ความจริงน่าตระหนกประจำโลกที่ถูกมองข้าม

วันที่ 18 มค. พ.ศ.2565

650118_B.jpg

ความจริงน่าตระหนกประจำโลกที่ถูกมองข้าม ประการที่ ๑

           ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้จริงอะไรเลย ทุกอย่างต้องเรียนรู้ใหม่หลังจากเกิดแล้วทั้งสิ้น สิ่งที่เรียนรู้ภายหลังแต่ละอย่างก็อาจมีทั้งรู้ผิดและรู้ถูก แม้รู้ถูกก็อาจจะรู้ไม่ครบ รู้ไม่ลึก ตัวอย่างความไม่รู้ที่ค้างคาใจทุกคนคือ

           เราคือใคร เกิดมาทำไม ก่อนเกิดมาจากไหน จะตายเมื่อไหร่ ตายแล้วจะไปไหน ที่สำคัญที่สุด คือ เกิดมาทำไม เพราะเป็นเหตุให้เราขาดความมั่นใจตนเองแม้ขณะทำความดี เพราะไม่รู้แน่ชัดว่า ดี-ไม่ดี ตัดสินอย่างไร เมื่อทำไปแล้วจะเกิดผลร้ายตามมาอย่างไรแน่

          นอกจากไม่รู้อะไรจริง คนส่วนใหญ่ยังไม่พยายามหาคำตอบ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องรู้ไปทำไม ตลอดชีวิตแต่ละคนจึงทำผิดทำพลาดให้ตนเองและผู้อื่นต้องเดือดร้อนเสมอ เป็นเหตุให้มนุษย์มีความกลัวฝังลึกอยู่ในใจ แล้วกลายเป็นโรคกลัวนานาชนิดตามมา ซึ่งโรคกลัวที่หนักหนาสาหัสที่สุดของทุกคน คือ โรคกลัวตาย

ความจริงน่าตระหนกประจำโลกที่ถูกมองข้าม ประการที่ ๒

          ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความทุกข์ ทราบได้จากอาการของทารกแรกเกิด ทันทีที่คลอดจากครรภ์มารดา ไม่มีทารกคนใดหัวเราะหรือยิ้ม มีแต่เสียงร้องไห้จ้าลั่นโลก ราวกับต้องการประกาศให้โลกรู้ว่า ข้าพเจ้าเกิดมาพร้อมกับความทุกข์ คือ เริ่มเป็นทุกข์จากการเกิด โดยเกิดมาพร้อมกับโรคประจำกาย ๖ และโรคประจำใจ ๓ โรคประจำกาย ๖ นี้ แม้หมอเทวดาก็รักษาไม่หาย ทุกคนต้องเกิดและตายพร้อมกับมัน ซึ่งได้แก่ ๑) โรคหนาว ๒) โรคร้อน ๓) โรคหิว ๔) โรคกระหาย ๕) โรคปวดอุจจาระ ๖) โรคปวดปัสสาวะ ส่วนโรคประจำใจ ๓ นั้น ได้แก่ ๑) โรคโลภะ ๒) โรคโทสะ ๓) โรคโมหะ ซึ่งฝังติดอยู่ในใจเราตลอดเวลาเช่นกัน เมื่อใดเราขาดสติ โรคประจำใจ ๓ นี้จะคอยบีบคั้นให้เราต้องทำกรรมชั่วต่างๆ หนักบ้าง เบาบ้าง ซึ่งหากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว จะเห็นได้ว่าโรคประจำกาย ๖ และโรคประจำใจ ๓ นี้เอง ที่เป็นต้นเหตุแท้จริงของปัญหาต่างๆ ทั้งโลก

          ทันทีที่ทารกคลอดจากครรภ์มารดา โรคประจำกาย ๖ จะบังคับให้ทารกต้องทุกข์กับโรคปวดอุจจาระ-ปัสสาวะ จากการขับของเสียออกจากร่างกาย และยังต้องมีปัจจัย ๔ มารองรับ ได้แก่ ๑) อาหารและน้ำ เพื่อป้องกันโรคหิวกระหายกำเริบ ๒) เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ๓) ที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันโรคหนาว-ร้อนกำเริบ ๔) ยารักษาโรค เพื่อป้องกันโรคร้ายต่างๆ ที่พร้อมจะกลุ้มรุมเข้ามาทำร้าย ซึ่งทารกย่อมหาปัจจัยเองไม่ได้ ต้องอาศัยพ่อแม่ผู้ปกครองตระเตรียมไว้ให้

