อายุมนุษย์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์ในยุคแรกๆ น่ะ อายุไม่ใช่พันปี ไม่ใช่หมื่นปีไม่ใช่แสนปี แต่เป็นล้านๆๆ ปีกันทีเดียว บางช่วงเป็นอสงไขยปีด้วย เหตุนี้เองเวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาบังเกิดในโลกแต่ละครั้ง พระองค์จะต้องตรวจดูก่อนว่า ใช่เวลาที่พระองค์จะมาเกิดแล้วหรือยัง จะมาตรัสรู้ในโลกได้แล้วหรือยัง ถ้าในช่วงนั้นมนุษย์ทั้งโลกเฉลี่ยแล้วอายุเกินคนละหนึ่งแสนปีน่ะ พระองค์ไม่มาเกิดหรอก เพราะถ้ามาเกิดขณะที่มนุษย์อายุเป็นแสนๆ เป็นล้านๆ ปีนั้น ไปบอกว่านี่มนุษย์เอ๋ย! อีกหน่อยเจ้าจะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย แทนที่คนจะเชื่อ คนกลับหัวเราะก๊ากๆ เลย โธ่!... อย่ามาพูดซะให้ยากเลย ฉันอยู่มาตั้งล้านปีแล้ว ยังไม่แก่ แก่เป็นยังไงอย่ามาโกหกกันเลย พระพุทธเจ้ามาสอน คนยังว่ามาโกหกเพราะอะไร เพราะอายุมนุษย์ยุคนั้นยืนเหลือเกิน สภาพแวดล้อมในช่วงนั้นดีมาก มลภาวะถึงเป็นพิษบ้าง ก็ยังดีกว่าปัจจุบันนี้มาก เพราะฉะนั้น คนในยุคนั้นก็จะประมาท พังคำสอนในพระพุทธศาสนาไม่รู้เรื่อง เหมือนยังกับลูกเศรษฐึถ้ามีใครไปบอกว่า คุณจะต้องระวังนะ คนเรามีขึ้นมีลง วันหนึ่งคุณอาจจะอดก็ได้นะ เขาคงถามกลับมาว่า อดเป็นไง ไม่รู้จัก เงินเป็นพันๆ ล้านจะอดยังไง คุยกันไม่รู้เรื่องอย่างนี้แหละ
เพราะฉะนั้น ช่วงที่มนุษย์อายุเฉลี่ยในโลกนี้เกินคนละหนึ่งแสนปี พระพุทธเจ้าไม่มาบังเกิดหรอก เสียเวลา เพราะถ้าพระองค์มาบังเกิดก็คงสอนกันไม่รู้เรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตายอะไรไม่รู้เรื่อง
ในเวลาเดึยวกัน ถ้าอายุของคนในโลกนี้เฉลี่ยต่ำกว่าร้อยปีมาก พระองค์ก็ไม่มาบังเกิด เพราะว่าเมื่ออายุมนุษย์ต่ำกว่าร้อยปีมากๆ เช่น อายุคนทั้งโลกเฉลี่ยแล้วสิบปีตาย อย่างนี้หมายความว่า พอขวบหนึ่งมันก็เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วโธ่เอย!... ขวบหนึ่ง ตัวแค่ลูกหมา เป็นหนุ่มแล้ว “พ่อ... กิน เหล้ากันเถอะ” “แม่... หนูอยากจะมีผัว” ขวบหนึ่งจะมากินเหล้า จะมามีผัว จะไปสอนธรรมะอะไรกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่บังเกิดหรอก เสียเวลาพระองค์อีกเหมือนกัน นี่มาอย่างนี้
ตระกูลของมนุษย์
อายุมนุษย์ได้สั้นลงๆ มาตามลำดับ มลภาวะต่างๆ ก็เกิดขึ้นในโลก แล้วตระกูลกษัตริย์ก็เกิดขึ้นมา โดยได้รับการยกย่องจากมนุษย์ด้วยกัน พวกนักศาสนาก็เกิดขึ้นมาเพราะหาทางตะเกียกตะกายที่จะกลับไปเป็นพรหมตามเดิมไม่อยากอยู่โลกมนุษย์แล้ว ตระกูลอื่นๆ ตระกูลนักธุรกิจตระกูลกรรมกรก็เกิดขึ้นมาเป็นลำดับๆ อย่างนี้ ค่อยๆ มา ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปของมันอย่างนี้
ทีนี้ไม่ว่าจะมาเกิดในตระกูลไหน การที่จะตกนรก การที่จะไปสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตระกูล แต่อยู่กับความประพฤติส่วนตัว ใครทำดีก็ได้ดี ใครทำชั่วก็ได้ชั่ว ใครทำบุญก็ได้ไปสวรรค์ ใครทำบาปก็ตกนรก ชาติตระกูลไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างนั้น มนุษย์ก็เอาความมีชาติตระกูล มีวรรณะของตัวเองเอามาเป็นเครื่องข่มขี่ดูถูกกันอีกนั่นแหละ จนตราบเท่าทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้มันก็ยังดูถูกกันอยู่ เพราะว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ พอเริ่มต้นก็ดูถูกกันมาแล้ว เพราะฉะนั้น การเหยียดผิวกันก็คงจะมีต่อไปอีก ตราบใดที่คนยังไม่หมดกิเลส เมื่อมีการดูถูกมีการเหยียดหยามกัน สภาพแวดล้อมในโลกนี้มันก็เป็นพิษและอายุมนุษย์ก็สั้นลงๆ ไปตามลำดับ อย่างปัจจุบันนี้ อายุของมนุษย์ทั้งโลกเฉลี่ย 75 ปี เมื่อเทียบกับยุคก่อนนั้น เทียบกันไม่ติดเลย
เมื่อยุคพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ อายุของมนุษย์ก็ยังเฉลี่ย 100 ปี แต่พอพระองค์จะปรินิพพาน พระองค์ก็บอก ต่อแต่นี้ไปเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว จะไม่มีใครคอยเตือนมนุษย์ว่า นี่บุญนะ นั้นบาปนะ แล้วเขาจะหลงไปทำบาปกัน มลภาวะก็จะมีมาก เมื่อมลภาวะมีมากอายุมนุษย์ก็จะสั้นลง เมื่ออายุมนุษย์สั้นลงไปเรื่อยๆ พระองค์ยังบอกต่อ ถึงจุดหนึ่งเมื่ออายุของมนุษย์ทั้งโลก เฉลี่ยแล้วเหลือสิบปีตัวนิดเดียว ถึงวันนั้นคงได้ยินมั่งว่า “ไอ้ตัวเล็ก...เอ็งเอาไม้สอยต้นมะเขือนี่ทีซิ” มีทางเป็นไปได้ทีเดียว เพราะอย่างที่เล่าให้ฟัง ก็ขนาดต้นพริก เมื่อเด็กๆ หลวงพ่อยังเจอเลย สูงตั้งสามสี่วา ต้องใช้ไม้สอยเอา จะเก็บพริกนี่ยังต้องสอย นี่เก็บมากับมือเชียว ไม่เคยเจอนี่จะพูดไม่ถูก พริกที่ยังต้องเอาไม้สอยกันแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อไปข้างหน้าที่ว่าคนจะต้องเอาไม้มาสอยมะเขือนี่ ชัดแน่ๆ ตัวคนเล็กลงๆ กระจอกลงไปทุกวันน่ะ
อุ๊ย!...ฉันสวย โธ่เอ๋ยกระจอก แหม... ผมนี่หล่อนะกระจอก อย่า... อย่าได้ไปหลงตัวเองเลยนะ นี่เป็นอย่างนี้