โทษของมิจฉาทิฏฐิ
มิจฉาทิฏฐิมีโทษร้ายแรงอย่างไร จึงต้องปฏิรูป
ความเข้าใจผิดอันเป็นมิจฉาทิฏฐินั้น มีโทษร้ายแรงทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ตลอดจนสังคมโลก
สุดจะนับจะประมาณสำหรับโทษต่อตนเองนั้นมีโทษหนักถึงกับต้องตกนรกกันเลยทีเดียว ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มิจฉาทิฏฐิสูตร1 ว่า
"บุคคลในโลกนี้ตั้งจิตไว้ผิด กล่าววาจาผิด ทำการงานทางกายผิด
มีความขวนขวายน้อย (ไม่ทำประโยชน์สุขแก่ตนและผู้อื่น) ทำกรรมอันไม่เป็น
บุญไว้ในชีวิตอันน้อยในโลกนี้ เขามีปัญญาทราม หลังจากตายแล้ว จะไปเกิด
ในนรก
"สำหรับโทษต่อผู้อื่นและสังคมโลกนั้น มิจฉาทิฏฐิชนจะพยายามชักชวนผู้คนให้เข้ามาเป็น
มัครพรรคพวกหรือเครือข่าย ของตนอยู่เสมอ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายก็คือ ในวงการพนัน หรือ วงเหล้า คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ครั้นได้ สนทนาปราศรัยกันเพียงเล็กน้อย ก็ร่วมวงเล่นการพนันกันได้ หรือร่วมวงดื่มสุราเฮอากันได้ เพียงแต่ได้ร่วมวงทำกิจกรรมเกี่ยวกับอบายมุขเพียงครั้งเดียว มิจฉาทิฏฐิชนก็ สามารถผูกมิตร สนิทสนมกันได้ ยิ่งมีผลประโยชน์เป็นที่คาดหวังด้วยแล้ว เครือข่ายของมิจฉาทิฏฐิก็ขยาย วงออกไปได้รวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง การที่เครือข่ายยาบ้าแพร่ขยายไปได้ทั่วประเทศ ในช่วงก่อนที่รัฐบาลจะประกาศ งครามปราบปรามยาบ้า ก็ด้วยกลวิธีผูกมิตรเช่นนี้เอง
ดังนั้น อย่าว่าแต่จะปล่อยให้สังคมคลาคล่ำไปด้วยมิจฉาทิฏฐิชนเลย แม้มิจฉาทิฏฐิบุคคลเพียง
คนเดียว ก็มีฤทธิ์มีเดชสร้างความปันป่วนขึ้นในสังคมได้ เพราะเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า มิจฉาทิฏฐิบุคคลเพียงคนเดียวหากเกิดขึ้นในโลก ก็สามารถทำความพินาศให้เกิดขึ้นแก่โลกได้ ดังที่ตรัสไว้ในเอกธัมมบาลี ตติยวรรค 1 ว่า
"...บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริต บุคคลนั้นทำให้คนหมู่
มาก ออกจากสัทธรรม (กุศลกรรมบถ 10) ให้ตั้งอยู่ในอสัทธรรม (อกุศลกรรมบถ
10) บุคคลผู้เป็นเอก (คนเดียว) นี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้น เพื่อ
ไม่เกื้อกูลแก่คนหมู่มาก เพื่อไม่ใช่สุขแก่คนหมู่มาก เพื่อไม่ใช่ประโยชน์แก่คน
หมู่มาก เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย"
เพราะเหตุที่มิจฉาทิฏฐิมีโทษภัยร้ายแรงทั้งต่อตนเอง และผู้อื่นหรือสังคมโลก ดังที่กล่าวมาแล้วจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิรูป คือ กำจัดมิจฉาทิฏฐิออกจากใจผู้คนให้หมดไปโดยสิ้นเชิง แล้วพันสััมมาทิฏฐิขึ้นมาแทน
จากหนังสือ DOU
วิชาGB 203 สูตรสำเร็จการพัฒนาสังคมโลก
กลุ่มวิชาสูตรสำเร็จการพัฒนาสังคมโลก