ความจริงขั้นต้นทุกคนต้องรีบรู้ ความจริงประจำโลก ประจำชีวิตวังวนชีวิต เวลา สิ่งแวดล้อม 5
สาระบทที่ 2
ความจริงประจำโลก ประจำชีวิต วังวนชีวิต เวลา สิ่งแวดล้อม 5
1. ความจริงประจำโลก
• กฎความจริงตามธรรมชาติ 3
• ตัวอย่างกฏความจริงตามธรรมชาติ 3
2. ความจริงประจำชีวิต
3. ความจริงวังวนชีวิต
4. ความจริงเรื่องเวลาชีวิต
5. ความจริงเรื่องสิ่งแวดล้อม 5
• สิ่งแวดล้อม 5 ต้นแหล่งผลิตปัจจัย 4
• มนุษย์อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม 5
วัตถุประสงค์แท้จริงการใช้ปัจจัย 4
• ความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อม 5 ต่อชีวิตมนุษย์
• ชีวิตมีคุณค่าเมื่ออยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม 5 ที่มีคุณภาพ
6. สรุปบทที่ 2
7. พระสูตรอ้างอิงบทที่ 2
การได้กายเป็นมนุษย์นั้นสุดแสนยาก เมื่อได้กายมนุษย์มาแล้วจำต้องเร่งเพิ่มคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ที่สุด คือ มีความอดทน มีความพากเพียร ฝึกใจตนให้สามารถเข้าถึง ธรรม ให้เร็วที่สุด เพราะใจที่มีธรรมคุ้มครองรักษาย่อมสามารถปราบกิเลสขจัดปัญหาและความทุกข์ทั้งปวงของตนเองได้ รวมทั้งสามารถเป็นที่พึ่งช่วยเพื่อนร่วมโลกได้อีกด้วย
หากไม่รีบเพิ่มคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้แก่ตนเอง เราจะถูกกระแสโลก กระแสกิเลสพาให้หลงยินดียินร้ายกับเรื่องราวไร้สาระของคน สัตว์ สิ่งของ ที่ไหลบ่าเข้ามาทำลายคุณค่าและตายไปโดยไม่ได้ประโยชน์จากการได้กายมนุษย์เลย
แต่เพราะ ณ ศูนย์กลางกายมนุษย์ของเราทุกคนมีธรรมที่ทำให้เรามีกำลังใจ กำลังสติปัญญาเหนือกว่าสัตวโลกชนิดอื่น ๆ พร้อมที่จะฝ่าฟันเอาชนะทุกข์และกิเลส
เราจึงสมควรเร่งรีบหาความจริงประจำโลก ประจำชีวิต วังวนชีวิต เวลา และสิ่งแวดล้อม 5 ให้รู้ชัดกันก่อน
ความจริงประจำโลก
โลก คือ สิ่งที่มีความแตกสลายเป็นธรรมดาคำาว่า “โลก” ในที่นี้หมายถึง แผ่นดินที่อยู่อาศัยร่วมกันของสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ กล่าวคือ
1. สรรพสิ่ง หมายถึง สิ่งไม่มีชีวิตต่าง ๆ เช่น ภูเขา ต้นไม้ ดิน รถยนต์ ถนน ฯลฯ
2. สรรพสัตว์ หมายถึง สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ได้แก่ คน สัตว์ต่าง ๆ
โดย “สรรพสิ่งและสรรพสัตว์มีสิทธิเสมอภาคที่จะอยู่อาศัยในโลกอย่างไม่เบียดเบียนกัน”
กฎความจริงตามธรรมชาติ 3
โลกนี้มีกฎความจริงตามธรรมชาติบีบบังคับทั้งสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ โดยไม่ประกาศให้รับรู้ที่สำคัญ 3 กฏด้วยกัน คือ
1. กฎสภาวลักษณะ กฎแห่งลักษณะหรือคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวทั้งสรรพสิ่งและสรรพสัตว์มีธรรมชาติความจริงประจำแต่ละสิ่งแต่ละชีวิต ทั้งที่เป็นคุณและโทษอยู่ในตัวเอง
