เรื่อง ท้าวสักกเทวราชกับเหง้าบัวพระฤาษี ตอน2
ครั้งนั้น พิภพของท้าวสักกะหวั่นไหวด้วยเดชแห่งศีลของดาบสเหล่านั้น. ท้าวสักกะเล่าก็ยังทรงระแวงอยู่นั้นเองว่า ฤาษีเหล่านี้ยังน้อมใจไปในกามอยู่หรือไม่. ท้าวเธอทรงดำริว่า เราจักคอยจับผิดฤาษีเหล่านี้ แล้วสำแดงอานุภาพซ่อนส่วนแบ่งของมหากาญจนดาบสเสียตลอด ๓ วัน.
วันแรกท่านมหากาญจนดาบสไม่เห็นส่วนแบ่งก็คิดว่า คงจักลืมส่วนแบ่งของเรา ในวันที่สองคิดว่าเราคงมีโทษ ชะรอยจะไม่ตั้งส่วนแบ่งไว้เพื่อเราเพราะต้องการจะประณาม ในวันที่สามคิดว่า นี่อะไรกัน เหตุใดไม่ตั้งส่วนแบ่งแก่เรา ถ้าโทษของเรามีเราต้องขอให้งดโทษ คิดดังนี้แล้ว ตีระฆังเป็นสัญญาในเวลาเย็น.
ดาบสทั้งหมดประชุมกัน พูดกันว่าใครตีระฆัง.
ท่านตอบว่า ฉันเอง.
เพราะเหตุไรเล่า ขอรับท่านอาจารย์.
ท่านทั้งหลาย ในวันที่ ๓ ใครหาผลาผลมา.
ดาบสท่านหนึ่งลุกขึ้นยืนกราบเรียนว่า ข้าพเจ้า ขอรับท่านอาจารย์.
เมื่อเธอแบ่งส่วนที่เหลือ แบ่งส่วนเผื่อฉันหรือไม่
แบ่งครับท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าแบ่งไว้เป็นส่วนที่เจริญขอรับ.
เมื่อวานเล่า วาระของใครไปหามา.
ท่านอื่นลุกขึ้นยืนกราบเรียนว่า ข้าพเจ้าขอรับ.
เมื่อเธอแบ่งส่วนนึกถึงฉันหรือไม่.
ข้าพเจ้าตั้งส่วนอันเจริญไว้เผื่อท่านครับ.
วันนี้เล่าใครหามา.
อีกท่านหนึ่งลุกขึ้นยืนกราบเรียนว่า ข้าพเจ้า ขอรับ.
เมื่อเธอแบ่งส่วนได้นึกถึงฉันหรือไม่.
ข้าพเจ้าตั้งส่วนที่เจริญไว้เพื่อท่านแล้วครับ.
ท่านทั้งหลาย ฉันไม่ได้รับส่วนแบ่งทั้งสามวัน วันแรกฉันไม่เห็นส่วนแบ่งคิดว่า ผู้แบ่งส่วนคงลืม วันที่สองคิดว่า ฉันคงมีโทษอะไร ๆ ส่วนวันนี้คิดว่า ถ้าโทษฉันมี ฉันจักขอขมา จึงตีระฆังเป็นสัญญา เรียกท่านทั้งหลายมาประชุม ท่านทั้งหลายต่างบอกว่า พวกเราพากันแบ่งส่วนเหง้าบัวเหล่านี้แล้ว แต่ฉันไม่ได้ ใครเล่าขโมยเหง้าบัวเหล่านั้น ขึ้นชื่อว่าการขโมยเพียงเหง้าบัวก็ไม่เหมาะแก่ผู้ที่ละกามแล้วบวช.
ดาบสเหล่านั้นฟังคำของท่านแล้ว ต่างก็มีจิตหวาดสะดุ้งว่า โอ กรรมหนักจริง.
เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ในป่า ณ อาศรมบทนั้น ลงมาจากคาคบ นั่งอยู่ในสำนักของดาบสเหล่านั้นเหมือนกัน. ช้างเชือกหนึ่งถูกจำปลอก ไม่สามารถทนทุกข์ได้ ทำลายปลอกหนีเข้าป่าไป ได้เคยมาไหว้คณะฤาษีตามกาลสมควร. แม้ช้างนั้นก็มายืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ยังมีลิงตัวหนึ่งเคยถูกให้เล่นกับงู รอดมาได้จากมือหมองู เข้าป่ามาอาศัยอยู่ใกล้อาศรมนั้นเอง. วันนั้นลิงแม้นั้นก็นั่งไหว้คณะฤาษีอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ท้าวสักกะดำริว่า จักคอยจับคณะฤาษี ไม่ปรากฏกายยืนอยู่ในสำนักของดาบสเหล่านั้น. ขณะนั้นอุปกาญจนดาบส ลุกจากอาสนะไหว้พระมหาดาบส แสดง ความนอบน้อมแก่ดาบสที่เหลือถามว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าไม่ได้ปรารถนาสิ่งอื่นเลย จะชำระตนเองหรือไม่.
ท่านตอบว่า ได้สิ.
อุปกาญจนดาบส ยืนในท่ามกลางคณะฤาษี กล่าวคำสาบานว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้ ม้า วัว เงิน ทอง และ ภรรยาที่น่าชอบใจ จงพร้อมพรั่งด้วยบุตรและภรรยา มากมายเถิด.
