เรื่อง ที่พึ่งมิใช่ที่พึ่ง
เมื่อนางยักษิณีสิ้นชีพลง มาณพผู้เป็นบุตรได้ทำฌาปนกิจ แล้วพาพราหมณ์ผู้เป็นบิดาไป
นครพาราณสี ยืนอยู่ที่ประตูพระราชนิเวศน์ ขอให้ทหารรักษาการณ์กราบทูลแด่พระเจ้าพาราณสีว่า
มีมาณพผู้ฉลาดสังเกตรอยเท้าได้มายืนอยู่ที่พระทวารขอเข้าเฝ้า เมื่อพระราชาทรงอนุญาตแล้ว จึงได้เข้าไปถวายบังคมพระเจ้าพาราณสี
พระราชาตรัสถามว่า พ่อหนุ่ม เจ้ารู้ศิลปวิทยาอะไร
ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์รู้วิชาที่สามารถไปตามรอยเท้า แล้วจับคนที่ลักขโมยสิ่งของไปแล้วนานถึง ๑๒ ปีได้.
ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงรับราชการอยู่กับเรา.
ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อข้าพระองค์ได้รับพระราชทานทรัพย์วันละพัน จึงจะขอรับราชการ
ได้ เป็นไปตามที่เจ้าขอ พระเจ้าพาราณสีรับสั่งให้พระราชทานทรัพย์วันละพันทุกวัน
อยู่มาวันหนึ่ง ปุโรหิตกราบทูลพระเจ้าพาราณสีว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกเราไม่รู้ว่ามาณพนั้นจะมีศิลปะนั้นหรือไม่มี เพราะเขายังมิได้แสดงให้เห็นถึงอานุภาพของศิลปวิทยา ควรทดลองมาณพนั้นก่อน
พระราชารับสั่งว่า ดีแล้ว ทั้งสองจึงให้สัญญาแก่เจ้าพนักงานรักษารัตนะ แล้วถือเอาแก้วดวงสำคัญลงจากปราสาทเดินวนเวียนภายในพระราชนิเวศน์ ๓ ครั้ง แล้วพาดบันไดลงข้างนอกปลายกำแพง เข้าไปศาลยุติธรรม นั่งในศาลนั้นแล้วเดินกลับมาพาดบันได ลงภายในพระราชนิเวศน์ทางปลายกำแพง เดินไปยังฝั่งสระโบกขรณีภายในพระราชวัง เวียนสระโบกขรณี ๓ รอบ แล้วลงไปวาง
สิ่งของไว้ในสระโบกขรณี แล้วจึงไปขึ้นปราสาท.
วันรุ่งขึ้นได้เกิดโกลาหลกันว่า ได้ยินว่า พวกโจรลักแก้วไปจากพระราชนิเวศน์ พระราชาทำ
เป็นทรงทราบ รับสั่งให้เรียกมาณพมาแล้วตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า แก้วมีค่ามาก ถูกโจรลักไปจากพระราชนิเวศน์ เอาเถิด เจ้าควรติดตามแก้วนั้นมาให้ได้.
มาณพกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า สิ่งของที่โจรลักไปแล้วนานถึง ๑๒ ปี ข้าพระองค์ยังสามารถติดตามรอยเท้าโจรนำคืนมาได้ สิ่งของที่ถูกลักไปเมื่อคืน ข้าพระองค์ย่อมสามารถนำมาได้ในวันนี้แน่ ขอพระองค์อย่าได้ทรงปริวิตกถึงสิ่งของนั้นเลย
พระราชารับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงนำมาเถิด
มาณพกราบทูลว่า ได้ พระเจ้าข้า แล้วยืนขึ้นที่ท้องพระโรงไหว้มารดา ร่ายมนต์จินดามณี แล้วกราบทูลว่า รอยเท้าของโจร ๒ คนปรากฏพระเจ้าข้า แล้วตามรอยเท้าของพระราชาและปุโรหิตเข้าไปยังห้องอันเป็นสิริมงคล ออกจากห้องนั้น ลงจากปราสาทวนเวียนอยู่ในพระราชนิเวศน์ ๓ ครั้ง แล้วไปใกล้กำแพงตามรอยเท้านั่นแหละ ยืนบนกำแพงแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พ้นจากกำแพงในที่นี้ไปแล้วรอยเท้าปรากฏในอากาศ ขอพระองค์จงพระราชทานบันได แล้วให้พาดบันไดลงทางปลายกำแพง ไปศาลยุติธรรมตามรอยเท้านั่นแหละ แล้วเดินกลับมายังพระราชนิเวศน์อีก ให้พาดบันไดแล้วลงทางปลายกำแพงไปสระโบกขรณี เดินเวียนขวาสระโบกขรณีนี้ ๓ ครั้ง แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกโจรลงสระโบกขรณีนี้ แล้วลงไปนำสิ่งของซึ่งดุจตนวางไว้เองมาถวายพระเจ้าพาราณสี แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้าโจร ๒ คนนี้เป็นมหาโจรที่พระองค์ทรงรู้จักดี จึงได้ขึ้นพระราชนิเวศน์ตามทางนี้ มหาชนพากันชื่นชมยินดีต่างก็ปรบมือกันยกใหญ่บางพวกก็ยกผ้าขึ้นโบก.