2. กฎสามัญลักษณะ กฎแห่งลักษณะที่เสมอเหมือนกันแก่สังขารทั้งปวง สรรพสิ่งและสรรพสัตว์เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของไม่ใช่ตน ใคร ๆ ก็ควบคุมไม่ได้
3. กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ อันเป็นเหตุผล
3.1 การคิด-พูด-กระทํา คือ การทำกรรม
3.2 การทำกรรมอย่างมักง่าย ไม่สำรวม ขาดสติ จัดเป็นกรรมชั่ว ได้ผลชั่ว เป็นทุกข์
3.3 การทำกรรมอย่างประณีต สำรวม มีสติ จัดเป็นกรรมดี ได้ผลดี เป็นสุข
3.4 การทํากรรมด้วยอำนาจกิเลส ชีวิตเรานั้นก็จะต้องวนเวียนเกิด แก่ เจ็บ ตาย
พลัดพราก เป็นทุกข์อยู่ในสังสารวัฏไม่รู้จบสิ้น
ตัวอย่างกฎความจริงตามธรรมชาติ 3
1. กฎสภาวลักษณะของมีด
มีดมีคุณสมบัติคือ มีความคม ความบาง ความแข็ง ใช้ตัด หั่น ฟัน สิ่งต่าง ๆ ได้
โทษของมีด คือ ใช้ทําร้าย ทำลายเช่น มีดบาด มีดแทง ฯลฯ
คุณของมีด คือ อำนวยความสะดวก เช่น หั่นผัก ทําครัว ฯลฯ
2. กฎสามัญลักษณะของมีด
มีดย่อมมีอายุการใช้งาน มีความผุพังเสื่อมสลายเป็นธรรมดา ไม่ว่ามีดเล่มนั้นราคาถูกหรือแพงแค่ไหน ทำจากวัตถุดิบดีเลวสักปานใดเป็นของเศรษฐีหรือยาจกก็ตาม
3. กฎแห่งกรรมของการใช้มีด
ผู้มีจิตใจขุ่นมัว มีโทสะ ย่อมใช้มีดก่อโทษทําความชั่ว เช่น ใช้มีดฆ่าสัตว์ ฆ่าศัตรูใช้ทำอันตรายผู้ที่ขัดใจตน การกระทำนี้เป็นความชั่ว ย่อมให้ผลชั่ว ชีวิตเป็นทุกข์
ผู้มีจิตใจดีงาม เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ย่อมใช้มีดก่อคุณ ทำความดี เช่น ลูกใช้มีดหั่นผัก หั่นเนื้อ เพื่อทำอาหารให้คุณพ่อคุณแม่ เป็นการตอบแทนพระคุณท่านการกระทํานี้เป็นความดี ย่อมให้ผลดีแก่ตนและพ่อแม่ ชีวิตเป็นสุขใช้มีดก่อกรรมดี
ความจริงประจำชีวิตและวังวนของชีวิต
หากนำภาพวัยเด็กเปรียบเทียบกับวัยปัจจุบัน เราคงตกใจไม่น้อยว่าช่างแตกต่างกันมากมาย ผิวพรรณที่เคยผ่องใส เต่งตึง ก็หมองคล้ำ เหี่ยวย่น ผมที่เคยดกดำ ก็หงอกขาวหลุดร่วง ร่างกายที่เคยกระฉับกระเฉง ก็ต้วมเตี้ยม จากที่เคยแข็งแรง ก็อ่อนแอ มีโรคภัยมาเบียดเบียน ที่เป็นเช่นนี้เพราะทุก ๆ วินาที ร่างกายมีเซลล์เกิดและเซลล์ตายตลอดเวลาเมื่อตอนเด็กมีอัตราเซลล์เกิดใหม่ 3.8 ล้านเซลล์ต่อวินาที แต่เมื่อโตขึ้นอัตราเซลล์เกิดกลับลดลง ๆ จนกระทั่งเมื่อโตเต็มวัย อัตราเซลล์เกิดก็น้อยกว่าเซลล์ตาย ความแก่เกิดขึ้นทุกวินาที อวัยวะภายในร่างกาย เช่น หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ไต กล้ามเนื้อ กระดูก กระเพาะอาหาร ลำไส้ ฯลฯ ค่อย ๆ เสื่อมลงทุกวัน เพราะร่างกายต้องใช้งานตลอดเวลา เช่น ใช้ผลิตพลังงานชีวิต คือไออุ่น 37 องศาเซลเซียส โดยร่างกายใช้พลังงานชีวิตนี้ไปสร้างเซลล์ใหม่ ใช้ซ่อมแซมร่างกาย ใช้ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บ ใช้เคลื่อนไหวร่างกาย เป็นต้นกายจึงเสื่อม
