ความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกาย
เรื่องราวความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกาย ทั้งที่มีหลักฐานบันทึกไว้และที่เล่าขานสืบต่อกันมามีอยู่เป็นจํานวนมาก ซึ่งในที่นี้ไม่สามารถรวบรวมไว้ได้ครบถ้วนจึงขอยกมาเพียงบางตัวอย่างเท่านั้น
พระของขวัญวัดปากน้ํา
พระของขวัญวัดปากน้ําเป็นพระผงที่หลวงปู่ทําขึ้นเพื่อมอบเป็นของขวัญแก่ผู้ที่ร่วมบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมกับท่าน ใครบริจาคปัจจัย ๒๕ บาทขึ้นไป จะได้พระ ๑ องค์แม้บริจาคเป็นพันเป็นหมื่นบาท ก็ได้คนละ ๑ องค์เหมือนกัน และต้องไปรับด้วยตนเองที่วัดปากน้ํา
พระของขวัญวัดปากน้ํามีชื่อเสียงโด่งดังมากในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่รับพระของขวัญไปต่างก็พบกับความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารต่าง ๆ นานา บางคนรับพระไปแล้วถูกลอตเตอรี่ก็มีบางคนทํามาค้าขึ้น ร่ํารวยจนตัวเองแปลกใจ บางคนประสบอุบัติเหตุร้ายแรง คนอื่น ๆ ที่ไปด้วยกันเสียชีวิตหมด แต่ผู้ที่มีพระของขวัญรอดมาได้เป็นอัศจรรย์
ในช่วงนั้นทหารไทยที่ไปรบที่ประเทศเกาหลีก่อนไปก็มักจะพากันไปรับพระของขวัญจากหลวงปู่ที่วัดปากน้ําเพื่อนําไปคุ้มครองปกปักรักษาให้อยู่รอดปลอดภัย
นายกุล ผ่องสุวรรณ ไวยาวัจกรวัดปากน้ํา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “...ในตอนเย็น ๆ ข้าพเจ้ามักจะนั่งอยู่กับหลวงพ่อ ทหารที่จะไปสงครามเกาหลีจะสะพายเป้มารับพระของขวัญแทบทุกวัน หลวงพ่อท่านประสิทธิ์ประสาทแล้ว ท่านก็จะบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว กลับบ้านได้คือหมายถึงไม่ตาย ...บางรายเขียนจดหมายมาเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของพระของขวัญที่เขาประสบ เช่น เขาเล่าว่าขนาดออกไปทําการยิงเผาขนกันแทบไม่เว้นแต่ละวัน ก็รอด มีชัยมาได้ทุกครั้ง...”
หลังจากที่มีการแจกพระของขวัญและมีผู้คนประสบกับอภินิหารของพระของขวัญแล้ว ต่างก็เล่าขานกันไปแบบปากต่อปาก จนกระทั่งหนังสือพิมพ์เสนอข่าวเรื่องอภินิหารของพระของขวัญ ทําให้กิตติศัพท์พระของขวัญวัดปากน้ํายิ่งขจรขจายไปทั่ว ทําให้มหาชนหลั่งไหลไปรับพระกันมากมายราวกับที่วัดมีงานมหรสพ พระรุ่นแรกที่หลวงปู่สร้างขึ้นถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ (เท่ากับจํานวนพระธรรมขันธ์) หมดลงอย่างรวดเร็ว หลวงปู่ท่านจึงสร้างอีกสองรุ่น รุ่นละ ๘๔,๐๐๐ องค์ซึ่งก็หมดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ไปนรกสวรรค์
