เรื่อง ผู้มีพระคุณ
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่า " ทุฏฐกุมาร"มีสันดานกักขฬะ หยาบคาย เปรียบได้กับอสรพิษที่ถูกตี ยังไม่ได้ด่า ไม่ได้ตีใครแล้ว จะไม่ยอมตรัสกับใคร ท้าวเธอไม่เป็นที่ชอบใจ เป็นที่น่าสยดสยองของคนภายใน และคนภายนอก เหมือนผงกระเด็นเข้านัยน์ตา และเหมือนปีศาจร้ายที่มาคอย
กัดกิน
วันหนึ่งท้าวเธอปรารถนาจะเล่นน้ำในแม่น้ำ ได้เสด็จดำเนินไปสู่ฝั่งน้ำกับบริวารเป็นอันมาก ขณะนั้นมหาเมฆตั้งขึ้น ทิศทั้งหลายมืดมิด. ท้าวเธอรับสั่งกะผู้รับใช้อย่างทาสว่า เฮ้ย !มานี่จงมาพาข้าพาไปกลางแม่น้ำ ให้ข้าอาบน้ำแล้วพามา.
พวกคนรับใช้ก็พาท้าวเธอไปกลางแม่น้ำ ปรึกษากันว่า พระราชาจักทรงทำอะไรพวกเราได้ พวกเราจงปล่อยให้คนใจร้ายตายเสียในแม่น้ำนี้แหละ ดังนี้แล้วกล่าวว่า คนกาลกรรณี จงไปที่ชอบเถิด แล้วช่วยกันกดลงไปในน้ำ จากนั้นพากันว่ายกลับขึ้นไปยืนอยู่บนฝั่ง เมื่อมีผู้ถามว่า พระราชกุมารไปไหน ? ก็พากันตอบว่า พวกเราไม่เห็นพระกุมาร ท้าวเธอคงเห็นเมฆตั้งเค้า จึงดำลงในน้ำ ชะรอยจักล่วงหน้าไปแล้ว
พวกอำมาตย์ก็พากันไปยังพระราชสำนัก
พระราชาตรัสถามว่า โอรสของเราไปไหน ?
พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พวกข้าพระองค์ไม่ทราบ เพราะเมื่อเมฆตั้งเค้าขึ้น พวกข้าพระองค์ก็สำคัญว่า พระราชกุมารคงเสด็จล่วงหน้ามาแล้ว จึงพากันกลับมาพระเจ้าข้า.
พระราชารับสั่งให้เปิดประตู เสด็จไปถึงฝั่งน้ำ ตรัสว่า พวกเจ้าจงค้นดู แล้วรับสั่งให้ค้นหาในที่นั้น ๆ ไม่มีใครเห็นพระกุมาร
ฝ่ายพระกุมารนั้นเล่า ในเวลาที่เมฆมืดครึ้ม ฝนตกกระหน่ำลอยไปในแม่น้ำ เห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง จึงเกาะท่อนไม้ ถูกมรณภัยคุกคาม จึงร้องคร่ำครวญลอยไป.
ก็ในกาลนั้น เศรษฐีชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง ฝังทรัพย์ ๔๐ โกฏิไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์ ตายไปจึงไปเกิดเป็นงูอยู่เหนือขุมทรัพย์.
ยังมีอีกผู้หนึ่งฝังสมบัติไว้ตรงนั้นเหมือนกัน ๓๐ โกฏิ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์ ตายไปบังเกิดเป็นหนูอยู่ในที่นั้นเหมือนกัน. น้ำเซาะเข้าไปถึงที่อยู่ของงูและหนูทั้งสองนั้น. สัตว์ทั้งสองก็ออกมาตามทางที่น้ำเซาะเข้าไป ว่ายตัดกระแสน้ำไป ถึงท่อนไม้ที่พระราชกุมารเกาะอยู่นั้น ต่างตัวต่างขึ้นสู่ปลายท่อนไม้คนละข้าง นอนอยู่เหนือท่อนไม้นั้นแล.
ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นเอง มีต้นงิ้วอยู่ต้นหนึ่งลูกนกแขกเต้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น ถึงต้นงิ้วนั้น ก็ถูกน้ำเซาะรากโค่นลงเหนือแม่น้ำ เมื่อฝนกำลังตก ลูกนกแขกเต้าไม่สามารถบินไปได้ ก็ลอยไปเกาะแอบอยู่ด้านหนึ่งของท่อนไม้นั้น. ด้วยประการดังกล่าวมานี้ จึงเป็นอันว่ารวมกันเป็น ๔ คน ล่องลอยไป.
ในกาลนั้น พระดาบสท่านหนึ่ง สร้างศาลาอาศัยอยู่ที่คุ้งน้ำตอนหนึ่ง. ท่านกำลังจงกรมอยู่ในเวลาเที่ยงคืน ได้ยินเสียงร่ำไห้ดังสนั่นของพระราชกุมาร จึงดำริว่า ในเมื่อดาบสผู้สมบูรณ์ด้วยเมตตากรุณายังอยู่ จะปล่อยให้บุรุษนี้ตายไม่ควรเลย เราจักช่วยเขาให้ขึ้นจากน้ำ ให้เขารอดชีวิต ดังนั้นจึงปลอบพระราชกุมารว่า อย่ากลัวเลย แล้วว่ายตัดกระแสน้ำไปเกาะท่อนไม้ที่ปลายข้างหนึ่งฉุดมา ท่านมีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง พักเดียวก็ถึงฝั่ง อุ้มพระกุมารขึ้นไว้บนฝั่ง ครั้นเห็นสัตว์เหล่านั้น ก็ช่วยนำขึ้นไปสู่อาศรมบท ก่อไฟ แล้วคิดว่า สัตว์เหล่านี้อ่อนแอกว่า ก็ให้เหล่าสัตว์ผิงไฟก่อน ให้พระราชกุมารผิงไฟทีหลัง กระทำให้หายหนาว ถึงเมื่อจะให้อาหารก็ให้แก่เหล่าสัตว์ก่อน แล้วนำผลไม้ไปให้พระราชกุมารทีหลัง.
พระราชกุมารทรงพระดำริว่า ดาบสโกงผู้นี้ มิได้นับถือเราผู้เป็นพระราชกุมาร กลับยกย่องพวกสัตว์เดียรัจฉาน จึงผูกอาฆาตในพระดาบส. แต่ต่อจากนั้นล่วงไปได้สองสามวัน ครั้นพระกุมารและสัตว์เหล่านั้น มีเรี่ยวแรงเป็นปกติแล้ว กระแสน้ำในแม่น้ำก็แห้งแล้ว
งูไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้าได้กระทำอุปการะอย่างใหญ่หลวงแก่ข้าพเจ้า ก็แลข้าพเจ้ามิใช่ผู้ขัดสน ฝังเงินไว้ ๔๐ โกฏิ ในที่โน้น เมื่อพระคุณเจ้าจะใช้สอยทรัพย์ ข้าพเจ้าสามารถถวายทรัพย์ทั้งหมดนั้นแด่พระคุณเจ้าได้ พระคุณเจ้าจงไปที่นั้น แล้วเรียกข้าพเจ้าว่า ทีฆะ เถิด แล้วก็ลาไป.
ฝ่ายหนูก็ปวารณาพระดาบสไว้อย่างนั้นเหมือนกัน กล่าวว่า เมื่อพระคุณเจ้าต้องการจะใช้สอย จงไปยืนอยู่ในที่โน้น เรียกข้าพเจ้าว่า " อุนทุระ" เถิด ดังนี้แล้วก็ลาไป.
ส่วนนกแขกเต้า ไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์
แต่เมื่อพระคุณเจ้าต้องการข้าวสาลีแดงละก็ โปรดไปที่อยู่ของข้าพเจ้า ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้าว่า " สุวะ" ข้าพเจ้าสามารถจะบอกแก่ฝูงญาติ ให้ช่วยขนข้าวสาลีแดงมาถวายได้หลายเล่มเกวียน แล้วลาไป.
