ยายไม่รู้หนังสือ กอข้อไม่กระดิก
คุณยายเดินถือซอง สีขาวที่มีคนนำมาถวายระหว่างทาง เข้ามาที่ห้องเลขาฯ ท่านนั่งพัก พร้อมกับหยิบซองนั้นขึ้นมาพิจารณาดู ข้าพเจ้ามองตามซองในมือท่าน มีตัวหนังสือเขียนอยู่บนซอง ๓ บรรทัด
คุณยายถือซองอยู่ในลักษณะตัวหนังสือกลับหัวกลับหาง ก่อนที่จะยื่นซองนั้นมาให้ข้าพเจ้า พร้อมกับถามว่า "เขาเขียนว่ายังไง"
ข้าพเจ้ารับซองนั้นมาอ่านให้คุณยายฟังด้วยความเต็มใจอย่างที่สุด พร้อมกับเกิดความรู้สึกสะท้อนขึ้นมาในใจ ตามประสา ของตนเองที่มีสัญญาแค่หางอึ่งว่า คุณยายท่านจะอึดอัดใจขนาด ไหนหนอที่อ่านหนังสือไม่ออก ถ้ามีคนมาอ่านให้ท่านฟังถูก ๆ ผิด ๆท่านจะรู้หรือเปล่าหนอ
ทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้าต้องหยุดความคิดที่กำลังฟุ้งไปไกลลงทันที เมื่อคุณยายพูดว่า
"ยายเป็นคน ซื่อ ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรด้วยความบริสุทธิ์ ยายอธิษฐาน เกิดมากี่ภพกี่ชาติ ขอให้พบแต่คนที่ดีมีศีลธรรม ยายไม่กลัวคน เพราะใจยายบริสุทธิ์ ยายเอาบุญกับความดีสู้"
เหมือนคุณยายท่านจะอ่านความคิดของข้าพเจ้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และตอบข้อสงสัยในใจของข้าพเจ้าได้อย่างแจ่ม แจ้งโดยที่ไม่ต้องถาม ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกชื่นชม ยิ่งเคารพเลื่อมใส ศรัทธาในตัวท่านว่า คุณยายนี้สุดยอดจริง ๆ
แม้คุณยายจะอ่านหนังสือทั่ว ๆ ไปไม่ออก แต่คุณยายอ่านหนังสือเล่มที่อ่านยากที่สุดในโลก คือ ความรู้สึกนึกคิดของ แต่ละคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งชัดเจนแจ่มแจ้ง และแม่นยำด้วยญาณทัสสนะ ไม่มีใครสามารถปิดบังสิ่งใดท่านได้เลย
ความรู้ของท่านนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแขนงใดแขนงหนึ่ง แต่รอบรู้ไปทั้งหมด ความรู้ของท่านไม่มีคำว่าตกยุคตกสมัยจะนำมาใช้ปฏิบัติตอนไหนก็ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา และมีแต่จะ นำพาให้ชีวิตมีความสุข ความร่มเย็น ด้วยเหตุนี้เองคุณยายผู้ไม่รู้หนังสือจึงมีลูกศิษย์ลูกหาทุกเพศทุกวัยทุกระดับการศึกษาทุกสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นด็อกเตอร์ หรือนิสิตนักศึกษา แพทย์ พยาบาล ฯลฯ ต่างมาหาคุณยายด้วยความเคารพ นอบน้อมและถือเอาคุณยายผู้ไม่รู้หนังสือเป็นครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่าง
คุณยายไม่เคยมีปมด้อยเรื่องไม่รู้หนังสือ เพราะใจของคุณยายใสบริสุทธิ์มาก มากจนสามารถเอาชนะความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายเหล่านั้นได้
"ยายไม่กลัวใคร เพราะใจยายบริสุทธิ์"
