กำเนิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ทรงทุ่มเทการสร้างบารมี ๑๐ ทัศ อย่างยิ่งยวดเป็นอสงไขย ๆ กัป ในที่สุด บารมีทั้ง ๑๐ ทัศก็เต็มเปี่ยม แล้วในชาติสุดท้าย ใจของพระองค์ใสสะอาดบริสุทธิ์ เกิดความรู้ภายในตัวเองว่า ถ้าจะให้รู้แจ้งแทงตลอดเห็นธรรมภายใน รู้ตามความเป็นจริงเกี่ยวกับโลก ชีวิต กรรม ธรรมะ และอธรรมแล้วจะต้องปฎิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ โดยการบำเพ็ญเพียรทางกาย วาจา ใจ อย่างยิ่งยวด จนเข้าถึงพระธรรมกายภายใน บรรลุวิชชา ๓ ปราบกิเลสหมดสิ้น ตรัสรู้เป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเริ่มสั่งสอนให้มนุษย์ได้รู้ เห็น ปฎิบัติตามอย่างพระพุทธองค์ เพื่อให้มนุษย์หลุดพ้นจากวัฎจักรของการเวียนว่ายตายเกิด คำสอนของพระพุทธองค์เรียกว่า "พระธรรม" มนุษย์เมื่อฟังคำสอนของพระพุทธองค์แล้วเกิดศรัทธาออกบวชตาม "พระสงฆ์" ก็บังเกิดขึ้น พระพุทธศาสนาจึงบังเกิดขึ้น พระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็จะเสื่อมสลายไปจากโลก มนุษย์จะต้องรออีกนานแสนนาน จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใหม่จะเสด็จมาบังเกิดขึ้นในโลก
ประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหากจะแบ่งตามพระบารมีที่สั่งสมมีอยู่ ๓ ประเภท ดังนี้
๑.พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป ทรงมีพระบัญญามากแต่มีพระศรัทธาน้อย โดยมีระยะเวลาการสร้างบารมี ๓ ระยะ ดังนี้
ระยะที่ ๑ ดำริในพระทัยไม่ได้เอ่ยปากบอกใครนานถึง ๗ อสงไขย
ระยะที่ ๒ ออกปากบอกบุคคลอื่น พร้อม ๆ กับสร้างบารมีไปด้วยอีก ๙ อสงไขย
ระยะที่ ๓ เมื่อได้รับพยากรณ์แล้ว สร้างบารมีเพิ่มอีก ๔ อสงไขยแสนมหากัป
๒.พระสัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมี รวม ๔๐ อสงไขยแสนมหากัป ทรงมีพระศรัทธามากแต่มีพระปัญญาปานกลาง
สร้างบารมีระยะที่ ๑ นานถึง ๑๔ อสงไขย
สร้างบารมีระยะที่ ๒ นานถึง ๑๘ อสงไขย
สร้างบารมีระยะที่ ๓ อีก ๘ อสงไขยแสนมหากัป
๓.พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมี รวม ๘๐ อสงไขยแสนมหากัป ทรงมีพระวิริยะมากยิ่งแต่มีปัญญาน้อยกว่าพระพุทธเจ้าประเภทอื่น
สร้างบารมีระยะที่ ๑ นานถึง ๒๘ อสงไขย
สร้างบารมีระยะที่ ๒ นานถึง ๓๖ อสงไขย
สร้างบารมีระยะที่ ๓ นานถึง ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป
หน่วยเวลา
๑. อสงไขยปี เท่ากับ ๑๐ เป็นอายุที่ยืนที่สุดของมนุษย์
๒. อันตรกัป คือ ช่วงเวลาที่นับอายุมนุษย์ที่ยืนที่สุด คือ ๑ อสงไขยปีแล้วลดลงไปเรื่อย ๆ จนถึง ๑๐ ปี จากนั้นก็เพิ่มขึ้นไปอีกครั้งจนถึง ๑ อสงไขยปีอีกครั้ง เวลาหนึ่งรอบของการเพิ่มและลดของอายุมนุษย์นี้เรียกว่า อันตรกัป
๓. อสงไขยกัป เป็นช่วงความเปลี่ยนแปลงของโลก ตั้งแต่เป็นความว่าง อันเกิดจาการแตกทำลายจนเจริญและย้อนมาแตกทำลายอีกครั้ง ช่วงการเปลี่ยนแปลงของโลกดังกล่าวมานั้น (ดูได้จากกัปปสูตร ว่าด้วยอสงไขย ๔ แห่งกัปใน อังคุตรนิกาย จตุกกนิกาย ) มีทั้งหมด ๔ ช่วง (๔
อสงไขยกัป) แต่ละช่วงมี ๖๔ อันตรกัป ดังนั้นช่วงความเปลี่ยนแปลงของโลกจึงรวมเวลาเป็น๒๕๖ อันตรกัป
๔. มหากัป จำนวนทั้ง ๒๕๖ อันตรกัป (๔ อสงไขยกัป) นั้น นับเป็น ๑ มหากัป
กัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิด
