"เด็ก" กับ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
หลายปีมานี้พบว่า เด็ก ๆ รุ่นใหม่ มีความสงสัยว่า ทำไมชาวพุทธจึงนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสูงสุด ทั้งที่พระองค์ก็มาจากมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เพื่อที่จะขจัดข้อสงสัยนี้ จึงได้ทำการค้นคว้า และก็พบคำตอบจากหลวงพ่อรูปหนึ่งที่พอจะอธิบายเหตุผลเรื่องนี้ ในระดับที่ลูก ๆ หลาน ๆ ของเราพอจะนึกภาพออกได้ดังนี้
ชาวพุทธที่แท้จริงเป็นคนมีเหตุผล ไม่ใช่คนงมงายเชื่อง่าย การที่คนใดคนหนึ่งจะเลือกใครมาเป็นศา ดาที่เคารพของตนนั้น ที่ถูกต้องแล้ว เขาควรจะต้องคำนึงถึงประวัติของศาสดานั้น ๆ เสียก่อนว่า
1. เป็นบุคคลที่มีประวัติชัดแจ้ง ว่ามีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์โลก ไม่ใช่เป็นเพียงบุคคลที่ประวัติไม่ชัดแจ้ง หรือคลุมเครือ ไม่น่าเชื่อถือ
2. เป็นบุคคลที่มีสติปัญญาความรู้และคุณธรรมมาก รู้เรื่องโลกและชีวิตอย่างลึกซึ้งที่เรียกว่า "ตรัสรู้" และคิดค้นคำสอนได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่แอบอ้างเอาคำสั่ง อนของคนอื่นมาสอนต่อ คือต้องเป็นผู้ที่มีความรู้จริง มีความสามารถจริงด้วยตนเอง
3. คำสั่งสอนของศาสดานั้น ๆ เป็นคำสอนที่สาวกหรือลูกศิษย์สามารถประพฤติปฏิบัติตามจนบังเกิดผลดีได้ หรือมีความสุขได้จริง ถ้าไม่มีใครสามารถประพฤติตามคำสอนเหล่านั้นได้เลย ก็แสดงว่าคำสอนเหล่านั้นไร้ประโยชน์ เพราะใคร ๆ ก็ทำตามไม่ได้
เมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์นี้แล้ว ก็จะทราบว่า การที่ชาวพุทธเคารพนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งสูงสุดอย่างเต็มภาคภูมิ เพราะเหตุที่สอดคล้องกันทั้ง 3 ประการ คือ
1) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงอยู่ในโลกมนุษย์เรา ประวัติศาสตร์รับรอง และระบุถึงผู้ให้กำเนิดชีวิตแก่พระองค์อย่างชัดแจ้งเหมือนมนุษย์ทั่วไป ยิ่งกว่านั้นยังทรงมีชาติตระกูลสูง คือเป็นถึงพระโอรสของกษัตริย์ ซึ่งมีบ้านเมืองที่เคยรุ่งเรืองในประวัติศาสตร์มีตำแหน่งแหล่งที่ปรากฏอยู่ในแผนที่โลกมาถึงปัจจุบัน
2) พระองค์ทรงกระทำความเพียร ค้นคว้าหาสัจธรรมโดยลำพัง จนได้ตรัสรู้เองทรงบัญญัติคำสอนโดยใช้ความสามารถของพระองค์เองโดยแท้ ไม่ได้รวบรวมคำสอนของคนอื่นมาอ้างว่าเป็นของตนเอง หรืออ้างเลยไปถึงว่าได้นำคำ อนของผู้มีอำนาจบนสวรรค์มาสอน ซึ่งเท่ากับเป็นการอาศัยอิทธิพลของผู้อื่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศชัดว่าตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง ไม่อยู่ในอาณัติของใคร ไม่เป็นทา รับใช้ใคร และไม่บังคับให้ใครเชื่อคำสอนของพระองค์
3) คำสอนของพระพุทธองค์เป็นสัจธรรม คือเป็นความจริงที่ไม่เคยล้าสมัย ข้อใดที่พระองค์ตรัสว่า "ควรกระทำ" ข้อนั้นถ้าใครตั้งใจทำตามก็ได้ผลดีจริงส่วนข้อใดที่พระองค์ตรัสว่า "ควรละเว้น" ถ้าหากใครฝ่าฝนไปทำ ก็ได้รับผลเป็นความทุกข์จริง
ฉะนั้น คำสอนของพระองค์ที่เราเรียกว่า "พระธรรม" จึงเป็นความจริงที่ไม่เคยล้าสมัยแม้ทุกวันนี้หากใครประพฤติตามย่อมได้รับผลดี คือไม่ตกไปสู่ฐานะอันชั่วต่ำ เช่น ไม่ไปเป็นโจร ไม่เป็นอันธพาล ไม่เป็นคนเลว ตายแล้วก็ไม่ตกไปสู่อบายภูมิ
ยิ่งกว่านั้นในการสอนธรรม แม้พระองค์ต้องทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังต้องเผชิญต่อการมุ่งร้ายหมายชีวิต จากฝ่ายปรปักษ์อย่างแสนสาหั พระองค์ก็มิได้ทรงท้อถอยและยังมิได้ทรงปรารถนาจะรับ หรือเรียกร้องสิ่งตอบแทนใด ๆ จากผู้ฟังคำสอนของพระองค์เลยแม้ในที่สุดเมื่อใครจะบูชาพระองค์ด้วยอามิ คือสิ่งของมีค่า พระองค์กลับทรงแนะนำว่าการบูชาอย่างนั้นสู้การปฏิบัติบูชาไม่ได้ นี่ย่อมแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณอันเลิศ ศาสดาใด ๆ ในโลกก็ไม่อาจเทียบได้
นอกจากนี้สาวกของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ หรือคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน เมื่อตั้งใจปฏิบัติตามพระธรรม และพระวินัยที่ทรงสั่งสอนไว้ ก็สามารถเป็นผู้บริสุทธิ์กาย วาจาใจ หมดกิเลสมีความสุขอันเป็นอมตะตามพระองค์ ซึ่งเท่ากับเป็นพยานยืนยันพระบริสุทธิคุณได้ว่า คำสอนของพระองค์ซื่อตรง ถูกต้อง ดีจริง มนุษย์ทุกคนสามารถปฏิบัติตามได้และได้ผลจริงสาวกของพระองค์ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในยุคนั้นมีนับเป็นล้าน ๆ องค์
การที่เราชาวพุทธเคารพนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งสูงสุด โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ทั้งที่พระองค์มาจากมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ที่เลิศด้วยพระปัญญาธิคุณ หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า ทรงเก่งที่สุดเท่าที่มนุษย์จะพึงเป็นได้ เพราะทรงเก่งกล้าสามารถปราบกิเลสได้ด้วยพระองค์เอง และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณทุ่มเทสอนวิธีปราบกิเลสให้คนทั้งโลก เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น
เราเชื่อในพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณของพระพุทธองค์ เราจึงพร้อมที่จะถือเอาพระองค์เป็นที่พึ่ง ทำตามคำสั่งสอนของท่านโดยไม่ลังเลใจเพื่อจะได้หมดกิเลสตามพระองค์ไปในที่สุด
*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ PD 001 หลักการสร้างความสุขในครอบครัว
หนังสือเรียน หลักสูตร Pre-Degree