สติที่สมบูรณ์
ขณะนั้น..เป็นเวลาทุ่มเศษ ๆ พี่อารีพันธุ์ และเปิ้ลกลับไปทำภารกิจส่วนตัวที่บ้านพัก ข้าพเจ้าอยู่ที่กุฏิคุณยายกับน้าเล็ก ในเวลาค่ำเช่นนี้ คุณยายจะคอยกำชับให้ปิดประตูและหน้าต่างกุฏิให้เรียบร้อย
ท่านนั่งอยู่ที่เก้าอี้นวมตัวเดิม น้าเล็กอยู่ทางด้านขวามือของคุณยาย ส่วนข้าพเจ้านั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ เวลานี้อีกเช่นกัน...คุณยายจะเล่าเรื่องในอดีตให้ข้าพเจ้าฟังเสมอ ๆ
ท่านเล่าว่า "ยายเป็นลูกชาวนา พ่อชื่อพลอย แม่ชื่อพัน บ้านอยู่นครชัยศรี ตะวันยังไม่โผล่ ยายก็จูงควายไปนาแล้ว " ขณะเดียวกันท่านหันมาถามข้าพเจ้าว่า "บ้านเราทำอะไร " ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านว่า "ที่บ้านหนูมีปู่เป็นชาวนาเหมือนกันค่ะยาย แต่ตอนนี้ปู่หนูตายไปแล้วค่ะ" ท่านก็ถามต่อว่า "พ่อแม่เราล่ะ "
ข้าพเจ้ากราบเรียนไปว่า "พ่อหนูเป็นครู แม่หนูก็เป็นครู แต่ว่าตอนนี้พ่อหนูตายไปแล้วค่ะ " คุณยายท่านก็ถามอีกว่า "พ่อเราเป็นอะไรตาย" ข้าพเจ้ากราบเรียนไปว่า "พ่อหนูเป็นโรคหัวใจตายค่ะ แต่พ่อเคยสอนหนูไว้ว่า ชาวนาเป็นผู้มีพระคุณ ถ้าไม่มีชาวนาแล้ว เราก็จะไม่มีข้าวกินค่ะ " คุณยายยิ้มน้อย ๆ เอนตัวพิงที่พนักเก้าอี้นวม แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
สักครู่...ท่านหันมาบอกข้าพเจ้าว่า "ไอ้หลานน้อย พายายไปเข้าห้องน้ำหน่อย" น้าเล็กซึ่งนั่งอยู่ทางด้านขวามือคุณยายก็พูดกับข้าพเจ้าว่า "เดี๋ยวฉันพาไปเอง"
คุณยายหันมาพูดกับน้าเล็กว่า "ไม่เป็นไร คุณเล็กนั่งไปเถอะ อายุเยอะแล้ว ให้เด็ก ๆ มันพาไป" ข้าพเจ้ารู้ว่า คุณยายท่านเกรงใจน้าเล็กมาก เพราะเวลาที่น้าเล็กจะลุกขึ้นนั้น ก็ดูจะไม่คล่องตัวแล้ว แต่ดวงใจแห่งความเคารพรักในคุณยายของน้าเล็กนั้นยังคงเปี่ยมล้นยิ่งนัก
ข้าพเจ้ายื่นแขนทั้งสองข้างให้คุณยายจับอย่างมั่นคง จากนั้นจึงพยุงท่านลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วพาคุณยายเดินไปที่ห้องน้ำ ระหว่างที่พาคุณยายเดินมานั้น ท่านจะพูดเสมอ ๆ ว่า "อยู่กับยาย เอาบุญกับยายนะ ไอ้หลานน้อย"
ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปเปิดสวิทซ์ไฟห้องน้ำ เมื่อคุณยายท่านเสร็จภารกิจแล้ว ท่านก็มาที่อ่างล้างหน้า หยิบแก้วน้ำที่วางคว่ำอยู่ในถาดให้หงายขึ้น ข้าพเจ้าเทน้ำที่อยู่ในขวด สำหรับใช้บ้วนปากใส่แก้วใบนั้นให้ท่าน ท่านก็จะคอยสังเกต และบอกข้าพเจ้าเสมอว่า "เทไม่ต้องมากนัก เอาแค่ครึ่งแก้วก็พอ เหลือแล้วเดี๋ยวก็ทิ้งนี่ถ้าไม่พอเราก็เติมใหม่ได้"