ดังที่กล่าวมาแล้ว เราจะเห็นได้ว่า แม้ช่วงเวลาเพียง ๑ มหากัป ก็นับว่ามีระยะเวลาที่ยาวนานมาก ดังนั้นการที่จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งมาอุบัติขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และก็ไม่แน่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ทุกมหากัปเสมอไป บางมหากัปก็
ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบติขึ้น
เราสามารถแบ่งมหากัปออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ สุญกัปและอสุญกัป กล่าวคือ
๑.สุญกัป หมายถึง มหากัปที่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือ ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก แม้เพียงพระองค์เดียว และในสุญกัปนี้ก็ยังไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระเจ้าจักรพรรดิมาบังเกิดขึ้น ในสุญกัปนี้ย่อมว่างเปล่าจากบุคคลผู้ทรงคุณวิเศษ และไม่มีมรรคผลนิพพานปรากฎขึ้น
๒.อสุญกัป หมายถึง มหากัปที่ไม่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ถึงแม้มีเพียงหนึ่งพระองค์ในมหากัปก็ถือว่าเป็น อสุญกัปและในอสุญกัปนี้ยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระเจ้าจักรพรรดิมาบังเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีบุคคลผู้ทรงคุณวิเศษปรากฎเกิดขึ้นอีกด้วยและอสุญกัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นนี้ ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จอุบัติขึ้นในแต่ละมหากัป ดังนี้
๑. สารกัป หมายถึง มหากัปที่มีแก่นสาร เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๑ พระองค์
๒. มัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่มีความผ่องใส เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๒ พระองค์
๓. วรกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐ เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๓ พระองค์
๔. สารมัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐกว่าและมีแก่นสารมากกว่ากัปที่ผ่านมา เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๔ พระองค์
๕. ภัทรกัป หมายถึง มหากัปที่เจริญที่สุด และเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๕ พระองค์ ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุด และจะไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว จึงทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในกัปนี้มีโอกาสจะกระทำอาสวะให้สิ้นไปได้มากกว่ากัปอื่น
ปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ในยุคของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้ จัดอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๒ ของวิวัฎฎฐายีอสงไขยกัป ในยุคหน้า เป็นสมัยของพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะเสด็จอุบติขึ้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ จัดอยู่ในอันตรกัปที่ ๑๓
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เดิมท่านก็เป็นปุถุชนเช่นเดียวกับเรา พระพุทธองค์ได้เวียนว่ายตายเกิดนับภพนับชาติไม่ถ้วน นับย้อนหลังไป ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป พระพุทธองค์ได้ทรงประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก จึงฉุกใจได้คิดว่า "ชีวิตของมนุษย์เป็นทุกข์ ต้องเวียนว่ายตายเกิด เหมือนถูกขังอยู่ในคุก หากวันใดเราสามารถพ้นจากคุกนี้ไปได้ จะนำพาชนชาวโลกข้ามฝั่งแห่งวัฎฎสงสารนี้ไปให้หมดสิ้น"
