คุณยายผู้ทรงคุณธรรม
โดย พระไพบูลย์ ธมฺมวิปุโล
...ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลนี้
จะมีสักกี่คนที่ตั้งความปรารถนา
ที่จะปราบพญามารให้หมดสิ้น...
พระไพบูลย์ ธมฺมวิปุโล
อายุ ๔๒ พรรษา ๑๗
เข้าวัด เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๘
การศึกษาทางโลก อุตสาหกรรมศาสตรบัณฑิต
คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกล้า วิทยาเขตพระนครเหนือ
การศึกษาทางธรรม นักธรรมเอก
งานพระศาสนา ดูแลด้านการจัดงานบุญใหญ่
งานเผยแผ่ และงานบุคคล
วันนี้เป็นวันที่ ๔ ของงานบำเพ็ญกุศลภาคค่ำ อาตมามีความประทับใจในคุณธรรมของคุณยายอาจารย์ ซึ่งทำให้สามารถประคับประคองตัวเอง และรักที่จะอยู่สร้างบารมีกับหมู่คณะมาได้ถึงวันนี้ โดยสรุปมีอยู่ ๒ ประการคือ
ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของคุณยายอาจารย์ และความโชคดีของเราที่ได้เป็นลูกหลานอยู่ในวงบุญของคุณยายอาจารย์
ในวัฏสงสารอันยาวไกล การเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นยากยิ่ง ในแต่ละกัปจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นก็ไม่เกิน ๕ พระองค์ ที่ผ่านเราไปเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี เป็นพระองค์ที่ ๔ คือ พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีคำกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก (อรรถกถาสัมปสาทนียสูตร ทีฆนิกาย เล่มที่ ๑๕ หน้า ๒๑๔) พรรณนาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระสารีบุตรซึ่งเป็นผู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งเอาไว้ให้เป็นผู้เลิศด้วยปัญญาเปรียบเสมือนพระธรรมเสนาบดีสถานที่ใดที่พระสารีบุตรเดินทางไปแสดงธรรม ก็เหมือนพระพุทธองค์เสด็จไปเอง
แม้ว่าพระสารีบุตรจะมีปัญญามาก เมื่อท่านกล่าวสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นท่านอุปมาไว้ว่า เหมือนแม่น้ำแห่งหนึ่งมีน้ำท่วมล้น มีปริมาณมาก กว้างถึง ๑ โยชน์ (๑ โยชน์เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร) มีบุรุษคนหนึ่งเอาก้นเข็มจุ่มลงไปในน้ำเพื่อที่จะตักน้ำขึ้นมา น้ำที่ติดรูเข็มขึ้นมานั้นมีส่วนน้อย แต่น้ำที่ไหลท่วมล้นไปมีปริมาณมากฉันใด พระพุทธคุณที่พระสารีบุตรสามารถนำมากล่าวสรรเสริญตามที่ท่านได้รู้ได้เห็น ก็มีปริมาณเพียงน้ำที่ติดก้นรูเข็มฉันนั้น
บุคคลใดบุคคลหนึ่งเอานิ้วมือจับฝุ่นขึ้นมา ฝุ่นนั้นมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับฝุ่นในแผ่นดินฉันใด พระพุทธคุณที่พระสารีบุตรรู้เห็น และนำมากล่าวสรรเสริญได้ ก็เป็นเพียงฝุ่นในกำมือเท่านั้น
นิ้วที่ชี้ไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ หรือนิ้วที่ชี้ไปในนภากาศ ตรงไหนที่นิ้วชี้ไปถึงน้ำในมหาสมุทร หรือชี้ไปถึงอากาศในนภากาศส่วนที่นิ้วชี้ถูกเมื่อเทียบกับส่วนที่นิ้วชี้ไม่ถูกแล้วส่วนที่นิ้วชี้ถูกนั้นมีปริมาณเพียงน้อยนิดฉันใด พระพุทธคุณที่พระสารีบุตรรู้เห็น และนำมากล่าวสรรเสริญได้ก็มีเพียงปริมาณน้อยนิดฉันนั้น
