สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๓ ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส

วันที่ 10 มค. พ.ศ.2565

สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๓ ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส

สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๓


คำแปลพระบาลีที่เป็นพุทธบัญญัติ
         “อนึ่ง ภิกษุใดถูกราคะครอบงำแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว พูดเคาะมาตุคามด้วยวาจาชั่วหยาบ พาดพิงเมถุน เหมือนชายหนุ่มพูดเคาะหญิงสาว เป็นสังฆาทิเสส”


เนื้อความย่อในหนังสือนวโกวาท
         “ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส”


อธิบายความโดยย่อ
         คำว่า ถูกราคะครอบงำแล้ว หมายถึงมีความกำหนัด มีความเพ่งเล็งมุ่งหวัง มีจิตปฏิพัทธ์
         คำว่า มีจิตแปรปรวนแล้ว หมายถึงมีจิตที่กำหนัดแล้ว
         คำว่า มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุษย์มิใช่นางยักษ์มิใช่หญิงเปรต มิใช่สัตว์ดิรัจฉานเพศเมีย แต่เป็นหญิงที่รู้เดียงสา สามารถรู้ถ้อยคำที่เป็นสุภาษิตทุพภาษิต คำชั่วหยาบ และคำสุภาพได้
         คำว่า ชั่วหยาบ หมายถึงถ้อยคำที่พาดพิงเกี่ยวเนื่องถึงวัจมรรค
ปัสสาวมรรค และเมถุนธรรม
         คำว่า พูดเคาะ หมายถึงการประพฤติล่วงเกินด้วยการพูดการพูดจา
เกี้ยวโลม
         คำว่า เหมือนชายหนุ่มพูดเคาะหญิงสาว คือ เหมือนชายหนุ่มพูดจา
เกี้ยวโลมหญิงสาว
         คำว่า ด้วยวาจาพาดพิงเมถุน ได้แก่ถ้อยคำที่พาดพิงเกี่ยวเนื่องด้วยเมถุนธรรมคือการเสพกาม

เจตนารมณ์ของสิกขาบทข้อนี้
         สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้เพื่อมิให้ภิกษุแสดงกิริยาอาการกำหนัด มีจิตแปรปรวนด้วยการพูด แสดงนิสัยเป็นคนเจ้าชู้โดยพูดจาแทะโลม พูดจาเกี้ยวพา พูดจาเย้าแหย่ หรือพูดจากระทบเกี่ยวเนื่องกับอวัยวะเพศ กับที่ถ่ายอุจจาระ และเมถุนธรรมคือการเสพกาม เพราะเป็นกิจที่ไม่ควรทำ ไม่ควรประพฤติสำหรับบรรพชิตผู้สละทางโลกมาแล้ว ด้วยว่าการประพฤติอย่างนั้นเป็นโลกิยวิสัยที่คฤหัสถ์ประพฤติกันโดยทั่วไป
         สิกขาบทข้อนี้มุ่งให้ภิกษุมีความสำรวมระวังวาจา ไม่พูดเพ้อเจ้อแทะโลมอันเป็นนิสัยของคฤหัสถ์ไม่พูดจาเกี้ยวพาทั้งโดยตรงและโดยอ้อมกับผู้หญิงที่รู้เดียงสา สามารถรู้ความหมายของคำพูดได้เมื่อระมัดระวังได้ก็ได้ชื่อว่าสำรวมวาจา หากไม่ระวัง พลั้งเผลอไปพูดจาเกี้ยวโลม พูดจาถ้อยคำที่แสดงถึงอารมณ์กำหนัด มีจิตแปรปรวนแล้ว ตัวเองก็ฟุ้งซ่านพล่านไปตามอารมณ์คนฟังก็เสื่อมศรัทธา หรือแม้คนฟังจะชอบให้เกี้ยวพา แต่คนฟังอื่นได้ยินเข้าก็รังเกียจ ทำให้เสื่อมศรัทธาได้

