กำเนิดโลก ตามคติของพุทธศาสนา

วันที่ 15 ธค. พ.ศ.2565

กำเนิดโลก ตามคติของพุทธศาสนา

กำเนิดโลก
ตามคติของพุทธศาสนา

      เรามาฟังเรื่องการกำเนิดของโลก ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีกว่า พระองค์ตรัสไว้อย่างมีเหตุผล แล้วเรื่องนี้พระองค์ตรัสเทศน์ไว้นี่ ไม่ใช่เทศน์ให้พระฟังนะ แต่เทศน์ให้สามเณรฟัง
       มีสามเณรสองรูปไปกราบพระองค์ ชื่อสามเณรวาเสฏฐะกับสามเณรภารทวาชะ สามเณรทั้งสองรูปนี้ออกบวชมาจากตระกูลพราหมณ์ โยมพ่อของสามเณรทั้งคู่เป็นพราหมณ์มหาศาล แล้วก็เป็นอาจารย์สอนศาสนาผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในศาสนาพราหมณ์ แต่ว่าสามเณรสองรูปนี้โตขึ้นมาก็ศึกษาหาความรู้จากพ่อ พอเชี่ยวชาญเข้ากลับบอกว่าไม่มีอะไรเป็นสาระเลย จึงมาบวชเป็นเณรอยู่ในพุทธศาสนา แล้วก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์*