ยิ่งหากปล่อยใจให้ถูกกิเลสครอบงำ หลงใช้สังขารอย่างถล่มทลายในทางผิดตอนที่ร่างกายยังแข็งแรง เช่น สูบบุหรี่ เสพกัญชา ยาเสพติด จมอยู่ในอบายมุข กายก็ยิ่งเสื่อม เร็วขึ้น ตายเร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้ ความเจ็บไข้จึงมีอยู่ในความแข็งแรง ความตายมีอยู่ในความมีชีวิต แล้ววันหนึ่งทุกคนก็ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกันทั้งสิ้น โดยไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร สุดท้ายกรรมดีชั่วที่ทำไว้เมื่อมีชีวิต ก็จะนำเราไปเกิดในภพใหม่
เรารู้หรือไม่ว่าชีวิตเรานั้นวนเวียนเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย พลัดพรากเป็นทุกข์ไม่รู้จบเพราะกิเลสที่อยู่ในใจบีบคั้นให้ทำกรรมต่าง ๆ นานา ไม่ว่าเราทุกคนจะรู้หรือไม่รู้ความจริงเหล่านี้ก็ตาม เราก็ต้องรับผลกรรมที่ทำไว้ นี้คือความจริงประจำโลกประจําชีวิต และวังวนของชีวิต
ความจริงวังวนชีวิต
1. ความแก่ มีอยู่ในความเป็นหนุ่มสาว
2. ความเจ็บไข้ มีอยู่ในความแข็งแรง ไร้โรค
3. ความตาย ก็มีอยู่ในความมีชีวิต
4. ถึงคราวตาย ต่างคนก็ต่างไป
พ่อแม่สุดเคารพ สามีภรรยาสุดรัก
ลูกสุดห่วง ทรัพย์สมบัติสุดหวง
ล้วนต้องพลัดพรากจากกันทั้งสิ้น
5.ไม่ว่าใครจะยิ่งใหญ่เพียงไหน ตราบใดยังไม่หมดกิเลส ตราบนั้น
ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นนักโทษรอประหารไม่รู้จบ
ยังต้องถูกกิเลสตามบีบคั้นให้ทำชั่วไม่หยุดหย่อน
ยังต้องตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรมตลอดไป
ใคร ๆ ก็ช่วยไม่ได้ นอกจากตนเอง
ความจริงเวลา
1. เวลาเป็นต้นทุนของชีวิต แบ่งเป็นช่วง ๆ แต่ละช่วงสั้นมาก แค่ลมหายใจเข้าออกหยุดหายใจเมื่อไหร่ก็ตาย
2. เวลาเป็นทรัพย์ชนิดหนึ่ง ได้มาฟรี ๆ คนส่วนมากจึงไม่เห็นคุณค่าของเวลาและไม่รู้ว่าเวลามีคุณสมบัติพิเศษเพียงใด
1) เวลาเป็นสิ่งมีจริง แต่เวลาไม่มีตัวตนให้จับต้องได้
2) เวลาเป็นต้นทุนในการทำงานทุกชนิด
3) เวลามีความยุติธรรม คือมีให้ทุกคน 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กันทุกวัน
4) เวลาผ่านไปแล้วก็ผ่านเลยไม่หวนกลับ และเอาโอกาสดี ๆ ผ่านไปด้วย
5) เวลาเอาความแก่มายัดเยียด เอาความตายมาตัดรอน
3. ใครไม่รู้ว่าตนเกิดมาทำไม ย่อมปล่อยเวลาให้เลื่อนลอยไป
การมีโชคลาภใหญ่ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ย่อมสูญเปล่า ส่วนผู้มีปัญญารู้เป้าหมายชีวิตย่อมได้โอกาสใช้เวลา เพื่อปรารภความเพียรพัฒนาตนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ความจริงสิ่งแวดล้อม 5