เรื่องนี้พระทิพย์ปริญญา (ธูป กลัมพสุต) เปรียญ ๖ ประโยค อดีตผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ บันทึกไว้เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ว่า ท่านมีโอกาสพบกับหลวงจบกระบวนยุทธ หลวงจบฯ เล่าให้พระทิพย์ปริญญาฟังว่า หลวงจบฯ กับภรรยาไปขอให้หลวงปู่พาไปพบพ่อตาที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว
หลวงปู่สั่งให้แม่ชีมานั่งสมาธิเวลาผ่านไปสักครู่แม่ชีลืมตาขึ้นและบอกว่าตนมาจากชั้นยามา หลวงปู่ถามว่า ทําบุญอะไรจึงได้ขึ้นสวรรค์แม่ชีตอบว่าสร้างโบสถ์หลวงจบฯ ชักตะลึงเพราะพ่อตาได้สร้างโบสถ์ไว้จริง ๆหลวงปู่ซักต่อไปอีกว่า มีลูกกี่คน แม่ชีตอบถูกหมดทั้งลูกหญิงลูกชาย หลวงปู่ชี้ไปทางหลวงจบฯ แล้วถามว่านี่ใครแม่ชีพูดว่า นี่อ้ายแช่มใช่ไหม นี่นางเครือใช่ไหม ทั้งคู่รับว่าใช่ในที่สุดทั้งหลวงจบฯ และภรรยาก็ร้องไห้โฮเพราะคิดถึงบิดา ความจริงแม่ชีไม่รู้จักชื่อเดิมของหลวงจบฯ หลวงปู่ก็ไม่รู้จัก น่าแปลกที่พูดถูก
เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตาเนื้อเรื่องนี้มีอยู่ในบันทึกของพระทิพย์ปริญญาเช่นกันท่านบันทึกไว้ว่า “...เมื่อวันวิสาขบูชานี้มีคนโจษกันมากว่าเวลาเวียนเทียนที่วัดปากน้ํามีคนเห็นเป็นรูปพระปฏิมากรลอยอยู่ ...”
แม่ชีทวีพร เลี้ยบประเสริฐ วัดปากน้ํา ภาษีเจริญ ก็กล่าวไว้ในหนังสือบุคคลยุคต้นวิชชาว่า “...วัดปากน้ําสมัยหลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่ มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นเยอะมาก มีคนเห็นพระพุทธเจ้าลอยอยู่บนฟ้า มีมาให้เห็นหลายองค์ดูไปดูไป ก็เลือนหายไป มีเหตุการณ์ประหลาด มีเสียงน้ําไหลแล้วก็ได้ยินเสียงสวด...”
สําหรับเรื่องนี้หลวงปู่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “ธรรมกายนี้วัดปากน้ําได้ค้นพบตัวจริงแล้ว จะไปนรกได้ไปสวรรค์ได้ไปนิพพานได้อาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ในพระนิพพานมาให้มนุษย์เห็นที่วัดปากน้ํานี้มากมายในวันมาฆบูชาและวิสาขบูชา ให้ปรากฏเห็นจริงจังกันอย่างนั้น”
ยิ่งกว่าตาเห็น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณณสิริมหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ หรือที่เรียกกันว่า “สมเด็จป๋า” ทรงบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงปู่ไว้สรุปใจความได้ว่า
ครั้งหนึ่ง สมเด็จป๋าไปฉันเพลที่วัดปากน้ํา วันนั้นมีพ่อค้าคนหนึ่งถามหลวงปู่ต่อหน้าคนจํานวนมากว่า “วันนี้จะมีผู้บริจาคสร้างกุฏิเพื่อเจริญพระกัมมัฏฐานบ้างไหมขอรับ” ขณะนั้นสมเด็จป๋ารู้สึกโกรธผู้ถามและหนักใจแทนหลวงปู่มาก แต่หลวงปู่ท่านยิ้มแย้ม หลับตาสัก ๕ นาทีแล้วตอบว่า “มี” ผู้ถามยังถามย้ําอีกว่ากี่หลัง หลวงปู่ตอบว่า “๒-๓ หลัง” สมเด็จป๋าท่านหนักใจมาก ท่านคิดว่าทําไมหลวงปู่ถึงได้ตอบคําถามแบบหมิ่นเหม่ต่ออันตรายเช่นนั้น ถ้าไม่มีใครมาบริจาคจะทําอย่างไร
