วัยเด็กของคุณยาย
อาณาบริเวณทุ่งนากว้างใหญ่แห่งหนึ่งในอำเภอนครไชยศรี จังหวัดนครปฐม ในครั้งนั้นดารดาษ...ไปด้วยต้นข้าวเขียวขจีพลิ้วไสว ภายใต้ฟ้าใสและปุยเมฆที่เกลื่อนกล่น รวมทั้งบ้านริมแม่น้ำนครไชยศรี มีเรือและต้นไม้ใหญ่น้อยรายรอบบริเวณนั้น เอื้ออำนวยต่อการซุกซนของลูกสาวพ่อยิ่งนัก
ลูกสาวคนนี้ซนมาก ชอบพายเรือเล่นไปตามคลอง ซนถึงขนาดพ่อต้องขู่ว่าจะตีให้มากที่สุด
พ่อจะพูดเช่นนี้ เพื่อหยุดความซุกซนของลูกสาวคนที่ ๕ สึ่งพ่อลงความเห็นว่า ในบรรดาลูกชายหญิงทั้ง ๙ คน ไม่มีใครสนได้มากเท่านี้อีกแล้ว
ลูกสาวคนนี้คือ คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "คุณยาย") ท่านเกิดเมื่อวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา พ.ศ.๒๔๕๒ (ตรงกับวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๒) เป็นลูกของพ่อพลอย แม่พัน ในครอบครัวชาวนาผู้มีฐานะปานกลางแห่งอำเภอนครไชยศรี ที่นาของพ่อและแม่มีรวมกันราว ๓๕ ไร่ และอยู่ไม่ห่างไกลกันมากนัก
โดยธรรมของท้องนาจะมีโคกเป็นหย่อมๆ ในสมัยคุณยายยังเด็ก ท่านมักจะหาบกระเช้าข้าวไปส่งผู้ใหญ่ที่ทำงานอยู่กลางนาเสมอ แล้วไปนั่งร่วมวงกินอาหารกลางวันกันบนโคก ปล่อยให้ควายที่ถูกใช้งานมาแล้วครึ่งวันได้กินหญ้ากินน้ำของมันตามลำพัง
คุณยายมีเพื่อนมาก เพื่อนๆ ต่างก็รักคุณยายกันทุกคน ตกตอนเย็นคุณยายและเพื่อนๆ จะต้อนควายไปอาบน้ำและเข้าคอกพร้อมๆ กัน
วิถีชีวิตของชาวนา หล่อหลอมให้คุณยายเป็นคนแข็งแกร่ง เพราะต้องช่วยพ่อแม่ทำนาตลอดทั้งวัน คุณยายไม่ได้เรียนหนังสือ ดังนั้นจึงอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เพราะในสมัยนั้นนิยมให้เด็กผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ให้เป็นแม่ศรีเรือน อีกทั้งยังไม่มีการษึกษาภาคบังคับ คุณยายจึงต้องทำงานบ้านและทำนาไปด้วย ท่านเป็นคนขยันอย่างที่สุด ในนาของท่านจึงปราศจากวัชพืช และให้ผลผลิตสูงกว่านาของเพื่อนบ้านข้างเคียง
ทุกวันก่อนที่ดวงตะวันจะทอแสง ในราวตี ๓ ใกล้ตี ๔ คุณยายจะตื่นขึ้นมาเพื่อออกไปลงนา และชอบมองดูดวงตะวัน ยามที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า พลางคิดคำนึงด้วยความอยากรู้ว่า
"ดวงตะวันนี้มาจากไหนนะ ทำอย่างไรเราจะไปถึงดวงตะวันได้"
แม้ว่าจะเห็นเป็นประจำอยู่ทุกวันเช่นเดียวกับทุกคนทั่วๆ ไป แต่ความคิดของท่านไม่เหมือนใครเลย ท่านอาจหาญคิดที่จะไปให้ถึงดวงตะวัน อยากรู้ว่ามันขึ้นมาจากตรงไหน ทำอย่างไรจึงไปถึงได้ ความคิดเช่นนี้ไม่ใช่ธรรมดา เป็นวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้ง ฉายแววของบัณฑิตนักปราชญ์ ของนักสร้างบารมีมาตั้งแต่เด็กทีเดียว
ความขยันขันแข็งของคุณยายนั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสายตาของเพื่อนบ้านที่ทำนาในที่ติดกันทุกคืนวัน เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะแจ่งความขยันกับคุณยาย โดยไปที่นาให้เช้าขึ้น แต่ไม่ว่าเขาจะไปที่นาให้เช้าขึ้นเพียงไหน ก็ไม่เคยไปถึงก่อนคุณยายเลยสักครั้งเดียว เขาจึงรู้สึกทึ่งและยอมรับในความขยันที่ผสมผสานด้วยความมุ่งมั่นแข็งแกร่งของคุณยายและได้ให้สมญายกย่องท่านว่า "แข้งเหล็ก" ซึ่งมีความหมายเฉพาะสำหรับผู้ให้สมญาคือ ขยันมาก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีมานะ มีความอดทนที่หามครเสมอเหมือนได้ยากยิ่ง
