ความสำคัญและธรรมชาติของใจ
ใจนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นศูนย์กลางการบังคับบัญชาความคิดคำพูด และการกระทำของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย จะคิดดี พูดดี ทำดี หรือคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วขึ้นอยู่กับการสั่งการของใจทั้งสิ้นดังคำพูดที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความสำคัญของใจไว้ว่า
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสสฏา มโนมยา : ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่สำเร็จแล้วด้วยใจ, มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา : ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้วพูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี, ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี : ความสุขย่อมไปตามเขาเพราะเหตุนั้นเหมือนเงาไปตามตัวฉะนั้น, มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสสฏา มโนมยา : ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่สำเร็จแล้วด้วยใจ, มนสา เจ ปทุฏเน ภา ติ วา กโรติ วา : ถ้าบุคคลมีใจร้าย พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี, ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกว วหโต ปทํ : ทุกข์ย่อมไปตามเขาเพราะเหตุนั้น ดุจล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้นำแอกไปอยู่ฉะนั้น
จากพระดำรัสที่ยกมานี้ชี้ให้เห็นว่าความสุขหรือความทุกข์ทั้งปวงของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายขึ้นอยู่กับใจทั้งสิ้น ด้วยเหตุที่ใจมีความสำคัญอย่างนี้หากเราทั้งหลายพยายามรักษาใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ ก็จะเป็นเหตุให้เราคิดดี พูดดี และทำดี อันจะส่งผลให้เรามีความสุขจากผลแห่งกรรมดีของเรา
คนที่มีจิตใจดีและเข้มแข็งแม้ร่างกายจะไม่ค่อยสมบูรณ์หรือพิการก็อาจจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ดังตัวอย่างที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่บ่อยๆส่วนคนที่จิตใจอ่อนแอแม้ร่างกายจะแข็งแรงดี ก็ยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ประสบปัญหาเพียงเล็กน้อยก็ท้อแท้เลิกทำงานเสียกลางคัน หลายต่อหลายคนถึงกับฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาส่วนคนที่จิตใจเข้มแข็งจะมองปัญหา มองวิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสในการดำเนินชีวิตของตน
มีตัวอย่างชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนพิการตาบอดสนิททั้งสองข้าง แต่ด้วยจิตใจที่เข้มแข้งไม่ย่อท้อต่อชะตาชีวิตเป็นเหตุให้เขาประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ มากมายอย่างที่คนตาดีๆ หลายคนทำไม่ได้ ชายผู้นี้ชื่อนายไมล์สิลตัน บาร์เบอร์ เป็นชาวอังกฤษผู้ตาบอดสนิททั้งสองข้างชายผู้นี้หวังสร้างสถิติโลกโดยขับเครื่องบินเป็นระยะทางครึ่งค่อนโลกจากอังกฤษไปสิ้นสุดที่ออสเตรเลียด้วยเวลา 45 วัน โดยมีนายริชาร์ด เมอร์ดิทสาร์ดี้ เพื่อนร่วมชาติเป็นนักบินที่ 1 เพราะกฎการบินที่ยังไม่อนุญาตให้คนตาบอดเป็นนักบินที่ 1 ส่วนนายไมล์เป็นนักบินที่ 2 ทั้งสองออกจากอังกฤษเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2550 ระหว่างทางได้แวะพักที่ นามบินภูเก็ตประเทศไทยด้วย การกระทำอันหาญกล้าท้ามฤตยูครั้งนี้ นายไมล์สิลตัน ทำเพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่คนตาบอดทั่วโลกให้ไม่ย่อท้อต่อชะตาชีวิต และเพื่อรับเงินบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาอีกด้วย
