หลักการทำงานอย่างชาญฉลาดเพิ่มพูนสติสัมปชัญญะ
การที่บุคคลใดจะทำงานท่ามกลางความสับสนของโลกกว้าง บุคคลนั้นจึงมีหลักการทำงานเพื่อดำรงชีวิตอย่างชาญฉลาดไม่งมงาย ดังนี้
๑. การทำงานที่ฉลาดจะต้องไม่ก่อให้เกิดหนี้สินใดๆ มีแต่ทำให้เกิดทรัพย์ไว้เพียงพอหล่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวให้อิ่มหนำมีสุขเป็นอย่างน้อย ยิ่งมีเหลือเพื่อทำบุญ ช่วยเหลือผู้อื่นคราวคับขันได้ก็ยิ่งดี
๒. การงานที่ฉลาด ไม่งมงายจะต้องเป็นการงานที่ทำให้ผู้ทำงานนั้น ได้โอกาสประคองรักษาใจไว้ในกายตลอดเวลาที่ทำงานนั้นๆ เป็นการงานที่มีแต่จะทำให้ผู้ทำงานใจผ่องใสยิ่งขึ้น และหลีกเลี่ยงการทำงานที่ทำให้ใจขุ่นมัวทุกชนิด แม้การทำงานนั้นจะทำให้ร่ำรวยล้นฟ้าปานใดก็ตาม แต่การมีสติหมั่นเก็บใจไว้ในกายจะรักษาใจให้ผ่องใสเป็นการป้องกันใจไม่ให้คิดเห็นผิดๆ แล้วสั่งการกายให้พูดผิดๆ ทำผิดๆ เพิ่มทุกข์เดือดร้อนแก่ตนเอง ที่สำคัญการงานที่ฉลาด ไม่งมงาย เป็นการงานที่กำจัดโลภะ โทสะ โมหะ ให้ลดลงอีกด้วย
๓. การงานที่ฉลาดนั้น จะต้องเปิดโอกาสให้ได้สร้างผู้มีสติสัมปชัญญะรุ่นใหม่และสร้างเครือข่ายคนดีมีสติสัมปชัญญะ ไว้พัฒนาสังคมประเทศชาติให้สะอาด มีระเบียบยิ่งๆ ขึ้นไป
เพราะการทำงานอย่างชาญฉลาด มีสติสัมปชัญญะจึงทำให้ ๑) รู้ตัวว่าการงานนั้นมีประโยชน์จริง ๒) รู้ตัวว่างานนั้นเหมาะกับตนจริง ๓) รู้ตัวว่างานนั้นสะดวกสบายจริง ๔) รู้ตัวว่างานนั้นฉลาดจริง ย่อมเป็นการทำงานที่มีแต่เพิ่มพูนความสุขกำจัดทุกข์ไปพร้อมๆ กัน และเป็นงานที่ช่วยกล่อมเกลาให้ผู้คนในสังคมนั้น ๆ มีใจผ่องใส รักการหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีสุจริต ไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่นไปพร้อมๆ กันด้วย จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ผู้คนทั้งโลกจึงรีบขวนขวายลุกขึ้นมาฝึกฝนตนเอง สมาชิกในครอบครัว เพื่อนบ้าน และผู้ร่วมสังคม ให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตลอดเวลาในการทำงานตั้งแต่บัดนี้
โดยเริ่มต้นฝึกเก็บใจไว้กลางกายเบา ๆ ง่าย ๆ สบาย ๆ หมั่นสังเกต และทำอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับการทำกิจวัตรส่วนตัวตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งกลับเข้านอน
หลังจากทำใจจรดกลางกายจนชำนาญขณะทำงานเป็นประจำ คำถามทำนองเหล่านี้จะผุดขึ้นมาเอง จากนั้นจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับความหยุดนิ่งของใจ คำตอบย่อมผุดขึ้นเองจากใจใสๆ นั้น และคำตอบก็จะละเอียดไปตามลำดับ ดังเช่น
คำถามที่ ๑ ตัวเราเองและคนทั้งโลก ทำไมจึงต้องทำงานประกอบอาชีพแทบไม่มีวันหยุด
คำตอบที่ ๑ แม้แต่ละวันคำตอบจะมีหลายอย่างต่างกันไป แต่สุดท้ายเมื่อรักษาใจไว้นิ่ง ๆ ในกลางกายดีพอก็จะเหลือเพียงคำตอบเดียว คือ เพราะเราต่างต้องมีค่าใช้จ่ายประจำทุกวันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย ถ้าใครไม่อยากเหนื่อยมาก ก็ต้องรู้ประมาณให้ครบทั้ง ๓ ประการ คือ
๑) รู้ประมาณการทำงานหาทรัพย์
๒) รู้ประมาณการเก็บรักษาทรัพย์
๓) รู้ประมาณการใช้ทรัพย์อย่างเหมาะสม
คำถามที่ ๒ ค่าใช้จ่ายของแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัย ซึ่งอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน แม้ต่างคนต่างประหยัดสุดๆ แล้ว ก็ยังมีค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า ใช้จ่ายเท่าไร คือ การรู้ประมาณ
คำตอบที่ ๒ ค่าใช้จ่ายของทุกคนในโลกแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท
๑) ประเภทค่าใช้จ่ายตามอำเภอใจ ถ้าไม่มีก็แล้วไป จึงต้องวางไว้ก่อน เลือกพิจารณาประเภทค่าใช้จ่ายจำเป็นเท่านั้น
๒) ประเภทค่าใช้จ่ายจำเป็นจะขาดไม่ได้ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ หญิง ชาย ต่างมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจริงเพียง ๒ งบ งบแรก คือ ค่าปัจจัย ๔ โดยเฉพาะ และงบที่สอง คือ สิ่งที่เนื่องด้วยปัจจัย ๔
งบแรก ค่าปัจจัย ๔ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายสำหรับ
ปัจจัยทั้ง ๔ ประการนี้ ตลอดชีวิตใครๆ ก็ขาดแม้เพียงวันเดียวไม่ได้
งบที่สอง สิ่งที่เนื่องด้วยปัจจัย ๔ ได้แก่
หากควบคุมค่าใช้จ่ายปัจจัย ๔ โดยตรง และสิ่งที่เนื่องด้วยปัจจัย ๔ ให้พอเหมาะกับรายได้ของตน โดยไม่ทำให้ตนต้องตกเป็นหนี้ แต่พอมีเหลือเผื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉินบ้าง ก็ถือได้ว่าเป็นความรู้ประมาณในปัจจัย ๔ ของผู้นั้น และจัดได้ว่าเป็นการยกระดับความฉลาดไม่งมงาย ไม่ประมาทของผู้นั้นได้อีกระดับหนึ่งด้วย
******
ขณะที่เราทำการงานเพื่อดำรงชีวิตอยู่นั้น
มีสองสิ่งที่เราต้องเสียไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
และเรียกคืนกลับมาไม่ได้ คือ
๑) เสียเวลาชีวิต เพราะร่างกาย
ต้องแก่ลงไปเปล่า ๆ อย่างไร้แก่นสาร
๒) เสียโอกาสทำความดีอย่างอื่น
******
จากหนังสือ สติ สัมปชัญญะ รากฐานการศึกษาของมนุษยชาติ
เผด็จ ทตฺตชีโว