ฝ่ายพระราชกุมาร เพราะฝังใจในธรรมของผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นสันดาน คิดได้ว่า การที่เราจะไม่พูดอะไร ๆ บ้าง ไปเสียเฉย ๆ ไม่เหมาะเลย เราจักฆ่าดาบสเสียเวลาที่ท่านมาหาเรา จึงกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อข้าพเจ้าดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว นิมนต์มาเถิดกระผมจักบำรุงพระคุณเจ้าด้วยปัจจัย ๔ แล้วก็ลาไป. พระกุมารนั้นเสด็จไปได้ไม่นาน ก็ดำรงอยู่ในราชสมบัติ.
พระดาบสดำริว่า เราจักทดสอบคนเหล่านั้น ดังนี้แล้วจึงไปหางูก่อน ยืนอยู่ไม่ห่างเรียกว่า " ทีฆะ" .
เพียงคำเดียวเท่านั้น งูก็เลื้อยออกมาไหว้พระดาบสกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ที่ตรงนี้มีทรัพย์อยู่ ๔๐ โกฏิ นิมนต์พระคุณเจ้าขุดค้นขนเอาไปให้หมดเถิด.
พระดาบสกล่าวว่า เอาไว้อย่างนี้แหละ เมื่อมีกิจเกิดขึ้นจึงจะรู้กัน บอกให้งูกลับไปแล้วเลยไปที่ของหนู เอ่ยเสียงเรียก.
แม้หนูก็ปฏิบัติดังนั้นเหมือนกัน.
พระดาบสก็บอกให้หนูกลับไป. เลยไปที่อยู่ของนกแขกเต้า เรียกว่า " สุวะ"
เพียงคำเดียวเท่านั้นเหมือนกัน นกแขกเต้าก็โผลงจากยอดไม้ ไหว้พระดาบสแล้วถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญกระผมจักต้องไปหาพวกญาติของกระผมให้ช่วยขนข้าวสาลีที่เกิดเอง จากหิมวันตประเทศ มาถวายพระคุณเจ้าหรือขอรับ ?
พระดาบสกล่าวว่า เมื่อต้องการค่อยรู้กัน บอกให้นกแขกเต้ากลับไป แล้วคิดว่า คราวนี้เราจักทดสอบพระราชา จึงไปพักอยู่ที่พระราชอุทยาน รุ่งขึ้นก็สำรวมมรรยาทเรียบร้อย เข้าไปสู่พระนคร ด้วยภิกขาจารวัตร.
ในขณะนั้น พระราชาผู้ทำลายมิตรพระองค์นั้น ประทับเหนือคอพระคชาธารอันตกแต่งแล้ว กระทำประทักษิณพระนคร ด้วยข้าราชบริพารขบวนใหญ่ เห็นพระดาบสแต่ไกล ทรงพระดำริว่า ดาบสผู้นี้ คือ ดาบสโกงคนนั้นนั่นเอง คงประสงค์จะอยู่ในสำนักของเรา จึงได้มา ต้อง
ให้ราชบุรุษตัดศีรษะเสียทันที มิทันให้แกประกาศคุณที่ทำไว้แก่เรา ในท่ามกลางฝูงคนได้ แล้วทรงมองดูราชบุรุษ
ราชบุรุษกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกข้าพระองค์ต้องทำอะไร พระเจ้าข้า ?
พระราชารับสั่งว่า ดาบสโกงนั้น ชะรอยจะมามุ่งขออะไรเราสักอย่าง พวกเจ้าต้องไม่ให้ดาบสกาลกรรณีผู้นั้น เห็นเรา จับมันไปมัดมือไพร่หลัง เฆี่ยนทุก ๔ แยก นำออกจากพระนคร ตัดหัวมันเสียที่ตะแลงแกง แล้วเอาตัวเสียบหลาวไว้
ราชบุรุษเหล่านั้นรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว พากันไปมัดพระดาบส ผู้ปราศจากความผิด เฆี่ยนไปทุก ๔ แยก แล้วเตรียมจะนำไปสู่ตะแลงแกง.
