พระพุทธเจ้าคือใคร

วันที่ 13 มิย. พ.ศ.2560

พระพุทธเจ้าคือใคร

พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ , Pre-Degree , วัดพระธรรมกาย , DOU , ธรรมกาย , ปริญญาตรี , พรีดีกรี , พระพุทธศาสนา , พุทธศาสตร์ , พระไตรปิฎก , สร้างบารมี , หลวงพ่อธัมมชโย , พระพุทธเจ้าคือใคร , พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เมื่อเราได้ศึกษา "พระพุทธคุณ" ตามแนวปฏิบัติที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านเทศน์มาถึงตรงนี้ ก็จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจ ความหมายของคำว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า มีความหมายอยู่ถึง 2 ระดับ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคปริยัติ และในภาคปฏิบัติ


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคปริยัติ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคปริยัติ เป็นความหมายในขั้นต้น หมายถึง บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์โลกท่านหนึ่ง ที่มีชีวิตอยู่ในช่วง 80 ปีก่อนพุทธกาล ซึ่งได้มีการบันทึกประวัติของท่าน ตกทอดกันมาจนถึงปัจจุบันว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระนามที่ใช้เรียกมหาสมณะชาวอินเดียรูปหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกตามชาติตระกูลว่า "โคดม" มีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็นพระราชโอร ของพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชาแห่งแคว้นสักกะ มีนครหลวงชื่อว่า "กบิลพัสดุ์" พระองค์ประสูติเมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช

     ขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้ 29 ปี ก็ทรงตัดสินใจอำลาชีวิตที่เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ พัสถาน ข้าราชบริพาร นางสนมกำนัลนับร้อยนับพัน ออกบวชเพื่อหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พระองค์ทรงแสวงหาวิธีการพ้นทุกข์ โดยทรงไปศึกษาจากเจ้าลัทธิศาสนาที่มีมากมายในสมัยนั้น รวมเวลาที่พระองค์ทรงศึกษาจากเจ้าลัทธิศาสนาและการทรมานตนเองอย่างอุกฤษฏ์ เพื่อให้พ้นทุกข์นานถึง 6 ปี แต่ก็ไร้ผล พระองค์จึงทรงละทิ้งวิธีการของนักสอนศาสนาทั้งหมด และในที่สุดก็ทรงค้นพบวิธีการตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง ต่อมาพระองค์จึงเสด็จไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังแคว้นต่าง ๆ ในประเทศอินเดีย พระพุทธศาสนาจึงบังเกิดขึ้นในโลกนับแต่นั้นมา พระองค์ทรงประกาศพระศาสนาจนพระชนมายุได้ 80 ปี จึงทรงปรินิพพานที่เมืองกุสินารา"

     นี่ก็เป็นความหมายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคปริยัติที่เราร่ำเรียนกันมาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เท่านั้น
 

พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ , Pre-Degree , วัดพระธรรมกาย , DOU , ธรรมกาย , ปริญญาตรี , พรีดีกรี , พระพุทธศาสนา , พุทธศาสตร์ , พระไตรปิฎก , สร้างบารมี , หลวงพ่อธัมมชโย , พระพุทธเจ้าคือใคร , พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคปฏิบัติ
    ครั้นเมื่อเราได้ฟังคำเทศน์ในเชิงปฏิบัติของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำแล้วเราจึงได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นมาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิใช่เป็นเพียงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นความหมายในภาคปริยัติเท่านั้น แต่ยังมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเชิงภาคปฏิบัติซึ่งมีความหมายอย่างลึกซึ้งอยู่อีก คือพระธรรมกายในตัวของพระมหาสมณะชาวอินเดียตระกูลโคดม ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และการที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงระดับนั้นได้ จะต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ให้ชำนิชำนาญจนกระทั่งใจหยุดนิ่งได้สนิทที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เข้าถึงกายภายใน ที่เรียกว่า "ธรรมกาย" ที่อยู่ในตัวพระองค์ท่าน

       ธรรมกายที่อยู่ในตัวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แหละคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จริง มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปเกตุดอกบัวตูม ใสเหมือนแก้ว ไม่ขุ่นมัว ซึ่งความรู้นี้เป็นเรื่องใหญ่ นอกจากพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำแล้ว ไม่เคยมีใครในยุคปัจจุบันพูดถึง หรือบันทึกเป็นตำรับตำราไว้เลย

      เมื่อเข้าใจถูกแล้วว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่ถึงสองระดับ เราก็จะหายสงสัยที่ครั้งหนึ่งพระองค์ตรัสเอาไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่เห็นธรรม ก็ชื่อว่าไม่เห็นเราตถาคต" แสดงว่า ผู้ใดถึงแม้จะอยู่ใกล้ชิดพระองค์ขนาดจับชายจีวรของพระองค์เอาไว้ แต่ยังไม่เห็นธรรมภายใน ก็ยังไม่ได้ชื่อว่า เห็นพระองค์ นี่แหละตรงนี้เป็นเงื่อนสำคัญในการปฏิบัติธรรม