          หากพ่อแม่ผู้ปกครองปล่อยปละละเลย ปฏิบัติผิดต่อโรคประจำกาย ๖ ของลูกน้อยเป็นประจำ กว่าลูกจะโตย่อมเกิดโรคกายอีกนานาชนิดตามมา ทั้งโรคใหม่และโรคเก่ารวมกันเข้า ย่อมก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ปัญหาสุขภาพนี้จะบีบคั้นครอบครัวให้ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายปกติที่เป็นภาระหนักอยู่แล้ว เมื่อขาดแคลนก็ต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ปัญหาความยากจนย่อมก่อเกิดในครัวเรือนและสังคมตามมาจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก เมื่อเกิดความขาดแคลน ความเห็นแก่ตัวย่อมเกิดขึ้น แม้เป็นเด็กก็พร้อมจะหวง ไม่อยากแบ่งปันอะไรกับใคร ๆ แม้ขนม นม เนย ของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ กับพี่น้องของตนเอง

          เมื่อเติบใหญ่ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาขาดแคลน รวมทั้งความหวงสิ่งของเก่าอยากได้สิ่งของใหม่ ย่อมบีบบังคับใจให้แวบออกนอกกายเพื่อไปแสวงหาปัจจัย ๔ และสิ่งของต่างๆ ที่ตนปรารถนาอยากได้ถี่ขึ้นๆ เพื่อตอบสนองความอยากที่ไม่รู้จบ แม้ในสิ่งของที่ไม่ใช่สิ่งของของตน คือ โรคโลภะกำเริบ ซึ่งก็ได้มาบ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้าไม่ได้ก็ขัดเคืองใจ คือ โรคโทสะกำเริบ ถ้าได้สิ่งของที่ถูกใจมาแล้ว ก็เกิดโรคโมหะกำเริบ คือ หลงโง่ว่า สิ่งที่ได้มาแล้วนั้นจะอยู่กับตนนานๆ แต่ต้องผิดหวัง เพราะสิ่งของต่างๆ ที่ได้มานั้นเป็นธรรมชาติว่า ทุกสิ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมตั้งอยู่ได้ชั่วครู่ยามสุดท้ายก็แตกดับไป ใจจึงกลับเป็นทุกข์ชนิดใหม่ คือ เกิดทุกข์เพราะความพลัดพรากจากของรักของชอบใจนั้น ใจก็ถูกบังคับเพราะความอยากได้ใหม่อีก ความวนเวียนเป็นทุกข์ทั้งทางกายและทางใจเช่นนี้จึงเกิดไม่รู้จบตลอดชีวิต กลายเป็นว่า ตลอดชีวิตของผู้คนทั้งโลกมีแต่ความทุกข์ไม่รู้จบ ตั้งแต่ทุกข์จากการคลอด ทุกข์จากโรคประจำกาย ๖ ทุกข์จากการแสวงหาทรัพย์ ถ้าไม่ได้ก็ทุกข์เพราะเสียใจ ได้มาไม่นานก็ทุกข์เพราะพลัดพราก ถ้าพบกับสิ่งที่ไม่ถูกใจก็ทุกข์เพราะขัดใจ แม้ถึงคราวต้องตายก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ คือ ทุกข์เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน เพราะคนทั่วไปหากไม่ได้ฟังธรรมจากท่านผู้รู้จริง ย่อมขาดสติสัมปชัญญะ ถูกโรคโงโมหะท่วมใจจนกระทั่งตาย โรคประจำใจ ๓ ที่ฝังอยู่ในใจมาตั้งแต่เกิดนี้ยังไม่จบ ยังหมักหมมใจหนาแน่นยิ่งขึ้นและฝังลึกในใจตามไปชาติหน้าอีกด้วย