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งจะตรัสสรรเสริญพรรณนาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ตลอดระยะเวลาอันยาวนานเป็นกัปกัปนั้นล่วงไปแล้ว หมดไปแล้วก็ยังกล่าวพระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่จบสิ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ปรารถนาพระโพธิญาณ จะต้องบำเพ็ญบารมีอย่างยาวนานทีเดียว อย่างน้อยที่สุดก็ ๒๐ อสงไขยกับแสนกัป คือตั้งความปรารถนาในใจ อสงไขยสร้างบารมีแล้วเปล่งวาจาตั้งความปรารถนาให้มหาชนได้ทราบอีกอสงไขยกับแสนกัป หลังจากที่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนอีก ๔ อสงไขยกับแสนกัป
พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงต้องอาศัยความเพียรอย่างต่อเนื่องยาวนาน พระองค์จะต้องสละทรัพย์ อวัยวะและชีวิต เพื่อแลกกับการบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ประการ มีทานบารมีเป็นเบื้องต้น มีอุเบกขาบารมีเป็นที่สุด และความปรารถนาที่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลายไปสู่พระนิพพานนั้นจะต้องไม่เลือนลางไปจากหัวใจของท่าน ตั้งแต่วันแรกที่ตั้งความปรารถนา จนกระทั่งเมื่อพระองค์ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
แต่หากจะมีใครสักคนหนึ่งมีหัวใจเยี่ยงพระบรมโพธิสัตว์มีความปรารถนาที่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลายตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลเข้าสู่พระนิพพานให้หมดสิ้นไม่มีเหลือเลย แม้มโนรถของบุคคลนั้นจะยังไม่สำเร็จลุล่วง เราควรจะตั้งท่านนั้นไว้ในฐานะใด ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลนี้ จะมีสักกี่คนที่ตั้งความปรารถนาที่จะปราบพญามารให้หมดสิ้น
หนึ่งในบุคคลอันหาได้ยากยิ่งนั้นท่านประดิษฐานอยู่ในเรือนทองข้างหน้าของพวกเรา ร่างเล็กๆ ของคุณยายอาจารย์ที่เก็บดวงใจอันยิ่งใหญ่นี้ไว้ เป็นเสมือนเมล็ดโพธิ์เล็กๆที่เก็บความยิ่งใหญ่ไว้ภายในทำอย่างไร เราจึงจะได้ติดตามสร้างบารมี อยู่ในวงบุญของท่านไปทุกภพทุกชาติ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเหตุที่ทำให้เกิดความรักและความผูกพันไว้ ๒ ประการ
ประการแรก คือ ความเป็นผู้คุ้นเคยกันมาในอดีต เคยอยู่ร่วมกันมา เคยสร้างความดีสร้างบุญร่วมกันมา
ประการที่ ๒ เคยเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ก็เป็นเหตุให้เกิดความรักและความผูกพันได้
ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาลขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต พราหมณ์เฒ่าผู้หนึ่งได้เข้ามากอดพระบาทของพระองค์แล้วกล่าวว่า "ลูกไปไหนมาๆ" เรียกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นลูก พระสาวกทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์อยู่ต่างก็ทราบว่าพระพุทธบิดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองกบิลพัสดุ์ ไม่ใช่พราหมณ์เฒ่าผู้นี้ พราหมณ์ได้อาราธนาพระศาสดาเสด็จไปที่บ้าน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นเลิศ ก็เสด็จตามคำอาราธนาของพราหมณ์ เมื่อไปถึงบ้านแล้วพราหมณ์เรียกนางพราหมณีออกมาพบ นางพราหมณีเห็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ร้องไห้ด้วยความปีติ แล้วก็กล่าวว่า"ลูกไปไหนมาทำไมไม่มาดูพ่อกับแม่ที่ชราภาพมากแล้ว"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์ทั้งสอง จบพระธรรมเทศนาแล้วพราหมณ์ทั้งสองก็ได้บรรลุธรรมเป็นอนาคามีบุคคล แล้วท่านก็ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายผู้สงสัย ว่าเหตุไฉนพราหมณ์ทั้งสองนั้นจึงเรียกพระองค์ว่าเป็นบุตร