     ใครก็ตามแม้ว่าจะศึกษาธรรมะจนกระทั่งเจนจบ และสามารถท่องพระไตรปิฎกได้หมดตู้ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่คำเดียวก็ตามทีเถอะ แต่ทว่าตราบใดที่เขาผู้นั้น ยังไม่ลงมือปฏิบัติสมาธิจนกระทั่งใจหยุดนิ่งเข้าถึงธรรมกายเช่นเดียวกับพระองค์ ย่อมไม่มีทางเข้าใจความหมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้นี้ได้เลย

    ตรงนี้สรุปได้ชัดเจนว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชั้นนอก หมายถึงร่างกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อของพระมหา มณะตระกูลโคดม เป็นเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราเรียนกันมาในประวัติศาสตร์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชั้นในหมายถึงธรรมกายภายในตัวของพระองค์ซึ่งตรงนี้คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จริง

   เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะรู้จักและเข้าใจพระองค์ท่านจริง ๆ ก็คือ คนที่เข้าถึงธรรมกายในตัวเองเช่นเดียวกับพระองค์เท่านั้น จึงจะเห็นตัวจริงของพระองค์ซึ่งเป็นชั้นใน มิฉะนั้นก็จะเห็นแต่เปลือกนอกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า "ผู้ใดเห็นธรรม (คือเห็นธรรมกาย) ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา" เท่ากับพระองค์ทรงเตือนให้เราต้องคิดต่อไปว่า 'ก็แล้วในตัวของเราเองล่ะจะมีธรรมกายอยู่ด้วยไหม' 'มี แต่เราเองไม่เคยรู้ว่ามีมาก่อน จนกระทั่งพระองค์ทรงบอกให้' เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องเร่งไปทำต่อด้วยตนเอง ก็คือทำสมาธิให้ใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายไปรู้ไปเห็นธรรมกายในตัวเรา เช่นเดียวกับพระองค์ให้ได้

    เพราะฉะนั้นการที่ใครจะเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้จริง ๆ จึงมีความจำเป็นว่านอกจากจะศึกษาประวัติ ศึกษาคำสอนของพระองค์ ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพานแล้วยังจะต้องลงมือประพฤติปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 เช่นเดียวกับพระองค์ ให้เข้าถึงธรรมกายหรือเข้าถึงความเป็นพุทธภายในนั่นแหละ จึงจะเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้จริง ๆ มิฉะนั้นจะไม่มีทางเข้าใจพระองค์อย่างเด็ดขาด

      ส่วนประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือ ธรรมกายคืออะไร ?

      ธรรมกาย ก็คือพระพุทธเจ้าตัวจริง เป็นกลไกสำคัญในการตรัสรู้ธรรม

     ประเด็นนี้ชาวโลกส่วนมากไม่ค่อยจะเฉลียวใจคิด ทำนองเดียวกับ เมื่อก่อนนี้คนทั้งโลกมีความเข้าใจผิดคิดว่าโรคที่เกิดขึ้นในร่างกายคน มีสาเหตุมาจากอำนาจของภูตผีปีศาจ หรือเพราะว่าถูกผู้วิเศษสาปแช่ง เนื่องจากไม่เคารพเขา เขาจึงสาปแช่งเอา แต่เมื่อมีกล้องจุลทรรศน์เกิดขึ้น ชาวโลกจึงได้รู้ว่า ความเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ มีสาเหตุเกิดจากเชื้อโรคเชื้อจุลินทรีย์

    หรือว่าสมัยโบราณ ชาวโลกมีความเข้าใจผิดว่า ดวงเดือน ดวงดาวเป็นสิ่งที่ผู้วิเศษหรือเทวดาบันดาลให้เกิดขึ้นมา แต่เมื่อมีกล้องโทรทรรศน์สำหรับดูดวงดาวเกิดขึ้น จึงได้รู้ว่า ดวงดาวที่มีอยู่เต็มท้องฟ้าเหล่านั้น เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เมื่อธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ รวมกันได้สัดส่วนเหมาะ มที่จะเป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น คือ เหมาะที่จะเป็นดวงดาว ก็เป็นดวงดาว เหมาะที่จะเป็นดวงจันทร์ ก็เป็นดวงจันทร์ หรือเหมาะที่จะเป็นดวงอาทิตย์ ก็เป็นดวงอาทิตย์สัดส่วนของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เหมาะสมจะเป็นอย่างนั้น ก็เกิดขึ้นมาเอง ไม่ใช่ว่าเทวดาที่ไหนมาเสกสรรปันแต่งขึ้นมา