เราทุกคน ถูกความจริงประจำร่างกาย คือ อาพาธ 6 ได้แก่ 1) ความหนาว2) ความร้อน 3) ความหิว 4) ความกระหาย 5) ความปวดอุจจาระ6) ความปวดปัสสาวะ เบียดเบียนกายให้กระสับกระส่าย สกปรก เน่าเหม็น
การบรรเทาอาพาธ 6 ก็จำต้องใช้ปัจจัย 4 อย่างต่อเนื่อง เช่น ใช้เครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย เพื่อบรรเทาความหนาว ความร้อน ใช้อาหารและน้ำ เพื่อบรรเทาความหิว ความกระหาย เป็นต้น
ตลอดชีวิตเรา จึงต้องเสียเวลาไปมากเพื่อแสวงหาปัจจัย 4 โดยแสวงหาจากสิ่งแวดล้อม 5 ได้แก่ 1. ธรรมชาติ 2. สัตว์ 3. คน 4. วัตถุสิ่งของ5. กฎระเบียบแบบแผน
1. สิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ เช่น อากาศ น้ำ ดิน หิน ลม ฝน สินแร่ ต้นไม้ พืชพรรณนานาชนิด ล้วนเป็นวัตถุดิบในการผลิตปัจจัย 4 ทั้งสิ้น
2. สิ่งแวดล้อมที่เป็นสัตว์ ทำหน้าที่รักษาสมดุลธรรมชาติ โดยต่างช่วยกันบ้าง เป็นอาหารของกันและกันบ้าง เพื่อไม่ให้สัตว์ประเภทใดประเภทหนึ่งมีมากเกินไป จนเป็นอันตรายต่อทั้งคน สัตว์ และระบบนิเวศ
3. สิ่งแวดล้อมที่เป็นคน เราไม่สามารถผลิตปัจจัย 4 ด้วยตนเองได้ทั้งหมดเราจึงต้องพึ่งพาผู้อื่นบ้าง แต่ใจเรามีกิเลส 3 บีบคั้นตั้งแต่เกิด และชีวิตเราต่างก็มีระยะเวลาจำกัด เราจึงต้องฝึกฝนอบรมตนให้เป็นมิตรแท้ต่อตนเองให้เป็นก่อนจากนั้นจึงสามารถเป็นมิตรแท้ต่อบุคคลอื่น และต่อสิ่งแวดล้อม จึงจะอยู่ร่วมกันเป็นสุข
4. สิ่งแวดล้อมที่เป็นวัตถุสิ่งของ มนุษย์จำเป็นต้องผลิตสิ่งต่าง ๆ ขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตเช่น เครื่องครัว เครื่องใช้ สิ่งปลูกสร้าง ยานพาหนะ ฯลฯหากวัตถุสิ่งของเหล่านี้ผลิตขึ้นเฉพาะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต คือเพื่อบรรเทาอาพาธ 6มิใช่เพื่อความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ประกวดประขันกัน
ทุกคนต่างใช้วัตถุสิ่งของตรงตามวัตถุประสงค์แท้จริงของสิ่งเหล่านั้นให้สิ่งแวดล้อมไม่ถูกทำลายย่อมส่งผลและมิตรภาพของเพื่อนมนุษย์ก็จะงอกงามเพิ่มพูน
5. สิ่งแวดล้อมที่เป็นกฏระเบียบแบบแผน ให้สมาชิกถือปฏิบัติเพื่ออยู่ร่วมกันเป็นสุข เช่น กฎหมายที่เป็นธรรม วัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม เป็นต้น
หากเราทุกคนฝึกฝนอบรมตน ประพฤติตนตาม “ธรรม” โดยเริ่มจากความมีสติสัมปชัญญะในการทำทุกภารกิจ ทุกหน้าที่ ย่อมส่งผลให้การออกกฎหมายกฎระเบียบต่าง ๆ มีความเป็นธรรมได้ง่าย