นายไมล์สิลตัน บาร์เบอร์ ตาบอดเมื่ออายุได้ 30 ปี แต่เขาไม่ยอมย่อท้อ ดิ้นรนต่อสู้ชีวิตอย่างทรหด และพยายามกระทำในสิ่งเหลือเชื่อ โดยนับแต่ปี พ.ศ.2542 เขาเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมาราธอนในระดับโลก ว่ายน้ำ ดำน้ำ ปีนภูเขา โดยสามารถพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศอังกฤษได้สำเร็จ และเคยปีนไปถึงยอดภูเขาหิมาลัยที่มีความสูงถึง 17,500 ฟุตมาแล้ว เขาพิชิตกำแพงเมืองจีน ทำลายสถิติโลกด้วยการเดินเป็นเวลา 78 ชั่วโมง โดยไม่หลับไม่นอนจนทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะ "ตาบอดนักผจญภัย"สิ่งที่เขาใฝ่ฝันอยากทำต่อไปคือ การขับเรือในมหาสมุทรแอตแลนติก เขาฝากถึงคนตาบอดทั่วโลกว่า เมื่อตาบอดแล้วอย่าคิดว่าอะไรๆ ก็ทำไม่ได้ จงคิดและเชื่อมั่นตนเองว่าสามารถดำรงชีวิตและทำทุกอย่างได้เช่นคนปกติสิ่งสำคัญ คือ ต้องพยายามเรียนและเพิ่มทักษะในสิ่งแปลกใหม่ที่เข้ามาในชีวิต
นักศึกษาหลายท่านที่กำลังใช้ดวงตาอันแจ่มใสอ่านเรื่องนี้อยู่คงนึกละอายใจไม่น้อยที่พบว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรายังทำไม่ได้เฉกเช่นชายตาบอดผู้นี้ และมีผู้คนมากมายเหลือเกินที่เกิดมามีอวัยวะครบสมบูรณ์แต่กลับไม่สู้ชีวิต เจอปัญหารุมเร้าเข้านิดก็คิดปลิดชีวิตตัวเองเพื่อหลีกหนีปัญหา มีคนตาดีๆ หลายต่อหลายคนงอมืองอเท้าถือกะลาขอเขากินไปวันๆ ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปตามถนนหนทางในมหานครทั่วโลก บางคนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวถึงกับประกาศขายดวงตาใช้หนี้ก็มี ดังเช่นชายหนุ่มวัย 31 ปีคนหนึ่งเป็นหนี้นอกระบบประมาณ 80,000 บาท ไม่อาจจะหาเงินมาใช้หนี้ได้ จึงตัดสินใจประกาศขายดวงตา 1 ข้างในราคา 120,000 บาท เพื่อนำเงินมาใช้หนี้
เหตุใด นายไมล์สิลตัน บาร์เบอร์ ผู้ตาบอดสนิททั้งสองข้าง จึงสามารถทำอะไรได้มากมาย อย่างที่คนตาดีๆ หลายคนยังทำไม่ได้ เหตุใดคนตาดีๆ หลายต่อหลายคนได้แต่นั่งรอคอยความเมตตาจากคนอื่นอยู่ข้างถนน และเหตุใดคนตาดีๆ บางคนจึงยอม ละดวงตาอันล้ำค่าเพียงเพื่อให้ได้เงินมาใช้หนี้ ทั้งๆ ที่เขายังหนุ่มแน่นเพิ่งย่างเข้าวัย 31 ปี เรื่องนี้เป็นเครื่องยืนยันพุทธพจน์ที่ว่า "ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่สำเร็จแล้วด้วยใจ" ได้เป็นอย่างดี หากตาบอดแต่มีใจที่เข้มแข็ง ก็สามารถทำอะไรต่ออะไรให้สำเร็จได้ ตรงข้ามแม้มีตาสว่างไสว แต่ใจมืดบอดเสียแล้วก็ไร้ประโยชน์ ภาษาพระท่านว่า "อัพโพหาริก" มีก็เหมือนไม่มี
ปกติแล้วธรรมชาติของจิตใจนั้นจะ "ประภัสสร คือ ว่างไ ว บริสุทธิ์" แต่เพราะมีกิเลส เข้ามาห่อหุ้มทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่สว่างไสว เมื่อจิตใจเศร้าหมองไม่สว่างไสวเป็นเหตุให้คิดผิด เมื่อความคิดผิดก็จะเป็นเหตุให้พูดผิดและทำผิดด้วย ทั้งผิดศีลผิดธรรมและผิดพลาดในการงานต่างๆ ที่ทำ เมื่องานผิดพลาดก็เป็นเหตุให้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
จิตใจที่เศร้าหมองเพราะกิเลส เปรียบเสมือนห้องที่มืดเพราะดวงไฟถูกปิดบังไว้ด้วย ผ้าทึบแสงอย่างดี เมื่อเราเดินเข้าไปในห้องที่มืดก็จะมีโอกาสให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ เพราะมองอะไรไม่เห็น ไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหนดี มีโอกาสที่เราจะเดินชนสิ่งต่างๆ ในห้องจนได้รับบาดเจ็บหากมีงูอยู่ในห้องเราก็มีโอกาสเดินไปเหยียบงูได้ แต่เมื่อเรานำผ้าทึบแสงออก แสงไฟในห้องก็จะไม่ถูกบดบังเป็นเหตุให้ห้องสว่างไสว มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน มีอะไรอยู่ในห้องเห็นแจ่มแจ้งหมดเราก็จะไม่เดินไปชนประตูไม่เหยียบงู เพราะเรามองเห็นทุกอย่าง
ผ้าทึบแสงที่บดบังแสงไฟเอาไว้นี้ ก็เปรียบเสมือนกิเลสที่บดบังความสว่างของจิตใจเราการที่จะทำให้จิตใจสว่างไสวนั้น เราจะต้องกำจัดกิเลส ให้หมดไปหรือให้เบาบางลง ด้วยการสร้างบุญ การสร้างบุญจะช่วยกำจัดกิเลส ที่บดบังแสงสว่างของจิตใจให้เบาบางลงจนกระทั่งหมดสิ้นได้ เมื่อจิตใจของเราสว่างไสวแล้ว ก็จะคิดถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เมื่อคิดถูกก็จะพูดถูกและทำถูก ซึ่งเป็นเหตุให้เราไม่ทำผิดศีลผิดธรรม การงานต่างๆ จึงไม่ผิดพลาดส่งผลให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตในที่สุด
*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ GB 406 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก
กลุ่มวิชาความรู้ทั่วไปทางพระพุทธศาสนา