เริ่มจากธรรมเนียมสู่ทำวัตร
การสวดมนต์ มีมูลเหตุมาจากการทำวัตร และการทำวัตรก็มีประเพณีความเป็นมาจากธรรมเนียมการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าของพุทธบริษัทในอดีต เมื่อเข้าเฝ้าต้องกราบไหว้และคอยฟังโอวาทเพื่อนำไปปฏิบัติ
การทำวัตร มาจากคำภาษาบาลีว่า "วัตตัง"
แปลว่า หน้าที่ประจำ หรือ ธรรมเนียม
เป็นหนึ่งในกิจวัตร ๑๐ อย่าง ที่พระภิกษุสามเณรต้องเอาใจใส่อยู่เสมอ ไม่ขาดนอกจากมีกิจจำเป็น ในเทศกาลเข้าพรรษาพระภิกษุสามเณร ต้องทำวัตรแสดงความเคารพต่ออุปัชฌาย์อาจารย์หรือต่อพระเถระผู้ใหญ่ เรียกว่า "การทำวัตร" เหมือนกัน
หรือแม้แต่การสวดมนต์เช้า-สวดมนต์เย็น เมื่อทำเป็นประจำทุกวัน ก็เรียกว่า "ทำวัตรเช้า'' "ทำวัตรเย็น" นั่นเอง
เมื่อทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็นก็ต้องมีการสวดมนต์บุชาพระพุทธเจ้า จึงเป็นที่มาของคำว่า "การทำวัตร-สวดมนต์''
การทำวัตรสวดมนต์จึงเป็นการเข้าเฝ้าพระพุทธ เจ้าด้วยกายคือการกราบไหว้และการทำความเคารพ เข้าเฝ้าด้วยวาจาคือการสวดสรรเสริญพุทธคุณ เข้าเฝ้าด้วยใจคือในขณะสวดนั้น ได้นอมจิตใคร่ครวญพระธรรมคำสอนในบทสวดนั้น จนเกิดปัญญาแจ้ง ใจย่อมสงบเป็นสมาธิ เกิดความสุขและเป็นกุศล
เป็นการทำบุญที่ได้ครบทั้งทางกาย วาจา และใจ
เมื่อทำบ่อยๆ ก็กลายเป็นนิสัยเป็นเหตุให้ต้องทำเป็นประจำจึงเรียกว่า "ทำวัตร" หรือ "ทำกิจวัตร"
การทำวัตรนอกจากจะเป็นการเข้าเฝ้าพระทุทธเจ้าแล้ว ยังเป็นการทบทวนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจมากขึ้น เช่น ในบทสรรเสริญพระธรรมตอนหนึ่งว่า "เป็นธรรมทรงไว้ซึ่ง ผู้ทรงธรรม จากการตกไปสู่โลกที่ชั่ว"
เมื่อเราสวดบ่อยๆ จะเกิดความเข้าใจในบทสวดมนต์
เราทำความดีมากพอแล้วหรือยัง เราได้ประพฤติตนเป็นคนดี มีความสะอาดบริสุทธิ์มากพอ ที่จะเป็นเหตุให้พระธรรมแผ่อานุภาพปกป้องคุ้มครองเราหรือยัง
หรือเพียงแค่ทำตามประเพณีโดยไม่มีความเข้าใจ