จากนั้นพระองค์ก็ทรงตั้งใจ สร้างความดีต่าง ๆ แต่เป็นไปอย่างลองผิดลองถูกด้วยลำพังพระองค์เอง เป็นเวลาถึง ๗ อสงไขย พระองค์จึงทรงเริ่มจับทิศทางการสร้างความดีถูกว่า จะต้องสร้างบารมี ๑๐ ทัศ อย่างยิ่งยวด แล้วพระองค์ก็ทรงลงมือสร้างแต่ความดีทั้ง ๑๐ ประการนั้น เป็นเวลาอีก ๙ อสงไขย จนบารมีเต็มเปี่ยมพอที่จะปราบกิเลสให้สิ้นไปได้ หากว่าทรงเปลี่ยนพระทัย ไม่ปรารถนาจะสร้างบารมีเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะได้เป็นพระอรหันตสาวกในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ในขณะนั้น แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่จะพาสัตว์โลกอื่นออกไปจากวัฏสงสารนี้ จึงทรงสร้างบารมีต่อมาอีก ๔ อสงไขยแสนมหากัป เพื่อฝึกวิชาครูให้สามารถเป็นต้นแบบให้แก่ชาวโลกได้อย่างแท้จริง
ในพระชาติสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงเกิดเป็นมนุษย์ มีนามว่า เจ้าชายสิทธัตถะ แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงบารมีเต็มเปี่ยมปานนั้น แต่เพราะต้องมีการเกิดใหม่ จึงทรงลืมความรู้เดิม และปณิธานเดิม ทรงหลงระเริงอยู่ในโลกียสุข เป็นเวลา ๒๙ ปี จึงคิดได้ว่า กำลังจะทรงวนอยู่
ในวัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงเสด็จออกบวช และทรงพบว่าแม้พระพุทธองค์จะมีบารมีเต็มเปียมแล้ว ซึ่งเปรียบเสมือนว่าทรงมีฟืนที่แห้งสนิท และทรงพบว่ามีปณิธานอันแน่วแน่ที่จะพ้นทุกข์ เปรียบเสมือนทรงไม้ขีด แต่ยังขาดวิธีการที่จะขีดไฟ ซึ่งก็คืออริยมรรคมีองค์ ๘ พระพุทธองค์จึงทรงทุ่มเทปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ โดยการบำเพ็ญเพียรทางจิต ฝึกสมาธิจนใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย แล้วปักมั่นดิ่งเข้ากลางของกลาง จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกายภายในตัว บรรลุวิชชา ๓ ปราบกิเลสได้หมดสิ้น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทรงสั่งสอนธรรมะอันเป็นทางพ้นทุกข์แก่มหาชน คำสอนของพระพุทธองค์นั้นเรียกว่า"พระธรรม" เมื่อมีผู้เลื่อมใสเข้ามานับถือพระพุทธศาสนามากขึ้นก็ทรงวางระเบียบวินัย ปกครองหมู่คณะให้เรียบร้อย ซึ่งเรียกว่า "พระวินัย" พระธรรมกับพระวินัยนั้นรวมกันเป็นพระพุทธศาสนา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกอบด้วยพระคุณอเนกประการ เมื่อกล่าวโดยย่อเฉพาะที่เป็นหลักใหญ่มี ๓ ประการคือ
๑. พระปัญญาธิคุณ ทรงมีความฉลาดรอบรู้ในธรรมทั้งปวง
๒. พระวิสุทธิคุณ พระองค์ทรงมีความบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสทั้งปวง
๓. พระกรุณาธิคุณ ทรงมีนํ้าพระทัยสงสาร คิดช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงประกาศพระศาสนาอยู่เป็นเวลา ๔๕ ปี จนพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ก็ดับขันธปรินิพพาน เมื่อจะปรินิพพาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับสั่งว่า ให้พุทธบริษัทนับถือ "พระธรรมกับพระวินัย" ที่ได้ทรงแสดงไว้แล้วเป็นศาสดาแทนพระพุทธองค์สืบไป
จบบทที่ 4