คุณยายจึงยืนอยู่ในทุกที่ได้อย่างกล้าหาญ องอาจ ผึ่งผายสง่างาม ไม่มีความวิตก หวาดหวั่นระแวง หรือเก้อเขินแม้แต่ใน ที่ ๆ ไม่มีใครรู้จักว่าคุณยายคือใคร รู้จักแต่เพียงว่า คุณยายเป็นแม่ที่สูงอายุท่านหนึ่ง เมื่อคุณยายได้พูดคุยกับเขาเหล่านั้นแล้ว ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า เขาเหล่านั้นล้วนแต่ชื่นชม และชอบคุณยาย แม้กับฝรั่งต่างชาติ ต่างภาษา คุณยายก็ยัง ทักทายได้อย่างไม่เก้อเขิน... ด้วยรอยยิ้ม ภาษาแห่งมิตรไมตรี
แต่กระนั้นคุณยายก็ไม่ประมาทท่านมักจะมองเห็นทาง มาแห่งบุญ อธิษฐานเติมส่วนที่พร่องให้เต็มอยู่เสมอ
"ชาตินี้เสียอย่างเดียว ยายไม่รู้หนังสือถ้ารู้ ยายจะทำอะไรได้เยอะกว่านี้ มีอะไรยายจะนอต ๆ ไว้หมด (คุณยายพูดเป็นภาษาอังกฤษนอตของคุณยาย คือ Note = จดบันทึก) ยาย หนังสือก็ไม่รู้สักตัว แต่ยายงกบุญ ข้างในท่านสอน อันไหนบุญ อันไหนบาป รู้หมด" "เกิดมาขอให้ข้าพเจ้าได้เรียนหนังสือ จบปริญญาตรี ปริญญาโท ด็อกเตอร์ไปเลย"
เมื่อข้าพเจ้าเข้ามาช่วยทำหน้าที่อุปัฏฐากใหม่ ๆช่วงที่ว่าง พี่อารีพันธุ์จะแนะนำให้ข้าพเจ้าอ่านหนังสือให้คุณยายฟัง ที่ห้องเลขา จะมีหนังสืออยู่ชุดหนึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่เกี่ยว กับเรื่องของวัด เรื่องของคุณยาย เช่น หนังสือ "๒๐ ปี วัดพระธรรมกาย" หนังสือ "เดินไปสู่ความสุข" หนังสือ "เล่าเรื่องยาย" ซึ่งเขียนโดยหลวงพ่อทัตตชีโว หนังสือ "ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ของวัดพระธรรมกาย" เขียนโดยอุบาสิกาถวิล วัติรางกูล ฯลฯ
เมื่อมีโอกาสข้าพเจ้ามักหยิบหนังสือเหล่านี้ขึ้นมาอ่าน ให้คุณยายฟัง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าคุณยายมีความสุขมากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ ดูเหมือนว่าท่านจะรับรู้และมีอารมณ์ ร่วมกับทุกเหตุการณ์ที่อ่านให้ฟังท่านจะเข้าใจในทุกประโยค ทุกข้อความ โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย กลับเป็นคุณยายที่มักมี เรื่องเล่าเสริมเพิ่มเติม หรือเล่าในรายละเอียดต่าง ๆ ให้ฟังซ้ำ อีกรอบหนึ่งจากปากของท่านเอง จึงมักมีการอ่านให้ท่านฟังสลับไปกับการพูดคุย
ผิดกับเมื่อนำหนังสือทั่ว ๆ ไป มาอ่านให้คุณยายฟัง ที่จะต้องอ่าน และคอยจับประเด็น สรุปเป็นภาษาง่าย ๆ ถ่ายทอดให้คุณยายฟังในแต่ละข้อความ แต่ถึงกระนั้นบางครั้งคุณยายอาจ มีคำถามที่คาดไม่ถึง เช่น ถามว่า "สิ่งแวดล้อมคืออะไร" "ถ่ายทอดสดมันเป็นยังไง" ฯลฯ
หนังสือที่นำมาอ่านให้คุณยายฟัง จึงมักเป็นหนังสือที่ เกี่ยวกับวัด เกี่ยวกับหลวงพ่อทั้งสอง เกี่ยวกับคุณยาย ไม่ว่าจะอ่านให้ฟังกี่ครั้ง ๆท่านก็ยังมีความสุขในการฟัง และไม่เบื่อหน่ายที่จะได้ฟัง หนังสือบางเล่ม นอกจากท่านมีความสุขที่ได้ฟังแล้ว ยังสังเกตเห็นถึงความเบิกบานเป็นพิเศษ เมื่อท่านได้ฟัง ข้อความบางตอน บางประโยค เช่น หนังสือ "เล่าเรื่องยาย" ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโวท่านเขียนเป็นตอน ๆ มีอยู่หลาย ตอนที่คุณยายฟังแล้วมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะน้อย ๆ ด้วยความเบิกบาน เช่น ตอนหลวงพ่อเขียนปรารภเหตุว่า
ผจงจิตลิขิตแจ้ง จรรย์ยาย
จูงศิษย์บวชบังอบาย เบิกหล้า
ก่นสร้างวัดพระธรรมกาย เจิดจรัส
กว่าเสร็จกิจยายล้า ลุกล้ม แรมปี
พระคุณมีมากล้น คณนา
หยิบหนึ่งจารึกมา เอ่ยอ้าง
ยังอีกหมื่นแสนมหา บทฉบับ
ยายกระหน่ำกิเลสร้าง ศิษย์ซึ้ง ธรรมกาย
ถวายพรทศถ้วน บารมี
บุญแห่งนิพพานทวี ท่วมฟ้า
บุญเกิดแต่บวชพลี ชีพอาตม์
มอบแด่ยายตบะกล้า ล่าล้าง สังหารมาร
ข้อความข้างบน แม้จะเป็นโคลง ที่สุภาพ ศัพท์บางคำยาก แก่การเข้าใจ แต่คุณยายท่านฟังเข้าใจทุกข้อความอย่างแจ่มแจ้งทั้งความหมายโดยตรง และความหมายโดยนัยที่แฝงอยู่ พออ่านจบประโยคสุดท้าย "...ล่าล้างสังหารมาร" คุณยายมักจะหัวเราะน้อย ๆ พร้อมกับพูดว่า "ยายเอาซะอยู่ กว่าจะห้ำหั่นลงได้"
หรือไม่ว่าจะเป็นตอน พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว ไปพบคุณยายที่บ้านธรรมประสิทธิ์ ตอนดอกไม้พญามาร ตอนปลูกต้นกล้วยเอาไว้ให้เตะ คุณยายมักจะหัวเราะด้วยความเบิกบาน เหมือนกับว่า ภาพในครั้งอดีตยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของคุณยาย
มีอีกเรื่องหนึ่งที่มักนำมาอ่านให้คุณยายฟัง คือ เรื่องดวงจันทร์ในดวงใจ ซึ่งเป็นการรวบรวมเรียบเรียงเรื่องราวของคุณยาย ตั้งแต่เมื่อครั้งวัยเด็กจนถึงได้มาสร้างวัด ลงในจดหมายข่าว กัลยาณมิตรฉบับฉลองวัด ๒๐ ปี ที่มีหน้าปกเป็นรูปคุณยายยืนยิ้มอุ้มพานผ้าไตร โดยเฉพาะเรื่องราวบางตอนของท่านในช่วงวัยเด็ก คุณยายท่านจะเบิกบานทุกครั้งที่ได้ฟังท่านมักจะเล่าเสริมเพิ่มให้ฟังอีกครั้งด้วยความมีชีวิตชีวา
เช่น เมื่ออ่านถึงตอน "สัตว์ทุกตัว ยายรักเหมือนกันหมด" คุณยายท่านก็จะเล่าถึงสัตว์ที่ท่านเลี้ยงไว้ท่านยังจำชื่อและลักษณะของสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นควาย ชื่อไอ้แอ่น หลังมันแอ่น ๆ หรือสุนัขไอ้เขียว ตัวมัน สีเขียว ฯลฯ คุณยายท่านมีเมตตาต่อสัตว์เลี้ยงทุกตัว คอยหาข้าวหาน้ำให้กินเป็นอย่างดี
เมื่ออ่านถึงตอน "เพื่อน ๆ รัก และชอบเล่นกับยาย..." ท่านก็บอกว่า "ยายมีเพื่อนเยอะ เพราะยายไม่ขัดใจใคร และไม่อยู่ข้างใคร เล่นได้กับเขาหมด" แล้วท่านพูดถึงชื่อเพื่อนบางคน "ป่านนี้มันยังอยู่ หรือตายไปหมดแล้วก็ไม่รู้"