พราหมณ์ทั้งสองนี้เคยเกิดเป็นพ่อแม่ของพระองค์มาถึง ๕๐๐ชาติ เคยเกิดเป็นลุง ป้าของพระองค์ในอดีตถึง ๕๐๐ชาติ เคยเกิดเป็นอาเป็นน้า ๕๐๐ชาติ พระองค์ตรัสว่า เราเจริญเติบโตในมือของพราหมณ์ทั้งสองนี้ ตลอดต่อเนื่อง ๑,๕๐๐ชาติไม่ขาดเลย ความรัก ความผูกพัน ความคุ้นเคย จึงทำให้พราหมณ์ ทั้งสองเรียกพระองค์ว่าเป็นบุตร
พวกเราทั้งหลาย มีโชคอันมหาศาลที่มีโอกาสมาสร้างบุญร่วมกับคุณยายอาจารย์ ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่
พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)ท่านเล่าให้ฟังว่า คุณยายเคยสอนเอาไว้ว่า ถ้ารักใครแล้วให้ชวนเขามาทำบุญ โดยเฉพาะคุณพ่อ คุณแม่ ลุง ป้า น้า อาเพื่อนสนิทมิตรสหาย ก็ขอให้วนเขามาทำบุญร่วมกัน ถ้าเราไม่วนเขามาทำบุญร่วมกัน ก็ไม่มีบุญที่จะผูกพันกัน ต่อไปก็จะเริ่มห่างกันไปเรื่อยๆ จากคืบเป็นศอก จากศอกเป็นวา จากวาเป็นโยชน์ แล้วก็ห่างกันไปเรื่อยๆ จึงเป็นโอกาสดีของพวกเราทั้งหลายที่มาร่วมบุญกับคุณยาย
จะขอเล่าเรื่องของบุคคลหนึ่ง น่าเสียดายที่เขาไม่โชคดีอย่างพวกเรา บุคคลนั้น คือ กาฬเทวิลดาบส
ครั้งเมื่อพระบรมโพธิสัตว์จุติเข้าสู่พระครรภ์ของพระพุทธมารดา เมื่อท่านประสูติจากพระครรภ์ ในครั้งนั้นกาฬเทวิลดาบส เป็นนักบวชประจำตระกูล และเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างยิ่งของพระเจ้าสุโธทนะและชาวเมือง
กาฬเทวิลดาบส นี้ได้สมาบัติ ทรงอภิญญา หลังจากฉันภัตตาหารแล้วท่านชอบไปพักที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้งหนึ่งท่านเห็นเทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลายสนุกสนาน ร่าเริงยินดีเป็นพิเศษท่านก็เข้าไปถามเทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลายว่า ร่าเริงยินดีด้วยเหตุอะไร เทพบุตรและเทพธิดากล่าวตอบว่า ขณะนี้พระบรมโพธิสัตว์ประสูติออกจากพระครรภ์ของพระพุทธมารดาแล้ว อีกไม่นานจะได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดีใจเหลือเกิน เมื่อฟังธรรมแล้วก็จะทราบหนทางแห่งความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
เมื่อกาฬเทวิลดาบสทราบดังนั้นก็เหาะลงมา เข้าไปสู่พระราชวัง หวังจะได้เห็นพระบรมโพธิสัตว์ พระเจ้าสุโธทนะทรงจัดอาสนะให้กาฬเทวิลดาบสแล้ว ทรงนำพระบรมโพธิสัตว์มา เพื่อปรารถนาจะให้ไหว้พระดาบส เมื่อพาพระบรมโพธิสัตว์มาถึง แทนที่พระบรมโพธิสัตว์จะไหว้พระดาบส พระบาททั้งสองของพระโพธิสัตว์กลับขึ้นไปประดิษฐานบนชฎาของพระดาบส พระดาบส เห็นเหตุการณ์นั้น ก็ระลึกชาติทราบว่ากุมารนี้ คือ พระบรมโพธิสัตว์ และระลึกไปในอนาคตก็เห็นพระบรมโพธิสัตว์นี้จะได้ตรัสรู้ธรรมเมื่ออายุ ๓๕ ปี จึงแย้มยิ้มด้วยความดีใจ