เมื่อคุณยายบ้วนปากเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าเปิดก๊อกน้ำ ที่ติดตั้งคู่กับอ่างนั้น เพื่อที่จะให้คุณยายล้างแก้ว ข้าพเจ้าเปิดก๊อกน้ำตามความเคยชินของตัวเอง คุณยายก็เอามือไปหมุนก๊อกน้ำนั้น ให้น้ำไหลแรงน้อยกว่าเดิม แก้วใบนั้นถูกล้างทั้งข้างนอกและด้านในจนคุณยายมั่นใจว่าสะอาดดีแล้ว ท่านจึงปิดก๊อกน้ำ พร้อมกับหันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า "ใช้น้ำก็ต้องใช้ให้เป็น ใช้ไม่เป็น เดี๋ยวก็ต้องไปเป็นขี้ข้าน้ำ นี่เวลาใช้น้ำน่ะ เราต้องเปิดแต่พอดี พอดี จำไว้นะ ไอ้หลานน้อย" จากนั้นจึงสลัดแก้วน้ำให้หยดน้ำที่เกาะติดตามแก้วนั้นหยดลงที่
อ่าง แล้วจึงคว่ำแก้วไว้ที่ถาดวางแก้วตามเดิม
ท่านเปิดก๊อกน้ำนั้นอีกครั้ง ให้น้ำไหลแรงน้อยกว่าเดิมแต่ไม่ขาดสาย วิธีการล้างมือของท่านช่างสะอาดหมดจดจริง ๆ คุณยายเอานิ้วมือแต่ละนิ้วสอดสับหว่างกันถูไปถูมา ให้ซอกนิ้วมือทั้งสองข้างนั้นสะอาดแล้วท่านก็พลิกถูหลังมือหน้ามือขวาซ้ายสลับไปสลับมา
จากนั้นจึงเอามือทั้งสองข้างมาประกบกันถูไปถูมาจนท่านมั่นใจว่าสะอาดแล้ว ท่านจึงบิดเกลียวปิดก๊อกน้ำจนสนิท แล้วสลัดมือที่อ่าง พร้อมกับพูดว่า "เวลาปิดน้ำก็ต้องปิดให้สนิท ถ้าปิดไม่สนิทแล้วเดี๋ยวน้ำมันก็ไหลออกมาอีก" ท่านหันไปเช็ดมือกับผ้าเช็ดมือที่แขวนไว้ที่ผนังห้องน้ำ เช็ดทุกซอกนิ้วและนิ้วมือเช็ดทุกนิ้ว ทั้งหน้ามือและหลังมือ จากนั้นท่านจึงหยิบผ้าที่วางพาดขอบอ่างนั้น มาเช็ดหยดน้ำที่ติดตามอ่างให้
แห้งสนิท ทำเสมือนว่า อ่างนี้ยังไม่เคยมีใครใช้มาก่อนเลย
ข้าพเจ้าคิดว่า คุณยายเสร็จจากภารกิจแล้ว จึงยื่นแขนทั้งสองข้างให้ท่านจับเพื่อที่จะพาท่านออกจากห้องน้ำไปที่เก้าอี้ตามเดิม คุณยายท่านเอามือทั้งสองข้างจับที่แขนทั้งสองของข้าพเจ้าไว้ แล้วท่านก้มลงดูที่พื้น เห็นผ้าเช็ดเท้ายังไม่เรียบร้อย แต่ท่านก้มลงไม่ไหว จึงบอกกับข้าพเจ้าว่า "ไอ้หลานน้อย เราจัดผ้าให้ยายหน่อย ให้มันเรียบ ๆ นะ " ข้าพเจ้าก้มลงจัดวางผ้าผืนนั้นให้เรียบร้อยเหมือนเดิม
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็พาคุณยายออกจากห้องน้ำ ทันทีที่ตัวของท่านออกมาพ้นประตูห้องน้ำ ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "ปิดไฟซะไอ้หลานน้อย ไฟดวงไหนไม่ได้ใช้ เราก็ปิดซะ อย่าเปิดทิ้งไว้"
ณ วันนี้...ภาพอิริยาบถต่าง ๆ ที่คุณยายปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันนั้น ทำให้รู้ได้ว่า ถ้าเรามีใจจรดอยู่ที่ศูนย์กลางกายได้ตลอดเวลา เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ดีที่สุด
ใจที่จรดอยู่ที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลานั้น
คือ สติที่สมบูรณ์
"ความสมบรูณ์ของการกระทำภายนอก
ย่อมมาจากใจที่สมบูรณ์ด้วยสติและปัญญา"
จากหนังสือ ดวงจันทร์กลางดวงใจ