เมื่ออ่านถึงตอนเล่นน้ำขึ้นน้ำลง "น้ำขึ้นเพื่อนมันก็ดึงหูยายขึ้น น้ำลงมันก็ดึงติ่งหูลง น้ำขึ้นน้ำลง ๆ ๆ ดึงหูยายขึ้น ๆ ลง ๆ จนเป็นแผล" แววตาของท่านยังระลึกถึงความสนุกสนาน เมื่อครั้งวัยเด็ก พร้อมกับเอื้อมมือมาจับที่หูข้าพเจ้า "เพื่อนมัน ดึงหูยายขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้ จนหูยายตรงนี้เป็นแผล" เอานิ้วชี้ ไปตรงซอกติ่งหู
"ยายชอบว่ายน้ำ ตอนนี้เห็นน้ำแล้ว ก็ยังอยากลงไปว่าย" สายตาของท่านทอดมองไปที่โค้งน้ำแถวอาคารดาวดึงส์ "ไม่รู้ว่าลงไปว่ายแล้วมันจะลืมหรือเปล่า"
ความเบิกบานและรอยยิ้มที่ใบหน้าของท่าน เมื่อพูดถึงชีวิตในวัยเยาว์ ทำให้อดนึกไม่ได้ว่า คุณยายท่านคงเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสอารมณ์ดี ความชอบสนุกสนาน ซุกซนในวัยเด็ก ของท่าน แสดงให้เห็นว่าความกล้าหาญ เฉลียวฉลาด ความเป็นธรรมชาติ ความเป็นอิสระกว้างใหญ่อย่างไม่มีขีดจำกัด คงได้หล่อหลอมเข้ามาในใจของท่านตั้งแต่ในวัยเยาว์ จวบจนกระทั่งวันนี้ ที่ท่านได้กลายมาเป็นคุณยายผู้บริสุทธิ์ ใส เป็นธรรมชาติ และมีน้ำใจกว้างใหญ่ไพศาลสุดที่จะประมาณ
มีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ซึ่งจัดทำในโอกาส"ครบรอบ ๘๐ ปี คุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง" เป็นหนังสือที่มีภาพประกอบเป็นส่วนใหญ่ ภายในเล่มจะมีบทความที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยเขียนกล่าวถึงคุณยาย ด้วยตัวอักษรลายมือของหลวงพ่อเอง มีข้อความว่า
ข้าพเจ้าได้อ่านข้อความนี้ให้คุณยายฟังท่านนั่งฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าและแววตาของท่านเหมือนกำลังย้อนนึกไปถึงภาพเหตุการณ์ เมื่อครั้งที่ท่านรับเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้เป็นลูกศิษย์ และเฝ้าคอยประคับประคองมา จนเป็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยในปัจจุบันนี้
เมื่ออ่านให้ท่านฟังเสร็จแล้ว ได้นำหนังสือเล่มนั้นไปให้คุณยายเปิดดูภาพทีละหน้า ๆ เปิดไปที่หน้าแรกเป็นภาพพระเดชพระคุณหลวงพ่อ คุณยายเอามือชี้ไปที่ภาพ "นี่หลวงพ่อธัมมะ" แล้วก็ชี้ไปหน้าข้าง ๆ ซึ่งเป็นลายมือของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ "นี่หลวงพ่อท่านเขียนเอง ยายจำตัวหนังสือท่านได้" ข้าพเจ้าได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจว่า คุณยายท่านไม่รู้หนังสือ แต่ทำไมท่านจึงจำลายมือของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้
อะไรที่เกี่ยวกับหลวงพ่อ คุณยายมักจะจดจำได้อย่างแม่นยำ คุณยายบอกว่า "หลวงพ่อท่านอ่านหนังสือเก่ง มีหนังสือเต็มตู้" เวลาที่เปิดหนังสือที่มีรูปภาพต่าง ๆ ของวัดให้ท่านดูท่านมักจะชี้ไปที่ภาพ "นี่หลวงพ่อธัมมะ" แม้แต่รูปภาพเก่า ๆ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นภาพเล็ก ๆ ที่ถ่ายตอนใส่ชุดนักเรียน สมัยเรียนอยู่ที่สวนกุหลาบ คุณยายก็ยังจำได้อย่างแม่นยำ "นี่รูปหลวงพ่อธัมมะท่านเรียนอยู่สวนกุหลาบ มาหายาย อยากจะบวช"
บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าเห็นคุณยายหยิบหนังสือที่วางไว้ซึ่งมี ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ขึ้นมาเปิดดูท่านจะค่อย ๆ เปิดดูทีละหน้าท่านไม่ได้ดูที่ตัวหนังสือ แต่จะดูที่รูปภาพ แล้วค่อย ๆ พิจารณา ก่อนที่จะเปิดผ่านไปทีละหน้า ๆ
แม้คุณยายจะไม่รู้หนังสือ แต่ท่านจะมีความช่างสังเกตและนำสิ่งต่าง ๆ มาคิดพิจารณาได้อย่างยอดเยี่ยม คุณยายมัก จะมีมุมมองที่สว่างไสวและกว้างไกล ไกลไปถึงภพชาติเบื้องหน้า ท่านสามารถนำสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวมาสอนตัวเองได้เสมอในทุก ๆ เรื่อง
ภาพที่เห็นคุ้นตาอีกภาพหนึ่งของผู้ที่อยู่ใกล้ชิดท่าน จึงเป็น ภาพที่คุณยายมักยกมือพนมขึ้น พร้อมกับคำพูดอธิษฐานต่าง ๆ นานา แล้วลงท้ายคำอธิษฐานด้วยประโยคว่า "ไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งเข้าสู่นิพพาน"
คำอธิษฐานนั้นมีทั้งคำอธิษฐานที่ท่านมักอธิษฐานเป็นประจำ เช่น ขอให้ปราศจากคนพาล ขอให้หูดี ตาดี โรคภัยไข้เจ็บอย่าได้มี ฯลฯ และคำอธิษฐานตามเหตุต่าง ๆ ที่ประสบพบเห็น
เมื่อพบเหตุการณ์ใด หรือปรารภเหตุสิ่งใด คุณยายสามารถนำมาอธิษฐานได้หมด และท่านจะยกมือพนมขึ้นอธิษฐานทันทีเลย
เช่น เมื่อพบเห็นคนอ้วนมาก ๆ คุณยายพิจารณาแล้วก็ยก มืออธิษฐานทันทีเลยว่า "ขออย่าให้เราอ้วนอย่างนี้เลยให้พอดี ๆ"
เมื่อได้ฟังข่าวที่มีการฆ่ากันตาย คุณยายก็บอกว่า "นี่ชาติก่อนคงเคยไปทำกรรมฆ่าเขามาชาตินี้ก็เลยมาถูกเขาฆ่า" แล้ว คุณยายก็ยกมือพนมอธิษฐาน "เกิดมาขอให้เราอย่าไปฆ่าใคร และใครก็มาฆ่าเราไม่ได้ ถ้ามันจะเข้ามาใกล้ ขอให้มันเขยิบ ๆ ออกห่าง เข้ามาใกล้ไม่ได้"
คำอธิษฐานของท่าน และสิ่งที่ท่านนำมาพินิจพิจารณา แต่ละเรื่องแต่ละอย่างนั้น ล้วนทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นถึงดวงปัญญาอันสว่างไสวและเฉียบแหลมของท่าน
แม้คุณยายไม่รู้หนังสือ กอข้อไม่กระดิก
แต่ความไม่รู้หนังสือ
ไม่สามารถปิดกั้นดวงปัญญาอันสว่างไสวของท่านได้เลย
มีแต่ยิ่งทำให้มองเห็นว่าท่านเป็นบุคคลพิเศษ ไม่ธรรมดา
และมีดวงปัญญาอันสว่างไสวสุดที่จะประมาณ...
สว่างไสว และเจิดจ้า
พอที่จะส่องนำให้เห็นทางเดินออกจากกองทุกข์
เพื่อไปสู่ฝังแห่งมรรคผลนิพพานได้อย่างแจ่มแจ้ง
ชัดเจนในทุกแง่ทุกมุม
"ยายเป็นคนซื่อ ไม่รู้หนังสือ
ทำอะไรด้วยความบริสุทธิ์
ยายอธิษฐาน เกิดมากี่ภพกี่ชาติ
ขอให้พบแต่คนที่ดีมีศีลธรรม
ยายไม่กลัวคน เพราะใจยายบริสุทธิ์
ยายเอาบุญกับความดีสู้"