เมื่อขยันช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่าง ฐานะทางบ้านของคุณยายจึงอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร ไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร
คุณยายมองเห็นชีวิตครอบเรือนของพ่อแม่ทีทอยู่ด้วยกันซึ่งมีทั้งสุขและทุกข์คลุกเคล้าปะปนกันตลอดมา เพราะพ่อเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มเหล้าวันละ ๑๐ สตางค์ ทุกเย็น
ยามใดที่ไม่ดื่มเหล้า พ่อจะเป็นคนใจดี แต่ถ้าดื่มเหล้าเข้าไปครั้งใด พ่อจะหาเรื่องมาถกเถียงกับแม่ทุกครั้งไป แล้วแม่ก็จะมีถ้อยคำเอาไว้สำหรับปราบพ่อโดยเฉพาะ เพราะแม่รู้ว่าหากพูดคำนี้ออกไปคราวใด พ่อก็จะหายเมาคราวนั้น
วันหนึ่งเกิดเรื่องใหญ่ และเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคุณยาย วันนั้นพ่อเมาเหล้านอนอยู่บนแคร่ใต้ถุนบ้าน บ่นพืมพำไม่ยอมเลิก แม่อยู่ข้างบนบ้านคงจะรำคาญ จึงตะโกนลงไปด้วยถ้อยคำเหน็บแนมที่ใช้ได้ผลว่า "ไอ้นกกระจอกมาอาศัยรังเขาอยู่ บ่นอะไรพึมเชียว"
โดยเหตุที่พ่อมาอยู่บ้านของแม่ ซึ่งมีฐานะดีกว่าตน จึงเป็นปมของความน้อยเนื้อต่ำใจที่แฝงเร้นอยู่ในจิตใจของพ่อ
วันนั้นพ่อทนไม่ไหว เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงถามลูกๆ ว่าพ่อเป็นนกกระจกมาอาศัยรังแม่อยู่จริงไหม? แม่เขาด่าว่าอย่างนี้จริงไหม?
น้ำเสียงของพ่อสร้างภาวะตึงเครียดให้กับลูกๆ จึงไม่มีใครตอบนอกจากคุณยาย เพราะท่านไม่อยากให้พ่อแม่ทะเลาะกัน และไม่ได้คิดคำของแม่เป็นคำด่า จึงบอกพ่อไปว่า "แม่ไม่ได้ว่าพ่ออย่างนั้นหรอก" แต่ถ้อยคำแห่งความหวังดีนั้นกลับเป็นผลร้ายต่อท่าน เพราะพ่อหันมาโกรธคุณยายแทน และแช่งให้หูหนวก ๕๐๐ ชาติ
คำพูดของพ่อติดอยู่ในจิตใจอันละเอียดอ่อนของคุณยายนับแต่นั้นมา เพราะคุณยายรู้สึกว่าคำให้พรของพ่อแม่นั้นศักดิ์สิทธิ์ สามารถส่งผลดีจริงตามที่ท่านพูดได้ ส่วนคำสาปแช่งคงต้องศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน กลัวจะส่งผลร้ายจริงที่ตามแช่งไว้ คุณยายจึงตั้งใจว่า จะขออโหสิกรรมต่อพ่อในยามที่พ่อใกล้จะละโลกตามธรรมเนียมที่เคยเห็นมา เพราะหากไปขอขมาในยามที่พ่อยังแข็งแรงอยู่ พ่ออาจจะย้อนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีกก็เป็นได้
หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็ล้มป่วยลง พ่อป่วยหนักหลายเดือน ถึงกับต้องป้อนข้าวกันทุกวัน ลูกๆ จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาดูแลพ่อ จนกระทั่งเช้าวันที่เป็นวาระสุดท้ายของพ่อ หลังจากที่คุณยายป้อนข้าวพ่อแล้ว ท่านก็เข้าครัวไปกินข้าว แล้วพายเรือออกไปดูต้นข้าวที่กำลังออกรวงอยู่เต็มท้องนาตามปกติ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ท่านเห็นทุกคนกำลังร้องไห้กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลัของพ่อ พี่น้องต่างตำหนิว่าคุณยายไปไถลเสียที่ไหนไม่มาขอขมาพ่อ คุณยายฟังถ้อนคำเหล่านั้น ด้วยใจที่สงบนิ่ง ท่านไม่ร้องไห้คร่ำครวญ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ใจยังคิดกังวลเกี่ยวกับคำแช่งของพ่ออยู่ตลอดเวลา กลัวว่าจะติดตัวไปในภพเบื้องหน้า เพราะท่านกลัวบาป จึงตั้งปณิธานที่จะตามหาพ่อในสัมปรายภพนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา