ภารกิจที่วัดปากน้ำ
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นสถานที่ ที่หลวงปู่ทําวิชชาและปักหลักเผยแผ่พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย ตลอดชีวิต และเป็น ๑ ใน ๖ ของสถานที่ประดิษฐานรูปหล่อทองคําพระมงคลเทพมุนี
เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ในราวกลางปีพ.ศ. ๒๔๖๑ (กลางรัชกาลที่ ๖) สมเด็จพระวันรัต (เผื่อน ติสสทัตตมหาเถระ) วัดพระเชตุพนฯ พระอาจารย์องค์หนึ่งของหลวงปู่ ซึ่งขณะนั้นดํารงตําแหน่งเป็นเจ้าคณะอําเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี เล็งเห็นความเป็นผู้นําของหลวงปู่ จึงแต่งตั้งให้หลวงปู่เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ํา ภาษีเจริญ ซึ่งเป็นพระอารามหลวงเก่าแก่สถาปนาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
หลวงปู่เดินทางจากวัดพระเชตุพนฯ ไปยังวัดปากน้ำภาษีเจริญ โดยเรือยนต์หลวงของกรมการศาสนา และมีพระอนุจร (พระลูกวัด, ผู้ติดตาม) ไปด้วย ๔ รูป
เมื่อไปถึงวัดปากน้ำ หลวงปู่ก็พบว่า วัดปากน้ําอยู่ในสภาพที่ชํารุดทรุดโทรมมาก เป็นกึ่งวัดร้าง และมีพระ-ภิกษุประจําวัดอยู่ ๑๓ รูป
พัฒนาวัด
การพัฒนาวัดในทัศนะของหลวงปู่ก็คือการพัฒนาประเทศชาติถ้าวัดสะอาดสะอ้าน เจริญตาเจริญใจบุคคลากรในวัดมีระเบียบวินัย คนก็อยากจะเข้าวัด เมื่อเข้าวัดแล้วก็จะได้พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น และเมื่อประชาชนอยู่ในศีลในธรรม สังคมประเทศชาติก็จะสงบสุขไปโดยปริยาย
ในระยะแรก การบริหารและพัฒนาวัดของหลวงปู่ไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากพระภิกษุที่อยู่มาก่อนยังไม่ให้ความร่วมมือและชาวบ้านแถบนั้นมีอัธยาศัยเป็นนักเลง แต่หลวงปู่ท่านมีนิสัยของนักพัฒนา ท่านชอบความเจริญก้าวหน้าและชอบทําตนให้เป็นประโยชน์ดังที่ท่านมักกล่าวว่า “อยู่ที่ไหนก็ให้ทาน บริจาคทานเรื่อยไป ไม่ทําอะไรก็สอนหนังสือหนังหา สงเคราะห์อนุเคราะห์กุลบุตร” ดังนั้นไม่ว่าจะมีอุปสรรคอย่างไร ท่านก็ไม่ย่อท้อ มุ่งมั่นที่จะทํานุบํารุงวัดปากน้ําขึ้นมาใหม่ โดยให้ความสําคัญแก่การสร้างคนให้เป็นคนดีเป็นหลัก ส่วนการก่อสร้างเสนาสนะ หรือสิ่งอํานวยความสะดวกอื่น ๆ ล้วนเป็นไปเพื่อสนับสนุนการสร้างคนทั้งสิ้น
แนวทางในการสร้างคนของหลวงปู่ คือ ให้การศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้พัฒนาสติปัญญา ควบคู่ไปกับการพัฒนาจิตใจโดยการเจริญสมาธิภาวนา
สําหรับพระภิกษุสามเณร หลวงปู่ท่านก็ให้การอบรมสั่งสอนและดูแลอย่างใกล้ชิด ให้เจริญสมาธิภาวนาและฝึกฝนอบรมตนเองตามพระธรรมวินัย นอกจากนี้ท่านยังสนับสนุนพระภิกษุสามเณรให้ศึกษาทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติไม่ปล่อยให้อยู่ว่าง ๆ ใครไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติก็ให้ทําหน้าที่อื่น
หลวงปู่ท่านตั้งใจพัฒนาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จนกระทั่งกลายเป็นอารามหลวงที่สําคัญและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง มีพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิการวมแล้วเป็นจํานวนนับพัน
ไหวสิน่า
ในเรื่องความเป็นอยู่ของสมาชิกในวัด หลวงปู่ให้สร้างกุฏิที่พักสําหรับพระภิกษุสามเณรอย่างเพียงพอ และมีเครื่องอํานวยความสะดวกพอควรแก่ภาวะของนักบวชพระภิกษุสามเณรที่เข้ามาอยู่ในบารมีธรรมของท่าน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย ท่านดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่เครื่องนุ่งห่ม สบง จีวร นอกจากนี้ท่านยังให้ตั้งโรงครัวเพื่อรับภาระเรื่องการขบฉัน ทําให้พระภิกษุสามเณรไม่ต้องกังวลเรื่องภัตตาหารแต่อย่างใด จะได้มีเวลาศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่