พระดาบสมิได้คร่ำครวญเลย ปราศจากความสะทกสะท้าน ในสถานที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง กล่าวเพียงว่า เป็นความจริง ดังที่ได้ยินมาว่า คนบางจำพวกในโลกนี้ เคยกล่าวว่าไม้ลอยน้ำยังประเสริฐกว่า แต่คนบางคนไม่ประเสริฐเลย
ฝูงชนต่างได้ยินคำนั้น ท่านพวกที่เป็นบัณฑิตในหมู่นั้น พากันกล่าวว่า ข้าแต่ท่านนักพรตผู้เจริญ ท่านกระทำคุณอะไรไว้แก่พระราชาของพวกเราหรือ ?
พระดาบสจึงเล่าเรื่องนั้นแล้วกล่าวว่า เราเองเป็นผู้ช่วยพระราชานี้ให้ขึ้นจากห้วงน้ำใหญ่ กลับเป็นการทำทุกข์ให้แก่ตนอย่างนี้ เรามาหวนรำลึกได้ว่า เราไม่ได้กระทำตามคำของบัณฑิต แต่ครั้งก่อนสิหนอ จึงกล่าวอย่างนี้.
ชาวพระนคร ทั้งกษัตริย์ทั้งพราหมณ์ ฟังคำนั้นแล้ว พากันกล่าวว่า เพราะอาศัยพระราชา
ผู้ทำลายมิตร มิได้รู้คุณของท่านผู้มีพระคุณ ผู้ให้ชีวิตแก่ตนอย่างนี้ พวกเราจะมีความเจริญได้แต่ที่ไหน จับมันเถิด ดังนี้แล้วต่างโกรธแค้น ลุกฮือขึ้นโดยรอบ ฆ่าพระราชานั้นเสีย ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่บนคอช้าง ด้วยเครื่องประหาร มีลูกศร หอกซัด ก้อนหิน และไม้ค้อนเป็นต้น แล้วจับเท้ากระชากลงมาโยนทิ้งไปเหนือสันคู แล้วอภิเษกพระดาบสให้ดำรงราชย์สืบแทน.
ส่วนพระดาบสซึ่งบัดนี้ได้เป็นพระราชา ดำรงราชย์โดยธรรม วันหนึ่งทรงปรารภจะทดลองสัตว์ที่พระองค์เคยช่วยชีวิตไว้ จึงเสด็จไปที่อยู่ของงูก่อน ตรัสเรียกว่า " ทีฆะ" งูเลื้อยมาซบไหว้ กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้มีพระคุณ เชิญมาขนทรัพย์ของท่านไปเสียเถิด.
พระราชามีพระดำรัสให้อำมาตย์มารับมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิ แล้วเสด็จไปที่อยู่ของหนู ตรัสเรียกว่า " อุนทูร" หนูก็มาซบไหว้แล้วมอบถวายสมบัติ๓๐ โกฏิ พระราชามีดำรัสให้อำมาตย์รับมอบทรัพย์แม้นั้นไว้. จากนั้นเสด็จไปที่อยู่ของนกแขกเต้า รับสั่งเรียกว่า " สุวะ"
แม้นกแขกเต้าก็บินมาซบไหว้พระบาทยุคลกราบทูลว่า ข้าแต่ท่านผู้มีพระคุณ ข้าพเจ้าจะไปนำข้าวสาลีมาให้.
พระราชารับสั่งว่า เมื่อถึงคราวต้องการ จึงค่อยนำมา มาเถิด เรามาเพื่อพาพวกเจ้าไป แล้วทรงพาสัตว์ทั้งสาม กับทรัพย์ ๗๐ โกฏิ ไปพระนคร รับสั่งให้ทำทะนานทอง พระราชทานเป็นที่อยู่ของงู ถ้ำแก้วผลึกเป็นที่อยู่ของหนู กรงทองเป็นที่อยู่ของนกแขกเต้า พระราชทานข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งใส่จานทองให้งูและนกแขกเต้ากิน พระราชทานข้าวสารสาลีให้หนูกินทุกวัน ทรงกระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น.
คนทั้ง ๔ ต่างสมัครสมานกัน ร่าเริงบันเทิงอยู่ชั่วชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว ต่างก็ไปตามยถากรรม.
จบเรื่อง ผู้มีพระคุณ
Cr.ขุนพลไร้เงา
พบกันใหม่โอกาสหน้า
ราตรีสวัสดิ์พระรัตนตรัย