส่าห์ทิ้งบ้านตามท่านมาก็เพราะรักท่านดอกนะ ทำไมท่านถึงปล่อยให้นางลำบากอยู่ล่ะ ไม่จูงนางไปเล่า" ชาวบ้านกล่าวกับชายหนุ่ม
"ท่านทั้งหลาย! นั่นมิใช่เมียเรา มันเป็นนางยักษ์! คนของเรา 5 คนถูกมันกินไปหมดแล้ว"ราชบุตรอธิบายให้ชาวบ้านฟัง
"โถ.. พวกผู้ชายยามโกรธก็ชอบหาว่าเมียตัวเองเป็นยักษ์บ้าง เป็นเปรตบ้าง.." นางยักษ์กล่าวไปพลางสะอื้นไป

 

                พระโอรสไม่คิดเจรจาต่อไปอีก รีบเดินทางต่อไป นางยักษ์แปลงเป็นหญิงคลอดหมายให้ชาวบ้านเข้าใจพระโอรสผิด และเป็นการกระตุ้นโทสะพระองค์ขึ้นไปอีก แต่พระองค์ไม่ทรงสนพระทัยทรงรีบมุ่งหน้าโดยเร็วจนถึงพระนครตักกสิลา พระองค์ทรงประทับนั่งพักอยู่ในศาลาหลังหนึ่ง นางยักษ์เนรมิตรูปเป็นนางฟ้ายืนอยู่หน้าประตูศาลารอคอยโอกาสอยู่ ครานั้น พระราชาเสด็จออกประพาอุทยานทอดพระเนตรเห็นสาวสวยดั่งเทพธิดาที่หน้าประตูศาลา ทรงมีจิตปฏิพัทธ์อย่างยิ่ง ตรัสให้ทหารไปถามว่ามีสามีรึยัง เมื่อนางตอบว่าสามีนางคือคนในศาลาแต่ชายในศาลากลับตอบว่านางคือยักษ์แปลงมา ทหารจึงนำความไปกราบทูลพระราชา พระราชายินดีฟังความข้างฝ่ายหญิง ทรงเทพระทัยให้หญิงงามด้วยความลุ่มหลงจนเคลิบเคลิ้ม ตรัสเรียกนางให้มานั่งเหนือพระคชาธารร่วมกับพระองค์ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งอัครมเหสีทันที ตกค่ำพระราชาทรงรื่นรมย์บรรทมหลับกับนางยักษ์เมื่อพระราชาทรงบรรทมแล้ว นางยักษ์ไปเมืองยักษ์ชวนพรรคพวกมาเคี้ยวกินคนในวังจนหมดสิ้นเหลือไว้เพียงกระดูก รุ่งเช้าชาวเมืองเห็นประตูวังยังไม่เปิดก็พากันเอาขวานจามประตูบุกเข้าไป ต้อง
ตกตะลึงเพราะเห็นทุกแห่งหนเกลื่อนกล่นไปด้วยกระดูก แล้วพูดต่อๆ กันไปว่า..

              "ชายในศาลาคนนั้นพูดไว้เป็นความจริงทุกประการ เขาบอกว่านางคนนี้มิใช่เมียของเรามันเป็นนางยักษ์ แต่พระราชากลับไม่ทรงเชื่อ ทรงพามันมาแต่งตั้งให้เป็นมเหสีพอตกค่ำมันก็ชวนพรรคพวกมากินกันเสียหมดวัง"

 

วังร้างไร้กษัตริย์ ชาวเมืองเกรงจะไม่ปลอดภัยจึงประชุมปรึกษากันว่าจะหาพระราชาองค์ใหม่
                "เมื่อวาน บุรุษนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ เป็นบุรุษอาชาไนยโดยแท้ มีสาวงามขนาดนั้นเดินตามต้อยยังอุตส่าห์ตัดใจได้ มิได้หลงใหลเหลียวแลดูเลย เขามีใจหนักแน่น เป็นสัตว์ประเสริฐแท้!สมบูรณ์ด้วยสติจริงๆ หากบุรุษเช่นนี้มาปกครองแว่นแคว้นเราก็จะมีแต่สุขสันต์แน่นอน พวกเรายกให้เขาเป็นพระราชากันเถิด" เสียงหนึ่งในที่ประชุมกล่าวขึ้น

           ในยามนั้น พระราชโอรสได้ทรงถือพระขรรค์ประทับยืนระวังพระองค์อยู่ในศาลาจนรุ่งอรุณพวกอำมาตย์และชาวเมืองทุกคนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ เข้าไปเฝ้าองค์ชายในศาลาแล้วสถาปนาให้เป็นกษัตริย์แห่งตักกสิลา แต่นั้นมาพระราชาพระองค์ใหม่ก็ตั้งพระทัยบริหารบ้านเมืองทรงไร้ซึ่งอคติ 4 ครองราชย์โดยธรรม ไม่ทรงทำให้ชาวเมืองผิดหวัง คือทรงปราบโจรผู้ร้ายทำให้ชาวเมืองเดินเหินสะดวก ทรงพัฒนาเศรษฐกิจให้สมบูรณ์ด้วยธัญชาติทำให้ชาวเมืองหายใจได้โล่งคอทรงพัฒนาการศึกษาทำให้มีคนฉลาดเต็มเมือง ลือเลื่องคุณธรรม ข้าศึกก็ต่างเกรงขาม อีกทั้งยังทรงแนะนำให้ชาวเมืองประกอบกุศลสั่งสมบุญ ทำทาน รักษาศีล เมื่อละโลกก็ไปพักมีสุขกันในสวรรค์ถ้วนหน้า น่าเสียดาย.. ขุนพลทั้ง 5 ที่ร่วมทุกข์กันมาตลอด มิอาจมาร่วมสุขเคียงข้างพระองค์ได้อีกแล้ว..