จากนั้นก็ระลึกชาติต่อไปดูตัวเองว่า จะมีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาหรือไม่ ครั้นทราบว่าตัวเองจะตายเสียก่อนแล้วไปเกิดในพรหมโลกชั้นอรูปพรหม ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ไปแสดงธรรมท่านก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจที่จะไม่มีโอกาสได้ทราบหนทางแห่งความหลุดพ้น
พระเจ้าสุโธทนะรวมทั้งมหาอำมาตย์ทั้งหลายเห็นพระดาบส หัวเราะแล้วก็ร้องไห้ จึงเกิดความแปลกใจ ได้ถามพระดาบสท่านก็บอกว่าที่ท่านแย้มยิ้มครั้งแรกนั้น เป็นเพราะเห็นพระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเกิดความปีติยินดีส่วนที่ร้องไห้เพราะท่านจะมีชีวิตอยู่ไม่ทันได้ฟังธรรม มัจจุมารจะมาพรากชีวิตไปเสียก่อน
แม้บุคคลที่ฝึกตัวมามาก แต่ไม่รู้หนทางอันประเสริฐที่จะไปสู่ความหลุดพ้นก็เป็นที่น่าเสียดาย
อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่เล่า สืบต่อกันมา พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)ท่านเล่าให้ฟังว่าตอนที่ท่านยังไม่ได้บวชท่านเคยฝันว่าเห็นบ้านทรงไทยหลังหนึ่งท่านขึ้นไปบนบ้าน เห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ที่ด้านหน้าพระพุทธรูปนั้นมีถาดเงินใบหนึ่งวางอยู่ พระพุทธรูปก็บอกว่าให้ไปเปิดหน้าต่างออก ในฝันท่านก็เดินไปเปิดหน้าต่างทันทีที่เปิดหน้าต่างดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า ก็ตกพรั่งพรูลงเป็นสาย เข้ามาทางหน้าต่าง แล้วลงมาที่ถาดเงินนั้น มีบางส่วนที่พลัดไปตกที่คูน้ำข้างบ้านท่านนำความฝันนี้มาเล่าให้คุณยายฟัง
คุณยายก็ทำนายฝันว่า
"อีกหน่อยคุณจะได้บวช จะมีผู้มีบุญบารมีแก่ๆ ทั้งหลายมาร่วมสร้างบุญบารมีกับคุณ ดวงดาวที่ตกลงมาในถาดก็คือผู้ที่มีบุญที่มาถึงคุณ มาร่วมสร้างบารมีกับคุณแต่บางส่วนเขาก็มาไม่ถึง"
เป็นความโชคดีของพวกเราทั้งหลายที่ได้มาร่วมสร้างบารมีกับคุณยายอาจารย์ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อ นี่คือพระคุณของคุณยายที่อาตมาประทับใจ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยได้เคยกล่าวไว้เป็นประโยคสั้นๆ แต่มีความหมายมากมายว่า "ถ้าไม่มีคุณยาย ก็ไม่มีวัดพระธรรมกาย"
อาตมาอยากให้ทุกท่าน ได้หยุดพินิจพิจารณาว่า หาก ๓๐ ปีที่ผ่านมาไม่มีวัดพระธรรมกาย ขณะนี้เราจะอยู่ ณ จุดใดในการแสวงหาประโยชน์ของชีวิต
เรากำลังแสวงหาประโยชน์ในชาตินี้ คือ ตั้งเนื้อตั้งตัวให้ได้ หรือกำลังแสวงหาประโยชน์ในชาติหน้า คือสั่งสมบุญกุศลเพื่อไปสู่สุคติ หรือกำลังแสวงหาประโยชน์อย่างยิ่งคือ แสวงหาหนทางพระนิพพาน หรือจะปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามกระแสโลก เกิดมาทำมาหากิน มีครอบครัวเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน แล้วก็จากโลกนี้ไปเหมือนนกกา
แต่ ณ วันนี้ เดี๋ยวนี้ พวกเราทั้งหลาย เป็นลูกหลานของคุณยาย อยู่ในวงบุญสร้างบารมีร่วมกับคุณยายอาจารย์
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อาตมาประทับใจ และเป็นสิ่งที่ประคับประคองตัวเองมาได้จนถึงปัจจุบันด้วยเหตุ ๒ ประการคือ ความโชคดีของเราที่มีครูที่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ และเป็นโชคดีของเราที่ได้มาเป็นลูกหลานอยู่ในวงบุญของคุณยาย