650118_%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E1.jpg

ความจริงน่าตระหนกประจำโลกที่ถูกมองข้าม ประการที่ ๓

          ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความสกปรก ไม่มีทารกคนไหนที่พึ่งคลอดออกมาแล้วเนื้อตัวสะอาด ไม่เปื้อนเลือด ไม่เปื้อนน้ำเหลือง เมือกจากครรภ์มารดาท่วมตัวตั้งแต่หัวจรดฝ่าเท้า และนับแต่วินาทีที่คลอดนั้นเป็นต้นมา จนเติบใหญ่ กระทั่งตลอดชีวิต มนุษย์มีแต่สิ่งสกปรกไหลออกจากทวารทั้ง ๙ ของตน ไม่ว่างเว้นแม้วินาทีเดียว ไม่ว่าสิ่งที่ออกมานั้น จะเป็นลมหายใจ เป็นของเหลว เช่น น้ำมูก น้ำลาย เหงื่อ ปัสสาวะ จะเป็นของแข็ง เช่น อุจจาระขี้ไคล ขี้ตา ล้วนสกปรกทั้งสิ้น และสุดสกปรกส่งท้ายชีวิตของแต่ละคน คือ ศพของผู้นั้นเอง ที่จะส่งกลิ่นเหม็นเน่า จึงต้องตกเป็นภาระให้คนข้างหลังต้องจัดการให้สะอาดเรียบร้อยต่อไป

          ดังที่ท่านผู้รู้จริงได้กล่าวไว้ว่า “กายของเราทุกคนต่างเน่าเปื่อยอยู่เป็นนิจ เพราะฉะนั้นไม่ว่า เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหารที่อยู่อาศัยเล็กๆ แค่กระต๊อบกลางนาหรือมหาราชวังใหญ่โต รวมถึงยารักษาโรคทุกชนิด ซึ่งเดิมนั้นแสนสะอาดปานใดก็ตาม ถ้ามาถูกต้องกับกายของเราเข้า ย่อมสกปรกเปื้อนเปรอะน่าเกลียดอย่างยิ่ง เหมือนกันหมด ไม่มีเว้นเลยแม้แต่คนเดียว” เพราะเหตุนี้ ถ้าใครเกิดมาแล้วแม้ไม่ทำความชั่วใดๆ เลย แต่ไม่ตั้งใจทำความดีให้สุดชีวิตของตน ย่อมได้ชื่อว่า คนขยะ คนรกโลกอยู่นั่นเอง

           ถ้าใครเผลอสติหงุดหงิดกับความสกปรกที่เกิดจากตนเองแล้ว แต่ไม่พยายามฝึกฝนตนให้รู้จักทำความสะอาด จัดระเบียบร่างกายและสิ่งของเครื่องใช้ ตลอดจนควบคุมกำจัดความสกปรกที่ออกมาจากร่างกายตนเองให้ถูกวิธี มีนิสัยมักง่าย ชอบโยนภาระการทำความสะอาด การจัดระเบียบให้ผู้อื่นทำแทน เอาแต่หงุดหงิดขาดความรับผิดชอบ ก็จะเป็นคนสกปรกทั้งกายและใจ ความชั่วอื่นๆ จะก่อเกิดตามมา และกลายเป็นผู้เพาะปัญหาสังคมและปัญหาเศรษฐกิจให้ระบาดอย่างไม่รู้จบแก่ผู้คนทั้งโลก 

           ตรงกันข้ามหากเราเองแม้ไม่ได้มีอำนาจวาสนาพิเศษใด ๆ แต่ตั้งใจศึกษาฝึกฝนอบรมตนเองให้สามารถป้องกันกำจัดความสกปรกจากกายตนให้ลดลง ทำความสะอาด จัดระเบียบทั้งร่างกาย สิ่งของได้ถูกต้องเหมาะสม ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะความสกปรกนั้น ๆ ก็จัดว่าเป็นความดีได้ระดับหนึ่ง เพราะแม้ทั้งโลกยังไม่สะอาดแต่ก็ไม่ได้ดี สกปรกเพราะเรา หากเราตั้งใจชักชวนคนรอบข้างให้ช่วยกันทำความสะอาด จัดระเบียบทั้งร่างกาย สิ่งของต่างๆ เช่นเดียวกัน และร่วมใจกันชักชวนต่อๆ กันไป วันหนึ่งโลกทั้งโลกก็อาจสะอาดได้ด้วยหนึ่งสมองสองมือของมนุษย์โดยไม่ยากจนเกินไป