พระราชาทรงพระดำริว่า มาณพนี้เดินไปโดยสังเกตรอยเท้า เห็นจะรู้แต่ตำแหน่งสิ่งของที่พวกโจรวางไว้เท่านั้น แต่ไม่อาจจับโจรได้ ทีนั้นพระราชาจึงได้ตรัสกะมาณพว่า เจ้านำสิ่งของที่พวกโจรลักไปมาให้เราได้ แต่ไม่อาจจับพวกโจรมาให้เราได้หรือ
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกโจรอยู่ในที่นี้แหละมิได้อยู่ไกลเลย
ใครเป็นโจร ใครเป็นโจร จงบอกมา
ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้ใดย่อมอยากได้อยู่ผู้นั้นแหละเป็นโจร เมื่อได้สิ่งของของพระองค์มาแล้ว จะประโยชน์อะไรด้วยพวกโจรอีกเล่า ขอพระองค์อย่าได้ถามถึงเลย.
นี่แน่ะเจ้า เราให้ทรัพย์แก่เจ้า วันละพันทุกวัน เจ้าจงจับพวกโจรมาให้เรา.
ทรัพย์ที่หายไปพระองค์ก็ได้แล้ว จะประโยชน์อะไรด้วยพวกโจรอีกเล่า พระเจ้าข้า.
นี่แน่ะเจ้า เราได้พวกโจรเหมาะกว่าได้ทรัพย์
มาณพกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์จะไม่กราบทูลแด่พระองค์ว่า คนเหล่านี้เป็นโจร แต่จะนำเรื่องที่เคยมีในอดีตมากราบทูลพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงพระปรีชาก็จะทรงทราบเรื่องนั้น ครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว ได้นำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ข้าแต่มหาราชเจ้า ในอดีตกาล มีมาณพนักฟ้อนคนหนึ่ง ชื่อ ปาฎลี อยู่ในบ้านน้อยริมฝั่งแม่น้ำไม่ไกลพระนครพาราณสีนัก วันหนึ่งมีการมหรสพ เขาพาภรรยาไปพระนครพาราณสี ฟ้อนรำขับร้องได้ทรัพย์ ครั้นเลิกการมหรสพแล้ว ได้ซื้อสุราอาหารเป็นจำนวนมากเดินกลับบ้านของตน ถึงฝั่งแม่น้ำ เห็นน้ำใหม่กำลังไหลมา จึงนั่งบริโภคอาหาร ดื่มสุราเมาจนไม่รู้กำลังของตน เอาพิณใหญ่ผูกคอแล้วลงน้ำจับมือภรรยาพูดว่า เราไปกันเถิด แล้วว่ายข้ามแม่น้ำไป.