หลวงปู่ท่านเลี้ยงพระมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๑ จนกระทั่งมรณภาพ ทําให้วัดปากน้ําในสมัยนั้นมีพระภิกษุสามเณรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพิ่มจาก ๒๐-๓๐ รูป ไปจนถึง ๕๐๐ กว่ารูป สมดังที่ท่านได้ปฏิญาณในพระอุโบสถเมื่อครั้งที่เข้ามาปกครองวัดปากน้ําว่า “บรรพชิตที่ยังไม่มาขอให้มา ที่มาแล้วขอให้อยู่เป็นสุข”
เมื่อใครพูดถึงจํานวนพระภิกษุสามเณรว่ามากเกินไป ท่านจะหัวเราะด้วยความดีใจแล้วพูดว่า “เห็นคุณพระศาสนาไหมล่ะ” และท่านไม่เคยกลัวว่าจะเลี้ยงไม่ไหว ได้แต่พูดว่า “ไหวสิน่า”
สร้างโรงเรียน
• สร้างโรงเรียนราษฎร์สําหรับเด็กชาวบ้านหลวงปู่ท่านเห็นว่าในละแวกนั้นมีเด็ก ๆ ที่ไม่ได้เรียนหนังสือเป็นจํานวนมาก เด็กพวกนี้มักมาวิ่งเล่นส่งเสียงเอะอะในวัด บางทีก็มายิงนกกัน เมื่อท่านเห็นเด็กพวกนี้แล้ว ท่านก็ปรารภว่า “เด็ก ๆ ที่ไร้การศึกษาเป็นคนรกชาติมาเที่ยวรังแกวัด ต่อไปก็กลายเป็นพาล” ด้วยความเมตตาท่านจึงดําริให้ตั้งโรงเรียนขึ้น เพื่ออนุเคราะห์ให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ซึ่งปรากฏว่าได้รับการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธาจํานวนมากทางราชการก็ส่งเสริม ทําให้ชาวบ้านแถบนั้นซาบซึ้งในอุปการคุณของท่านเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาเมื่อทางราชการจัดตั้งโรงเรียนตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา ท่านจึงยกเลิกงานด้านนี้และหันมาดูแลเรื่องการศึกษานักธรรมและบาลี
• สร้างโรงเรียนปริยัติธรรม
สําหรับการเรียนของพระภิกษุสามเณรนั้น ท่านจัดให้มีการเรียนการสอนนักธรรมและบาลีประจําสํานัก โดยจัดหาครูมาให้และให้สร้างโรงเรียนปริยัติธรรมเป็นอาคาร ๓ ชั้น จุผู้เรียนได้นับพัน สองชั้นล่างสําหรับเรียนปริยัติชั้นบนจัดเป็นห้องโถงสําหรับปฏิบัติธรรม มีห้องน้ําทุกชั้น มีไฟฟ้า มีพัดลม มีเครื่องตกแต่งอาคารครบถ้วน และมีอุปกรณ์การศึกษาพร้อมบริบูรณ์ช่วยให้พระภิกษุสามเณรมีที่ศึกษาเล่าเรียนที่สะดวกสบายและทันสมัย
อาคารหลังนี้ได้ชื่อว่าเป็นตึกที่ทันสมัยที่สุดในแถบนั้น สิ้นค่าก่อสร้างถึง ๒ ล้าน ๕ แสนกว่าบาท นับว่าเป็นเงินจํานวนมหาศาลในสมัยนั้น
เมื่อโรงเรียนสร้างเสร็จสมบูรณ์ ทางคณะสงฆ์ก็มาใช้อาคารหลังนี้เป็นสนามสอบนักธรรมและธรรมศึกษาสําหรับอําเภอภาษีเจริญเป็นประจําทุกปีโดยหลวงปู่ได้จัดเลี้ยงภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุสามเณรที่มาสอบด้วย
นอกจากสนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุสามเณรวัดปากน้ําแล้ว หลวงปู่ท่านยังเป็นกําลังสําคัญของพระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทัตโต ป.ธ.๙) ในการหาทุนเพื่อก่อตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์ไทย คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในปัจจุบัน
ทํางานทางใจ
แม้หลวงปู่ท่านจะสนับสนุนงานในด้านต่าง ๆ จนกระทั่งทําให้วัดปากน้ํามีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น แต่งานที่หลวงปู่ให้ความสําคัญและให้เวลามากที่สุด คือ งานทําสมาธิเจริญภาวนา ซึ่งเป็นการทํางานทางใจที่มีเป้าหมายในการกําจัดกิเลสอาสวะ อันเป็นเหตุแห่งความทุกข์และความเบียดเบียนให้หมดสิ้นไป และในขณะเดียวกันท่านก็ใช้วิชชาธรรมกายช่วยแก้ไขความทุกข์ยากเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ด้วย
ทุก ๆ วัน หลวงปู่จะบําเพ็ญกิจภาวนาพร้อมกับพระภิกษุสามเณร แม่ชีและอุบาสิกา ในโรงงานทําวิชชา ซึ่งเป็นกุฏิหลังใหญ่แบ่งเป็น ๒ ห้อง ห้องหนึ่งเป็นห้องของหลวงปู่กับพระอีกประมาณ ๓๐ รูป ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นห้องของแม่ชีและอุบาสิกาที่ถือศีล ๘ ราว ๆ ๓๐ คน ผู้ที่อยู่ในห้องทั้งสองต่างมองไม่เห็นกัน ที่ผนังกั้นระหว่าง ๒ ห้องมีช่องเล็กๆไว้สําหรับหลวงปู่สั่งงาน
การทําวิชชาสมัยนั้น ในยามปกติจะทําผลัดละ ๔ ชั่วโมง โดยสับเปลี่ยนกันทําอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุดตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่ในยามสงครามโลกทําวิชชาผลัดละ ๖ ชั่วโมง
จากหนังสือ ยิ่งรู้จัก ยิ่งเคารพรักท่าน