650118_%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E2.jpg

ความจริงน่าตระหนกประจำโลกที่ถูกมองข้าม ประการที่ ๔

          สัตว์โลกตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรม ทันทีที่เกิด ทุกชีวิตต่างตกเป็นนักโทษรอประหารของโลก ตกอยู่ภายใต้กฎเหล็กที่ไม่เคยติดประกาศให้ใครรู้ คือ กฎแห่งกรรม กฏนี้มีอำนาจครอบคลุมไปทั้งโลก ใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ เป็นเสมือนกฎหมายร้ายแรงที่จ้องแทงเชือดเฉือนผู้คนทั้งโลกอยู่เบื้องหลัง ต้องรอให้ท่านผู้รู้ผู้เห็นความจริงทุกสรรพสิ่งด้วยญาณทัสสนะ คือ ความสว่างภายในจากการเจริญสมาธิอย่างยิ่งยวดของท่าน ค้นพบแล้วนำมาประกาศ ชาวโลกจึงทราบได้ ซึ่งตลอดยุคสมัยของท่านเองก็ไม่สามารถประกาศให้ทราบกันได้ทั่วโลก ครั้นกาลเวลาผ่านไป ชาวโลกทั้งหลายก็หลงลืมกฎแห่งกรรมที่ค้นพบได้โดยยากนี้อีก ต้องรออีกนานนับอสงไขยๆ กัป ท่านผู้รู้จริงองค์ใหม่จึงมาค้นพบแล้วประกาศให้ชาวโลกทราบใหม่อีกครั้ง

          สาเหตุที่เรียกทุกคนว่าเป็นนักโทษรอประหารของโลกเพราะ

          ๑. ทุกคนในโลก เมื่อเกิดแล้วย่อมออกไปจากโลกนี้ไม่ได้ ต่างต้องตายในคุกคือโลกนี้ แม้มีบางคนเคยเล็ดลอดออกไปถึงดวงจันทร์ได้ แต่ดวงจันทร์ก็เป็นเพียงคุกบริวารของโลก สุดท้ายคนเหล่านั้นก็ต้องกลับมาตายในโลก

      ๒. เนื่องจากทุกคนต่างรู้ว่าตนเอง ถึงอย่างไรวันหนึ่งก็ต้องตาย คือ ต้องถูกประหารแน่ๆ เพียงแต่ไม่รู้วันตายจึงกลายเป็นนักโทษรอประหาร ตกอยู่ในความหวาดกลัวความตายตลอดชีวิต

          ๓. กฎแห่งกรรมตราไว้สั้น ๆ ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ไม่มีการอธิบายขยายความใดๆ ทั้งสิ้น ท่านผู้รู้จริงจึงได้เมตตาขยายความให้ฟังว่า คำว่า กรรม แปลว่า การกระทำ มีความหมาย ๓ ประการ ได้แก่

             ๓.๑ กรรมเป็นการกระทำที่เกิดจากเจตนา คือ ตั้งใจทำ

           ๓.๒ กรรมเป็นการกระทำของคนที่ยังมีกิเลส คือ ผู้ที่ยังมีโรคประจำใจ ๓ ได้แก่ โรคโลภะ โรคโทสะ โรคโมหะ ถ้าหมดกิเลสแล้วเช่นเดียวกับท่านผู้รู้จริง การกระทำของท่านก็ล้วนไม่เป็นกรรม เป็นแต่เพียงกิริยาอาการเท่านั้น

              ๓.๓ กรรมเป็นการกระทำที่ยังมีการให้ผลต่อไปอีก หลังจากเสร็จการกระทำนั้นแล้ว โดยคนเรากระทำกรรมได้ ๓ ทาง คือ
๑) ทางกาย คือ การใช้มือ เท้า และอวัยวะอื่น ๆ กระทำ เรียกว่า กายกรรม
๒) ทางวาจา คือ การพูด เรียกว่า วจีกรรม
๓) ทางใจ คือ การคิด เรียกว่า มโนกรรม

*****

ความไม่รู้ที่ค้างคาใจทุกคนคือ
เราคือใคร ก่อนเกิดมาจากไหน
ตายแล้วจะไปไหน ตายเมื่อไหร่
ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม
เพราะไม่รู้จริงในสิ่งเหล่านี้
จึงเป็นเหตุให้ขาดความมั่นใจในตนเอง
แม้ขณะทำความดี

*****

จากหนังสือ สติ สัมปชัญญะ รากฐานการศึกษาของมนุษยชาติ

เผด็จ ทตฺตชีโว

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.028229033946991 Mins