น้ำได้เข้าไปตามช่องพิณ. ครานั้น พิณนั้นได้ถ่วงเขาจมลงในน้ำ. ฝ่ายภริยาของเขารู้ว่าสามีจมน้ำ จึงสลัดมือจากเขาขึ้นไปยืนอยู่บนฝั่ง. มาณพนักฟ้อนจมน้ำผลุบโผล่ ๆ อยู่ ดื่มน้ำเข้าไปจนเต็มท้อง
ลำดับนั้น ภรรยาของเขาจึงคิดว่า สามีของเราจักตายในบัดนี้ เราจักขอเพลงขับไว้สักบท ๑ เอาไว้ขับในท่ามกลางบริษัทเลี้ยงชีพ คิดดังนี้แล้วจึงได้กล่าวว่า พี่ พี่กำลังจะจมน้ำ ขอท่านจงให้เพลงขับแก่ฉันบทหนึ่ง ฉันจักเลี้ยงชีพด้วยเพลงขับนั้น
สามีกล่าวว่า น้องรักพี่จักให้เพลงขับแก่เจ้าได้อย่างไร น้ำซึ่งเป็นที่พึ่งอาศัยของมหาชน บัดนี้กำลังจักฆ่าพี่อยู่แล้ว
มาณพนำเรื่องในอดีตมาทูลเล่าแด่พระราชา แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า น้ำเป็นที่พึ่งของมหาชนฉันใด แม้พระราชาทั้งหลาย ก็เป็นที่พึ่งของมหาชนฉันนั้น เมื่อภัยเกิดแต่สำนักของพระราชาเหล่านั้นแล้ว ใครจักป้องกันภัยนั้นได้ ดังนี้แล้วกราบทูลอีกว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า. เรื่องโจร
ลักพระราชทรัพย์นี้เป็นเรื่องลับ แต่ข้าพระองค์กราบทูลอย่างที่บัณฑิตจะรู้ได้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด พระเจ้าข้า
พระราชาตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เราจะรู้เรื่องลี้ลับเห็นปานนี้ได้อย่างไร เจ้าจงจับโจรมาให้เราเถิด
ทีนั้น มาณพได้กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ถ้าเช่นนั้น พระองค์ทรงสดับเรื่องนี้แล้วจะทรงทราบ แล้วนำเรื่องมาเล่าถวายอีกเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้ :-
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ในกาลก่อนที่บ้านใกล้ประตูพระนครพาราณสีนี้ มีช่างหม้อคนหนึ่ง เมื่อจะนำดินเหนียวมาเพื่อปั้นภาชนะ ได้ขุดเอาดินเหนียวในที่แห่งเดียวนั่นเอามาเป็นนิจ จนเป็นหลุมใหญ่ภายในเป็นเงื้อม อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อช่างหม้อนั้นกำลังขุดเอาดินเหนียวเมฆก้อนใหญ่ตั้งเค้าขึ้นในเวลาไม่ใช่ฤดูฝน ฝนตกลงมาห่าใหญ่น้ำไหลท่วมหลุมพังทลายลงไป ทับศีรษะนายช่างหม้อนั้นแตกนายช่างหม้อร้องคร่ำครวญว่า พืชทั้งหลายงอกงามขึ้นได้บนแผ่นดินใด สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้บนแผ่นดินใด แผ่นดินนั้นก็พังทับศีรษะของเราแตก ภัยเกิด ขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.
มาณพกราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า แผ่นดินใหญ่เป็นที่พึ่งอาศัยของมหาชน ได้ทำลายศีรษะของนายช่างหม้อฉันใด เมื่อพระราชาผู้เป็นจอมแห่งนรชน เป็นที่พึ่งอาศัยแห่งสัตว์โลกทั้งหมดเสมอด้วยแผ่นดินใหญ่ มากระทำโจรกรรมอย่างนี้ ใครเล่าจักป้องกันได้ ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์สามารถที่จะทรงทราบตัวโจรที่ข้าพระองค์กราบทูลปกปิดไว้ได้ด้วยอุปมาอย่างนี้.
พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เหตุที่เราจะปกปิดนั้นไม่มี เจ้าจงจับโจรให้แก่เราโดยชี้ว่าคนนี้แหละเป็นโจร
มาณพเมื่อจะรักษาพระเกียรติคุณพระราชา จึงมิได้กล่าวว่าพระองค์เป็นโจร ได้นำตัวอย่างมากราบทูลถวายอีกหลายเรื่อง เพื่อให้พระราชาทรงยินยอม แต่พระราชากลับทรงรบเร้ามาณพอยู่เนืองๆ ว่า เจ้าจงชี้ตัวโจร มาณพจึงกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์จะให้ข้าพระองค์ชี้ตัวโจรอย่างเดียวเท่านั้นหรือ
พระราชาตรัสว่า ถูกแล้ว
มาณพกราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์จักประกาศในท่ามกลางบริษัทว่า คนโน้นด้วย
คนนี้ด้วยเป็นโจร
พระราชาตรัสว่า จงทำอย่างนั้นเถิด
มาณพได้สดับพระราชดำรัสดังนั้นแล้วคิดว่า พระราชานี้ไม่ให้เรารักษาพระองค์ไว้ ฉะนั้นเราจักจับโจรในบัดนี้ คิดดังนี้แล้วจึงป่าวประกาศเรียกประชุมชาวนิคมชนบท แล้วกล่าวว่า
ขอชาวชนบทและชาวนิคมผู้มาประชุมกันแล้ว จงฟังข้าพเจ้า น้ำมีในที่ใด ไฟก็มีในที่นั้น ความเกษมสำราญบังเกิดขึ้นแต่ที่ใด ภัยก็บังเกิดขึ้นแต่ที่นั้น พระราชากับพราหมณ์ปุโรหิตพากันปล้นรัฐเสียเอง ท่านทั้งหลายจงพากันรักษาตนของตนอยู่เถิด ภัยเกิดขึ้นจากที่พึ่งอาศัยแล้ว.
ประชาชนได้ฟังคำของมาณพนั้นแล้วพากันกล่าวว่า พระราชาพระองค์นี้ควรจะมีหน้าที่ปกปักรักษา บัดนี้พระองค์กลับใส่โทษคนอื่น เอาสิ่งของของพระองค์ไปไว้ในสระโบกขรณีด้วยพระองค์เองแล้วค้นหาโจร บัดนี้พวกเราจะฆ่าพระราชาลามกนี้เสีย เพื่อไม่ให้กระทำโจรกรรมอีกต่อไป. จากนั้นได้พร้อมกันลุกขึ้น ถือท่อนไม้บ้าง ตะบองบ้าง ทุบตีพระราชาและพราหมณ์ปุโรหิตจนตาย แล้วอภิเษกมาณพนั้นให้ครองราชสมบัติต่อไป.
จบเรื่อง ที่พึ่งมิใช่ที่พึ่ง
ประเด็นน่าสนใจ
หากมีคำถามว่าประชาชนทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ พระราชาเพียงทดลองความรู้ของมาณพ ก็ถึงขั้นก่อจลาจล ปลงพระชนม์พระราชาเชียวหรือ อาจกล่าวได้เพียงว่า ไม่มีใครทราบว่านี่เป็นการทดลองของพระราชา หากพระราชาทรงยินยอมตั้งแต่แรก และกล่าวสรรเสริญความสามารถของมาณพ พระองค์จะได้รับการยกย่องสรรเสริญจากมหาชนว่า ทรงปรีชาสามารถรู้จักใช้สอยคน แต่เพราะพระองค์ไม่ทรงยินยอม ยังรบเร้ามาณพร่ำไป ประชาชนจึงเข้าใจว่าพระราชาประพฤติเป็นโจรเสียเอง ผลจึงเป็นไปในทางร้ายเช่นนี้ การทดลองกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ เป็นเรื่องที่อันตราย
ฉะนั้น การทดลองควรกระทำพอสมควร อย่าให้เกินเลยไป ควรคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ถูกทดลองด้วยว่า ยินดีหรือไม่ โดยเฉพาะการทดลองความไว้วางใจ หรือ การลองใจ ที่ทำให้ผู้ถูกทดลองนั้นลำบาก เมื่อทราบในภายหลังว่าเป็นเพียงการทดลอง หากเขายินดีก็แล้วกันไป แต่หากไม่ยินดี จนเป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจ ผลอาจเป็นไปในทางร้าย จนถึงขั้นเลิกคบหากันก็เป็นได้
(เรื่องการลองใจ อธิบายยาก ขึ้นกับประสบการณ์ของแต่ละคน)
Cr.ขุนพลไร้เงา
พบกันใหม่โอกาสหน้า