 

ประชุมชาดก
            พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระราชกุมารผู้ครองราชสมบัติครั้งนั้นมาเป็นตถาคตแล


            จากชาดกเรื่องนี้ ขุนพลทั้ง 5 ล้วนมีเป้าหมายชัดเจน และทุกคนทิ้งเป้าหมายลงไปในช่วงเวลาวิกฤตทั้งสิ้น! ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใจถูกยึดการปกครอง ได้ถูกกิเลสควบคุมไว้จนหมด หากผู้ใดมีเป้าหมาย มั่นคงจะดึงตนให้หลุดจากกระแ กิเล ในช่วงวิกฤตนั้นได้ การสร้างอธิษฐานบารมีเป็นการสร้างนิสัย ทำเป้าหมายให้มั่นคง เพื่อป้องกันมิให้ลืมเป้าหมายไปในช่วงวิกฤตนี้
            ทุกคนมีเป้าหมายเหมือนกันได้ แต่ความมั่นคงย่อมต่างกัน ผู้ใดมีอธิษฐานบารมี ผู้นั้นย่อมประคองตนไปสู่จุดหมายปลายทางได้ ความรักเป้าหมาย รักอุดมการณ์ นับเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างอธิษฐานบารมี หากสะสมความรักนั้นอย่างจริงจังจนฝังแน่นเป็นสันดาน จะทำให้มีความสุขและสนุกสนานกับการสวนกระแสกิเลสและเดินทางไปสู่จุดหมายอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย เนื่องเพราะรู้ว่ายิ่งฝ่าฟันไปมากเท่าไหร่ เป้าหมายที่ฝันไว้ก็ใกล้เข้ามาทุกที

 

นิสัยแห่งอธิษฐานบารมี มีพร้อมในอิทธิบาท 4 ซึ่งเป็นคุณเครื่องแห่งความสำเร็จคือ
1. ฉันทะ ผูกสมัครรักใคร่ในเป้าหมายนั้น นึกถึงบ่อยๆ ทั้งหลับทั้งตื่นในอิริยาบถต่างๆ
2. วิริยะ (เมื่อนึกถึงบ่อยๆ) จนเกิดความมุ่งมั่นตั้งใจถึงระดับที่ไม่อยากทำสิ่งใดที่ขัดต่อเป้าหมาย เพราะกลัวจะไม่สำเร็จ
3. จิตตะ (เมื่อตั้งใจจริง) ทำให้ใจจดจ่อ ตรึกถึงความสำเร็จอยู่ตลอด จนมองข้ามอุปสรรคทั้งหมดไปได้
4. วิมังสา (เมื่อเฝ้าจดจ่อ) ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันตนเองไปสู่จุดหมายให้ได้

 

            "ความรัก" จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสร้างอธิษฐานบารมี หากเพียงฝันลมๆ แล้งๆ ไม่มุ่งมั่นให้จริงลงไป กระทั่งยังทำสิ่งที่ขัดต่อเป้าหมายความรัก ในเป้าหมายเยี่ยงนี้มีปริมาณน้อยเกินไปเพียงแค่บรรจุเป้าหมายไว้ในใจ แต่มิได้ผูกรักผูกพันเอาไว้ หากปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำบ่อยๆ จนเป็นนิสัย เป้าหมายก็จะค่อยๆ เลือนลางไปเอง กระแสกิเลส จะล่อให้มุ่งหาแต่ความเพลิดเพลินเรื่อยไปตราบใดยังหาได้จากที่ใดก็ติดอยู่กับที่นั้น หากไม่พบความเพลิดเพลินอีก หรือเบื่อหน่ายจนทนทานไม่ไหวก็ออกนอกเส้นทางไปหาสิ่งสนุกสนานสนองกิเลสต่อไป ดังนั้น ผู้ที่กล้าทิ้งทุกสิ่งเพื่อเป้าหมายจึงต้องผูกใจรักมั่นในเป้าหมายดั่งหวายรัดไว้ จนสามารถตั้งมั่นฟันฝ่ากิเลส ไปได้ ดั่งภูเขาหินแท่งทึบที่ไม่หวั่นไหวต่อแรงลม ฉันนั้น

          "นิสัยรักเป้าหมาย, ไม่ชอบทำสิ่งที่ขัดต่อเป้าหมาย, นึกถึงประโยชน์ของเป้าหมาย,ชอบตอกย้ำซ้ำเดิมเป้าหมาย, จดจ่อเป้าหมาย, ผลักดันให้สำเร็จตามเป้าหมาย, รักการวางแผน,ชอบความสำเร็จ, มีเป้าหมายเป็นหลัก มองข้ามอุปสรรค, ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว, มีใจเพชรเด็ดเดี่ยวตัดใจได้ขาด, ไม่บรรลุเป้าหมายไม่ยอมเลิกรา, ไม่ชอบลดระดับเป้าหมาย และรักษาเป้าหมายด้วยชีวิตและจิตใจ" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในอธิษฐานบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย


 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.044210386276245 Mins