         ในสิกขาบทข้อนี้ท่านประสงค์เอาเฉพาะหญิงที่มีความฉลาดสามารถที่จะทราบถ้อยคำที่เป็นประโยชน์และไร้ประโยชน์ถ้อยคำที่พาดพิงอสัทธรรมและพระสัทธรรม ส่วนหญิงที่เขลาเบาปัญญา ไม่สามารถรู้เรื่องอะไรได้แม้จะเป็นผู้ใหญ่ มีอายุมากก็ไม่ประสงค์เอาในสิกขาบทนี้คือไม่เป็นอาบัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พูดเกี้ยวพานาง เหมือนการพูดจาแทะโลมเกี้ยวพาเด็กหญิงที่ไร้เดียงสาก็ไม่เป็นอาบัติสังฆาทิเสส หากมีเช่นนั้น ย่อมแสดงว่าภิกษุผู้เกี้ยวพานั้นวิกลจริตหรือสติฟั่นเฟือนจึงเที่ยวเกี้ยวพาแทะโลมคนเขลาและเด็กเช่นนั้น

อนาปัตติวาร
         ในสิกขาบทนี้ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้คือ (๑) ภิกษุผู้มุ่งประโยชน์คือ ผู้ที่กำลังอธิบายหรือแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับการเกี้ยวพาอยู่ เช่นมีการยกตัวอย่างถ้อยคำเกี้ยวพาเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องโดยชัดเจน (๒) ภิกษุผู้มุ่งธรรม คือ ผู้บอกหรือสาธยายพระบาลีอยู่ โดยยกข้อธรรมขึ้นเป็นตัวตั้งแล้วขยายความไปตามข้ออรรถข้อธรรมนั้น (๓) ภิกษุผู้มุ่งสอน คือ มุ่งแนะนำสั่งสอนให้เลิกประพฤติที่ไม่เหมาะ ทำให้ได้รับผลเช่นนี้เช่นสอนว่า บัดนี้เธอเป็นคนสองเพศ ด้วยกรรมที่ตนทำมา ต่อไปนี้เธอจงอย่าประมาทอย่าเป็นอย่างนี้ต่อไปเลย ดังนี้เป็นต้น (๔) ภิกษุผู้วิกลจริต (๕) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรือผู้เป็นอาทิกัมมิกะ ได้แก่พระอุทายี

วินีตวัตถุ
         วินีตวัตถุ ได้แก่เรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล และทรงตัดสินแล้วว่าเป็นอาบัติหรือไม่เป็นอาบัติเช่นเรื่องต่อไปนี้

         - ภิกษุรูปหนึ่งเห็นหญิงคนหนึ่งห่มผ้ากัมพล (ผ้าขนสัตว์) ใหม่สีแดง มีความกำหนัด จึงพูดจาเย้าแหย่ว่า เธอมีสีแดงนะ (ซึ่งหมายถึงองค์กำเนิดมีประจำเดือน) นางไม่เข้าใจความหมายก็ตอบรับว่า ใช่เจ้าค่ะผ้ากัมพลมีสีแดง ทรงตัดสินว่า ไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ

         - ภิกษุรูปหนึ่งเห็นหญิงคนหนึ่งห่มผ้ากัมพลซักใหม่ มีความกำหนัดพูดเคาะว่าเธอมีขนยุ่งนะ (ซึ่งหมายถึงขนที่องค์กำเนิด) นางไม่เข้าใจความหมายจึงตอบว่า ใช่เจ้าค่ะ ผ้ากัมพลซักใหม่ ทรงตัดสินว่า ไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแต่ต้องอาบัติทุกกฏ

         - ภิกษุรูปหนึ่งพบนางปริพาชิกาคนหนึ่งเดินสวนทางมา มีความกำหนัดพูดเคาะว่า มรรคาของเธอราบเรียบดีหรือ (ซึ่งหมายถึงองค์กำเนิด) นางไม่เข้าใจความหมายจึงตอบว่า เจ้าค่ะท่าน ท่านจักเดินไปได้ทรงตัดสินว่า ไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่อาบัติถุลลัจจัย

         - ภิกษุรูปหนึ่งมีความกำหนัดพูดเคาะหญิงคนหนึ่งว่า เธอเป็นคนมีศรัทธา จะถวายของที่เธอให้สามีแก่พวกฉันบ้างไม่ได้หรือ นางถามว่า ของอะไรเจ้าข้า จึงตอบว่า ก็เมถุนธรรมไง ทรงตัดสินว่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

         - ภิกษุรูปหนึ่งมีความกำหนัด เห็นหญิงคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่จึงพูดเคาะว่า น้องหญิง นอนลงสิฉันจักทำเอง ทรงตัดสินว่า ไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0014020999272664 Mins