     เพราะฉะนั้นเราจึงได้ข้อสังเกตว่า ปัญญาของมนุษย์เพิ่มพูนขึ้นมาได้ เพราะว่าได้อาศัยอุปกรณ์ช่วยในการเห็น เช่น เกี่ยวกับเรื่องการแพทย์ เราอาศัยกล้องจุลทรรศน์ไปส่องดูเชื้อโรคเกี่ยวกับดวงดาว เราอาศัยกล้องส่องทางไกลหรือกล้องดูดาว ไปดูดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ต่าง ๆ เป็นต้น

    ดังนั้นการที่เราจะเข้าใจการตรัสรู้ธรรม การที่เราจะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริง จึงต้องอาศัยอุปกรณ์อันแสนวิเศษตามธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเห็นกิเลสนั่นคือ ธรรมกายที่มีอยู่ในตัวของเราแต่ละคน เช่นเดียวกับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอาศัยธรรมกายที่อยู่ภายในพระวรกายซึ่งประกอบด้วยเลือดเนื้อของพระองค์ ไปเห็นไปรู้ ไปปราบกิเลสทั้งหลายที่นอนเนื่องอยู่ในพระทัยของพระองค์มานานนับอสงไขยชาติ ให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ จนกิเลสทั้งหลายเหล่านั้นหมดเกลี้ยงไปจากพระทัยของพระองค์โดยสิ้นเชิง

   เมื่อใดที่เราเข้าใจเรื่องธรรมกายดังกล่าว เมื่อนั้นเราจึงจะเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคปฏิบัติ ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำท่านเทศน์กล่าวย้ำถึงความสำคัญต่อการเข้าถึงพระพุทธเจ้าภายในตัว หรือพระธรรมกายภายในตัวของมนุษย์ทุกคน มาจนตลอดช่วงอายุขัยของท่าน จนกระทั่งถึงกับมีคำสั่งสอนของท่านที่ให้ไว้กับลูกศิษย์ เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ว่า "ถ้าไม่ได้ ตายเถอะ" ซึ่งหมายถึง ถ้าปฏิบัติธรรมจนกระทั่งทำใจหยุดใจนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เข้าถึงธรรมกายภายในไม่ได้ ก็ขอให้ตายลงไปเสียที่ตรงนี้เถอะ

    ตรงนี้เป็นพระคุณอันใหญ่หลวงที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำมีความกรุณาต่อชาวโลก มีความปรารถนาดีอยากจะได้เห็นชาวโลกทุกคนเข้าถึงธรรมกายภายในที่มีอยู่ในตัวทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคน ไม่ยกเว้นว่าเขาผู้นั้นจะมีชนชาติ วรรณะ ผิวพรรณเป็นอย่างไรล้วนแล้วแต่มีพระธรรมกายในตัว ล้วนแล้วแต่มีความสามารถเข้าถึงธรรมกายภายในตัวได้เช่นเดียวกันทุกคน ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำได้กรุณามาขจัดความสงสัยอันเป็นเงื่อนงำสำคัญที่ว่า


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปราบกิเลสในใจของพระองค์ได้อย่างไร
        กลไกสำคัญในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตรงที่การเข้าถึงธรรมกาย

      ดังนั้น ไม่ว่าใครคนใดก็ตามที่ฝึกสมาธิจนสามารถวางใจได้ถูกส่วน จนใจหยุดนิ่งสนิทที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ย่อมเข้าถึงพระพุทธเจ้าภายใน หรือธรรมกายภายใน ซึ่งมีรูปร่างลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ เป็นพระพุทธรูปซึ่งมีชีวิต ที่อยู่ในตัวคนเรา มีลักษณะเกตุเป็นดอกบัวตูม ในทุก ๆ อณูเนื้อของธรรมกายภายในนั้น ล้วนแล้วแต่มีความใสเป็นเพชรใสเป็นแก้ว ไม่มีตำหนิหรือริ้วรอยขีดข่วนให้ความงามลดลงแม้แต่น้อย และสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าเอาดวงอาทิตย์ในยามเที่ยงมาเรียงร้อยติดกันจนกระทั่งเต็มผืนฟ้า ไม่มีความ ว่างใด ๆ ในโลกหล้าจะอุปมามาเทียบเทียมได้ แล้วอาศัยความสว่างของธรรมกายภายในที่เกิดจากการทำใจหยุดนิ่ง ไปเห็นไปรู้ ไปปราบกิเลสในใจทั้งน้อยและใหญ่ที่หมักดอง ห่อหุ้ม ครอบงำ กัดกร่อน บีบคั้น บังคับใจของเรามานานนับอสงไขยภพ อสงไขยชาติไม่ถ้วน กวาดล้างต้นตอของอกุศลธรรมทั้งมวลให้หมดฤทธิ์ หมดอำนาจ หมดสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษไปจากใจของเราได้อย่างถาวรเงื่อนสำคัญของการตรัสรู้ธรรมอยู่ตรงนี้เอง

 

 

*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ PD 003 พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
หนังสือเรียน หลักสูตร Pre-Degree

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0096427838007609 Mins