ต่อมามีอุบาสกอุบาสิกากลุ่มหนึ่งเข้าไปกราบหลวงปู่ และบอกว่ามีศรัทธาจะสร้างกุฏิเล็ก ๆ สัก ๒-๓ หลังเมื่อพ่อค้าผู้ถามเห็นเหตุการณ์นี้ก็กระโดดเข้าไปกราบที่ตักหลวงปู่เลย แล้วพูดว่า “ยิ่งกว่าตาเห็น”
หลังจากนั้น สมเด็จป๋ายังได้ไปสนทนาสอบถามผู้บริจาคกลุ่มนั้นว่า “นัดกับหลวงพ่อไว้หรือเปล่า” คนกลุ่มนั้นบอกว่า “ไม่ได้นัด” และบอกต่อไปว่า ขณะที่พวกเขาเดินมาในวัด เห็นกุฏิเล็ก ๆ สวยดีก็เลยอยากจะสร้างบ้าง จึงปรึกษากับพวกพ้องที่เพิ่งมาพบกันในวันนั้นว่าจะถวายปัจจัยให้หลวงปู่สร้างกุฏิ
จะได้เป็นใหญ่ในหมู่สงฆ์
หลวงปู่เคยพยากรณ์สมเด็จป๋า เมื่อครั้งที่ท่านยังดํารงสมณศักดิ์ที่พระธรรมดิลกว่า จะได้เป็นใหญ่ในหมู่สงฆ์แต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะมีพระมหาเถระรูปอื่นที่ควรจะได้เป็นพระสังฆราชก่อนสมเด็จป๋าตามลําดับสมณศักดิ์แต่ใน พ.ศ. ๒๕๑๕ หลังจากที่หลวงปู่มรณภาพไปแล้ว ๑๓ ปีสมเด็จป๋าก็ได้เป็นพระสังฆราชจริง ๆ ตรงตามคําพยากรณ์ของหลวงปู่ ไม่ผิดเพี้ยนเลย
เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๕ สมเด็จป๋าเสด็จไปถวายเครื่องสักการบูชาแด่หลวงปู่ที่วัดปากน้ํา ภาษีเจริญท่านประทานพระโอวาทว่า “ที่มาวันนี้ก็เพื่อจะมาถวายสักการะหลวงพ่อ ด้วยความตั้งใจของหลวงพ่อได้เคยพูดไว้อย่างไร และความตั้งใจของหลวงพ่อนั้น ก็ปรากฏตามที่หลวงพ่อได้พยากรณ์ซึ่งขณะนี้ก็ได้เป็นพระผู้ใหญ่สูงสุดในคณะสงฆ์สมความปรารถนาของหลวงพ่อแล้ว จึงได้นําสักการะมาถวายหลวงพ่อเป็นกรณีพิเศษแปลกกว่าปีก่อน ๆนั้น”
องค์นี้แหละจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ
นอกจากพยากรณ์ว่า สมเด็จป๋าจะได้เป็นพระสังฆราชแล้ว หลวงปู่ท่านยังพยากรณ์อนาคตของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ซึ่งขณะนั้นยังเป็นสามเณรอยู่ว่า “องค์นี้แหละจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำองค์ต่อไป” และเมื่อครั้งที่คณะศิษย์รวมทุนกันสร้างกุฏิใหม่ (ตึกมงคลจันทสร) ถวายหลวงปู่ แทนกุฏิหลังเก่าที่เก่าทรุดโทรมมากท่านก็มักจะออกมาดูการก่อสร้างเสมอ ๆ และพูดว่า “ตึกหลังนี้สร้างให้ช่วงเขาอยู่”
ในเวลาต่อมาตึกหลังนี้ก็เป็นกุฏิของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ําภาษีเจริญ องค์ปัจจุบันจริง ๆ
หูทิพย์ตาทิพย์