การทำการงานต่าง ๆ มีความสะอาด เป็นระเบียบ มีความสุภาพต่อกัน ตรงเวลาจิตใจมีสติสัมปชัญญะเป็นสมาธิ โลภะ โทสะ โมหะก็จะค่อย ๆ ถูกขจัดให้เบาบางลง เราทุกคนย่อมอยู่ร่วมกันเป็นสุข สิ่งแวดล้อมย่อมสะอาดปลอดภัยโลกนี้ย่อมน่าอยู่ประดุจสวรรค์บนดิน
สรุปบทที่ 2
สิ่งที่มีความแตกสลายเรียกว่าโลก โลกเป็นที่อยู่อาศัยของสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ มนุษยโลกพรั่งพร้อมด้วยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะต่อการดำรงชีวิตเช่น อากาศ น้ำ ลม ฝน แดด ทรัพยากร สินแร่ พืชพันธุ์ธัญญาหาร ต้นไม้ ฯลฯ
โลกมีกฏความจริงตามธรรมชาติที่สำคัญ 3 กฎ กฎสภาวลักษณะกฎสามัญลักษณะ และกฎแห่งกรรม
หากเราปฏิบัติถูกต้อง ความเป็นมนุษย์ของเรายิ่งงอกงามเพิ่มพูน สิ่งแวดล้อมย่อมสะอาด ปลอดภัย บริบูรณ์ ไม่ขาดแคลน
เราทุกคนถูกความจริงประจำร่างกายที่มีชื่อว่าอาพาธ 6
คือ ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความปวดอุจจาระความปวดปัสสาวะ เบียดเบียนกายตลอดชีวิตเราจึงต้องพึ่งปัจจัย 4 เพื่อบรรเทาอาพาธ 6 จงจำใส่ใจว่าปัจจัย 4 ทุกชนิดได้มาจากสิ่งแวดล้อม 5
จิตใจเราทุกคนยังถูกบีบคั้นด้วยกิเลส 3
คือ โลภะ โทสะ โมหะ ให้คิด-พูด-ทำไม่ดี ทำลายล้างความเป็นมนุษย์ของเราเองรวมทั้งทำลายสิ่งแวดล้อม 5 อีกด้วย คือ 1. ธรรมชาติ 2. สัตว์ 3. คน 4. วัตถุสิ่งของ 5. กฎระเบียบแบบแผน
เราต้องอยู่กับตนเองและสิ่งแวดล้อม 5 ให้ถูกวิธี
พึงเห็นคุณค่าคุณประโยชน์ของสิ่งแวดล้อม 5 ที่เราต่างอยู่และใช้ร่วมกันบนโลกพึงไม่ทำผิดกฎแห่งกรรม เราเป็นผู้ทำกรรมทั้งชั่ว-ดี เราจึงรับผลกรรมที่เราทำ
การใช้สอยสิ่งแวดล้อมถูกวิธี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม นี้เป็นกรรมดี
การมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความเอื้อเฟื้อ ปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์และ
สรรพสิ่ง นี้เป็นกรรมดี เพื่อให้ทุกคนเกิดกำลังใจทำความดีเพิ่มพูนความเป็นมนุษย์ให้สูงส่งสมบูรณ์ด้วยกัน
พระสูตรอ้างอิงบทที่ 2
ชาติธัมมวรรค สํ.สฬา. (ไทย.มจร) 18/33-42/38-40
ฐานสูตร องฺ.ปญฺจก. (ไทย.มจร) 22/57/99-104
ปฐมสัญเจตนิกสูตร องฺ.ทสก. (ไทย.มจร) 24/217/357-361
ปโลกธัมมสูตร สํ.สฬา. (ไทย.มจร) 18/84/77
มหาเวทัลลสูตร ม.มู. (ไทย.มจร) 12/449-459/488-499
วาเสฏฐสูตร ขุ.สุ. (ไทย.มจร) 25/656-660/654
สิงคาลกสูตร ที.ปา. (ไทย.มจร) 11/242-274/199-218
เสนาสนสูตร องฺ.ทสก. (ไทย.มจร) 24/11/17-19
สรีรัฎฐธัมมสูตร องฺ.ทสก. (ไทย.มจร) 24/49/105
สัพพสูตร สํ.สฬา. (ไทย.มจร) 18/23/22
สัพพอนิจจวรรค ส.สฬา. (ไทย.มจร) 18/43-51/41-42
สัพพอนิจจวรรค สํ.สฬา. (ไทย.มจร) 18/43-51/41-42
อวิชชาสูตร องฺ.ทสก. (ไทย.มจร) 24/61/134-137