คณะฤาษีได้ฟังดังนั้น กล่าวว่า ท่านผู้นิรทุกข์ คำสาบานของท่านหนักเกินไป พากันปิดหูเสีย.
ส่วนพระมหาดาบสกล่าวว่า คำสาบานของเธอหนักยิ่งนัก เธอไม่ได้ลักไป นั่งลงเถิด.
เมื่ออุปกาญจนดาบสนั่งลงแล้ว น้องคนที่ ๒ ลุกขึ้นไหว้พระมหาดาบส เพื่อจะชำระตนจึงกล่าวคำสาบาน ว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงทัดทรงระเบียบ ดอกไม้เครื่องลูบไล้แก่นจันทน์ แคว้นกาสี จงเป็นผู้มากไปด้วยบุตร จงกระทำความเพ่งเล็งอย่างแรงกล้าในกามทั้งหลายเถิด.
เมื่อน้องชายที่ ๒ นั่งลงแล้ว ดาบสที่เหลือต่างก็ได้กล่าวคำสาบาน ตามสมควรแก่อัธยาศัยของตนว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงเป็นคฤหัสถ์มีธัญชาติมากมาย สมบูรณ์ด้วยกสิกรรม มียศ จงพรั่งพร้อมไปด้วยบุตร จงมีทรัพย์ ได้กามคุณทุกอย่าง จงอยู่ครองเรือนอย่างไม่เห็นความเสื่อมเลย.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์บรมราชาธิราช มีกำลัง มียศศักดิ์ จงครอบครองแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขตเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงเป็นพราหมณ์ มัวประกอบในทางทำนายฤกษ์ยาม อย่าได้คลายความยินดีในตำแหน่งท่านผู้เป็นเจ้าแคว้น ผู้มียศ จงบูชาผู้นั้นเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอชาวโลกทั้งมวลจงสำคัญผู้นั้นว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญเวทมนต์ทั้งปวงผู้เรืองตบะ ชาวชนบททั้งหลายทราบดีแล้ว จงบูชาผู้นั้นเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงครอบครองบ้านส่วยอันพระราชาทรงพระราชทานให้ เป็นบ้านที่มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยเหตุ ๔ ประการ ดุจท้าววาสวะพระราชทานให้ อย่าได้คลายความยินดีจนกระทั่งถึงความตายเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงเป็นนายบ้าน บันเทิงอยู่ด้วยการฟ้อนรำขับร้องในท่ามกลางสหาย อย่าได้รับความ พินาศอย่างใดอย่างหนึ่ง จากพระราชาเลย.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หญิงใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเอกราช ทรงปราบปรามศัตรูได้ทั่วพื้นปฐพี ทรงสถาปนาให้หญิงนั้นเป็นยอดสตรีจำนวนพัน ขอหญิงนั้นจงเป็นมเหสีผู้ประเสริฐกว่านางสนมทั้งหลายเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หญิงใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้หญิงนั้นจงเป็นทาสี ไม่สะดุ้งสะเทือนกินของดี ๆ ในท่ามกลางคนทั้งปวงที่มาประชุมกันอยู่ จงเที่ยวโอ้อวดลาภอยู่เถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ผู้ใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้เป็นเจ้าอาวาสในวัดใหญ่ ๆ จงเป็นผู้ประกอบนวกรรมในเมืองกชังคละ จงกระทำหน้าต่างตลอดวันเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ช้างเชือกใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ช้างเชือกนั้นจงถูกคล้องด้วยบ่วงบาศตั้งร้อย จงถูกนำออกจากป่า อันน่ารื่นรมมายังราชธานี จงถูกทิ่มแทงด้วยปฏักและสับด้วยขอเถิด.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ลิงตัวใดลักเอาเหง้าบัวของท่านไป ขอให้ลิงตัวนั้นมีดอกไม้สวมคอ ถูกเจาะหูด้วยดีบุก ถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียว เมื่อฝึกหัดให้เล่นงู เข้าไปใกล้ปากงู ถูกมัดตระเวนเที่ยวไปตามตรอกเถิด.
เมื่อชนทั้ง ๑๓ กล่าวคำสาบานเช่นนี้แล้ว พระมหาดาบสดำริว่า บางทีพวกเหล่านี้พึงกินแหนงแคลงใจในเราว่า ผู้นี้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่หายไปเลยว่าหายไป เราต้องสาบานบ้าง คิดดังนี้แล้วจึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ผู้ใดแกล้งกล่าวถึงของ ที่ไม่หายว่าหาย หรือผู้ใดสงสัยคนใดคนหนึ่ง ขอให้ผู้นั้นจงได้บริโภคกามทั้งหลาย จงเข้าถึงความตาย อยู่ในท่ามกลางเรือน.
ข้อคิด
แม้จะเป็นการทดลอง ก็ไม่ควรกล่าวตู่ผู้อื่นด้วยคำไม่จริง เพราะความจริงก็คือความจริง บางครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดี จำเป็นต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ พระพุทธศาสนาเป็นของจริงแท้ ของแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ เหมือนทองแท้ไม่กลัวไฟ
Cr.ขุนพลไร้เงา
พบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้