นายสมจิตร ฉ่ํารัศมีอดีตสามเณรวัดปากน้ํา เล่าว่าเมื่อครั้งเป็นสามเณรอยู่ที่วัดปากน้ํา เคยได้ยินหลวงปู่พูดว่า “ต่อไปยุคเอ็งจะได้เห็นปราสาท ๓ ฤดู หม้อดินต่อไปจะไม่ต้องหุง มีหม้อทิพย์มีหูทิพย์ตาทิพย์” แต่นายสมจิตรหัวเราะ เพราะไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ต่อมาในปัจจุบันนี้มีคอนโดฯ ติดแอร์จะทําให้ร้อนก็ได้หนาวก็ได้มีหม้อหุงข้าวเปิดปุ๊บติดปั๊บ มีโทรทัศน์อยากดูอะไรก็เปิดดูได้ถ่ายทอดสดก็มีเหมือนมีตาทิพย์ส่วนหูทิพย์ที่ท่านว่าก็คือโทรศัพท์ ที่ช่วยให้คนที่อยู่ห่างไกลกันติดต่อพูดคุยกันได้
รักษาโรค
นอกจากเรื่องความมหัศจรรย์ต่าง ๆ แล้ว หลวงปู่ยังใช้วิชชาธรรมกายรักษาโรคอีกด้วย ท่านทดลองให้เห็นว่าวิชชาธรรมกายสามารถเป็นที่พึ่งของมนุษย์ได้จริง ๆ โดยนําผู้ป่วยหนัก ๒ คน คนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน อีกคนเป็นวัณโรค ท่านให้๒ คนนี้ นั่งสมาธิแล้วท่านก็ใช้วิชชาธรรมกายช่วยแก้โรคให้จนกระทั่งผู้ป่วยหายจากโรคร้ายและยังเข้าถึงธรรมกายอีกด้วย
ผู้ป่วยที่ไปรักษาโรคที่วัดปากน้ํา จะต้องเขียนอาการของโรค ชื่อ ที่อยู่ อายุ วัน เดือน ปีเกิด ใส่ไว้ในกล่องจากนั้นหลวงปู่ก็สั่งให้ผู้ที่ได้ธรรมกายช่วยกันแก้โรคให้คนที่มารักษาต้องนั่งสมาธิด้วย เพื่อให้กระแสจิตเชื่อมถึงกัน การรักษาจึงจะได้ผล ซึ่งปรากฏว่ามีผู้ป่วยที่หายจากโรคเป็นจํานวนมาก ที่บรรเทาเพียงครั้งคราวก็มีซึ่งหลวงปู่ท่านบอกว่า “ไม่หายก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยคนเจ็บก็มีโอกาสรู้จักวิธีปฏิบัติธรรม”
กิตติศัพท์ที่หลวงปู่สามารถรักษาโรคหายแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ทําให้มีคนสนใจวิชชาธรรมกายและเดินทางไปขอพึ่งบารมีท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความทุกข์ของผู้คนที่ไปขอพึ่งบารมีหลวงปู่นั้น มีตั้งแต่เรื่องเกิดจนไปถึงเรื่องตาย เช่น ใครยังไม่มีบุตร ก็ไปขอความเมตตาจากท่าน ให้ช่วยใช้วิชชาธรรมกายเลือกคนดีๆ มาเกิด ใครมีลูกหลานขี้โรค ก็มายกให้เป็นลูกท่านใครมีลูกหลานไม่ฉลาด ก็มาขอบารมีให้ท่านช่วย ใครมีญาติตาย ก็มาขอให้ดูว่าไปอยู่ที่ไหน จะต้องทําบุญอะไรให้จึงจะสมควร
หลวงปู่ท่านเมตตาช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากโดยไม่เลือกหน้า และไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ อีกทั้งยังสอนให้ผู้ที่ได้วิชชาธรรมกายช่วยเหลือคนโดยไม่หวังลาภสักการะเพราะท่านถือว่า เป็นหน้าที่ของผู้ที่ได้ธรรมกายทุกคน ที่จะต้องช่วยแก้ไขความทุกข์ยากเดือดร้อนของคนที่มาขอความช่วยเหลือ และให้ต้อนรับพวกเขาด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส และไม่ให้แสดงอาการเบื่อหน่าย
จากหนังสือ ยิ่งรู้จัก ยิ่งเคารพรักท่าน