      เรื่องมีอยู่ว่า บ่ายวันหนึ่งสามเณรสองรูปนี้ เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเดินจงกรมอยู่ จึงชวนกันไปกราบขอความรู้จากพระองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีเมตตา ทรงเล่าถึงเรื่องการกำเนิดของโลกให้ฟัง โดยเทศน์ตัดตอนเอามา
       พระองค์เทศน์ตัดตอนออกมาในลักษณะที่บอกความให้ทราบว่า โลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ มีการเกิดขึ้นแล้วก็แตกดับได้ด้วย ไม่ใช่จะเป็นโลกอย่างนี้อยู่ได้ตลอดไปเมื่อใดที่โลกมีคนบาปมาเกิดมาก คนมีกิเลสกันมาก ก็จะทำให้ธาตุต่าง ๆ ในแผ่นดินนี่แปรปรวนหมด แปรปรวนในที่นี้หมายเอาตั้งแต่ธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ในแผ่นดินนี่ ในโลกนี่ มันรวมตัวกันเข้า อาจจะอยู่ในลักษณะเป็นไฟไหม้โลก หรือนั้าท่วมโลกอะไรก็ตามที
        ตัวอย่างที่พระองค์เทศน์ไว้นี่ เป็นลักษณะไฟไหม้โลกอย่างที่เราเรียกกันในภาษาศาสนาว่าไฟบรรลัยกัลป์ แต่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่าโลกเป็นหมอกเพลิง เป็นดวงไฟดวงใหญ่ไปเลย เวลาธาตุในโลกวิกฤติขึ้นมา เกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก ถ้าจะว่าในเชิงวิชาเคมี ก็คือ ธาตุทั้งสี่ไม่ได้สัดส่วนกัน ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุลม ธาตุไฟ ไม่ได้สัดส่วนกันก็เลยมีอาการอย่างนั้น
      พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อคนมีกิเลสหนา จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก เกิดน้ำท่วมโลกนี้ อย่างที่เราพอจะเห็นๆ กัน อย่างเวลานี้คือคนขาดศีลธรรม ขาดเมตตาต่อกัน คิดเบียดเบียน ทำร้ายล้างผลาญกัน มีขบวนการฆ่ากันในระดับต่างๆ มีการผลิตอาวุธร้ายแรงในลักษณะต่างๆ คนฆ่ากันอย่างเลือดเย็นมากขึ้น คนคิดจะถล่มทลายกันอย่างนี้วันๆ ก็วางแผนคิดผลิตอาวุธมาฆ่ากันอย่างนี้ สงครามโลกจึงเกิดขึ้น อาวุธที่ใช้ทำลายล้างกันยิ่งร้ายแรงเท่าไหร่ ความสมดุลในโลกก็ยิ่งลูกทำลายรวดเร็วเท่านั้น
       ส่วนในเรื่องน้ำท่วมโลก ที่เราพอจะมองเห็นนี้ก็เกิดจากกิเลส คือความโลภของคนอีกนั้นแหละ คนโลภมากขึ้น หาผลประโยชน์ใส่ตัวมากขึ้น โกงคนด้วยกันก็โกง คอรัปชั่น โกงชาติก็โกง โกงแผ่นดินก็โกง โกงแผ่นดิน โกงยังไง ก็ตัดไม้ทำลายป่านี่แหละโกงแผ่นดิน ลองคิดคูซิ เราอาศัยแผ่นดินอยู่ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่ร้อนนัก ไม่หนาวนัก จะทำการเกษตรกรรมอะไรก็พอมีพอกินกันทั้งประเทศ แล้วพอมีคนกลุ่มหนึ่งเกิดโลภขึ้นมา ที่จริงก็ไม่ใช่กลุ่มเดียวหรอก หลายกลุ่ม เดี๋ยวก็กลุ่มนี้ เดี๋ยวก็กลุ่มนั้น หาทางเข้าไปตัดไม้ทำลายป่า ตัดจนไม้จะหมดป่าแล้วเวลานี้ ตัดกันมากเข้า ๆ สมดุลธรรมชาติก็เสีย เดี๋ยวนี้เป็นยังไง หน้าร้อนร้อนจนแทบบ้า หน้าฝนบางที่ฝนก็ไม่ตก อย่างในประเทศไทยเรานี้ไม่ว่าภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้หรือในกรุงเทพ ฯ มีโอกาสถูกน้ำท่วมใหญ่ๆ เท่าๆ กันหมด เพราะการตัดไม้ทำลายป่าครอบคลุมในหลายพื้นที่ของประเทศ น้ำจะท่วมโลกเพราะความโลภ เป็นอย่างนี้หน้าหนาว ก็ร้อนๆ หนาวๆ บางแห่งก็หนาวแทบตาย บางแห่งก็ไม่รู้เลยว่า อ้อ! หน้าหนาวหรือนี่ ยังต้องเปิดแอร์เปิดพัดลมอยู่เลย...
      หลังจากที่โลกเกิดไฟบรรลัยกัลป์เป็นหมอกเพลิงนับล้านๆๆๆ ปีแล้ว โลกก็จะค่อยๆ เย็นลงๆ แล้วแข็งขึ้น กลายเป็นโลกให้เราได้อยู่อาศัยอีกครั้งหนึ่ง
       เมื่อโลกเริ่มเย็นลงใหม่ ๆ ตอนที่ยังไม่ได้สัดส่วนก็เหมือนเราผสมปูนซีเมนต์ เอากรวดเอาหิน เอาทราย เอาปูนมาผสมกัน เอานํ้าเติมลงไป ตอนที่ยังเป็นปูนผสมใหม่ๆ น่ะ มันมีความร้อนเกิดขึ้น แล้วมันก็เหลวๆ เขละขละ เอาเรื่องเอาราวอะไรไม่ได้ แต่ว่าเมื่อทิ้งเอาไว้ให้ความร้อนที่เกิดขึ้นค่อย ๆ ระเหยออกไป นํ้าที่ผสมอยู่ค่อยๆ ระเหยออกไปในที่สุด ปูนซีเมนต์ที่ผสมนั้นก็จะจับเป็นก้อนแข็ง ก็เอามาก่อเป็นตึก มาก่อเป็นพื้นปูนให้เราได้อยู่ได้อาศัยกัน ธาตุต่างๆ รวมกันแล้วมีความร้อนเกิดขึ้น แล้วค่อยๆ เย็นลง แห้งลง แล้วก็จับตัวเป็นก้อนแข็ง ก็อุปมาเช่นเดียวกับการผสมปูนซีเมนต์อย่างที่ว่ามานั้นแหละ.

* ข้อความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับสามเณรวาเสฏฐะและการทวาชะ (ดูท้ายเล่ม)

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.043447434902191 Mins