ความเป็นมาของอสุภะ 10
ร่างกายมนุษย์ถือเป็นส่วนสำคัญในการเป็นพื้นฐานเพื่อรองรับการทำกุศล เพื่อไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพาน แต่ทว่ามีผู้คนจำนวนมากไม่ได้ใช้กายมนุษย์นี้เป็นไปเพื่อหนทางแห่งการหลุดพ้น แต่หลงมัวเมา และใช้กายนี้ประกอบบาปอกุศลด้วยอำนาจแห่งกามตัณหา และอวิชชาที่ปกคลุมใจ ทำให้ไม่เห็นสภาพร่างกายที่แท้จริง เป็นเหตุทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏให้เกิดตายซ้ำๆ ซากๆ
โดยความเป็นจริงนั้น ร่างกายมนุษย์นี้ ปรากฏดูสวยงาม ไม่ปรากฏลักษณะความไม่งาม ชัดเจนนัก เพราะถูกเครื่องประดับ เสื้อผ้า ห่อหุ้มเข้าปิดบังไว้ แต่เบื้องหลังเครื่องตกแต่งเหล่านี้ ร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วย กระดูก 300 ท่อนเศษๆ เป็นโครงร่าง เชื่อมด้วยข้อต่อ 180 แห่ง มีเอ็น 900 เส้นผูกยึดไว้ฉาบด้วยชิ้นเนื้อ 900 ชิ้น ห่อหุ้มไว้ด้วยหนังสดบางๆ ปิดไว้ด้วยหนังกำพร้า มีช่องทะลุปรุ มีมันไหลซึมออกทั้งข้างบนและไหลซึมลงข้างล่างตลอดกาลเป็นนิจ เหมือนภาชนะซึ่งเต็มไปด้วย มันข้นเป็นที่อยู่ของหมู่หนอน เป็นบ่อเกิดแห่งโรคทั้งหลาย เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ เป็นที่ไหลออกของของไม่สะอาดทั้งหลายอย่างไม่ขาดสาย โดยทางปากแผลทั้ง 9 แห่ง ดุจฝีเรื้อรังที่แตกแล้ว
ร่างกายนี้มีขี้ตาไหลออกจากตาทั้งสอง มีขี้หูไหลออกจากช่องหูทั้งสอง มีน้ำมูกไหลออกจากรูจมูกทั้งสอง มีอาหาร ดี เสมหะ หรือเลือดไหลออกทางปาก มีอุจจาระและปัสสาวะไหลออกจากทวารเบื้องล่าง มีเหงื่ออันสกปรกไหลออกจากขุมขน 99,000 ขุม มีแมลงวันหัวเขียวรุมไต่ตอมอยู่ บุคคลไม่ชำระล้างร่างกาย อาบน้ำ แปรงฟัน สระผม นุ่งผ้าและห่มผ้า เป็นต้น ปล่อยไปตามธรรมชาติ มีผมพะรุงพะรังยุ่งเหยิง เดินทางจากที่แห่งหนึ่งไปสู่ที่อีกแห่งหนึ่ง จะเป็นพระราชาหรือเป็นยาจกวณิพกก็ตาม ก็นับว่ามีร่างกายที่เป็นปฏิกูล ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็นเสมอเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกันเลย
ร่างกายนี้ เมื่อเราแปรงฟันหรือบ้วนปาก แล้วปกปิดอวัยวะที่น่าละอายให้หายไป ด้วยผ้านานาชนิด ไล้ทาด้วยเครื่องลูบไล้มีกลิ่นหอม ประดับด้วยอาภรณ์ต่างๆ มีดอกไม้ เป็นต้น ทำให้เราเข้าใจร่างกายนี้ว่าเป็นของเรา คนทั้งหลายไม่รู้ว่าร่างกายนี้ถูกเครื่องตกแต่งปิดบังไว้ จึงไม่รู้ว่าร่างนี้มีลักษณะไม่งาม ผู้ชายจึงยินดีในหญิง หญิงจึงยินดีในชาย แต่เมื่อว่าโดยปรมัตถ์แล้ว ร่างกายนี้ที่ชื่อว่าเป็นของ น่ายินดีแม้น้อยหนึ่งไม่มีเลย เพราะชิ้นส่วนในร่างกาย เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน น้ำลาย น้ำมูก อุจจาระ และปัสสาวะ แม้ส่วนหนึ่งที่ตกไปจากร่างกายแล้ว คนทั้งหลายก็ไม่ปรารถนาจะถูกต้องแม้ด้วยมือ ย่อมสะอิดสะเอียน ขยะแขยง เกลียดชัง
ชิ้นส่วนใดๆ ที่ยังเหลือในร่างกายนี้ แม้ว่าชิ้นส่วนนั้นๆ จะเป็นสิ่งปฏิกูล แต่คนเราก็ยังพากันยึดถือเอาว่า เป็นสิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่ เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตน ทั้งนี้ก็เพราะถูกความมืดคืออวิชชาห่อหุ้มไว้ เพราะถูกความเห็นแก่ตัวครอบงำ จึงถือเอาโกฏฐาสเหล่านั้นแม้เป็นของปฏิกูล ว่าเป็นของน่าใคร่ น่าปรารถนา เมื่อสัตว์เหล่านั้นยึดถือด้วยอาการอย่างนี้จึงถึงความเป็นผู้เสมอด้วยสุนัขจิ้งจอกแก่ที่เห็นต้นทองกวาวในป่าออกดอกแล้วรีบวิ่งไป ด้วยความสำคัญผิดว่า ตนได้ต้นไม้เนื้อ เกิดตะกละคาบเอาดอกทองกวาวที่หล่นลงๆ แม้รู้แล้วว่านี้มิใช่เนื้อ ก็ยังยึดถืออยู่ว่าดอกที่อยู่บนต้นโน้นเป็นเนื้อ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ร่างกายของมนุษย์ไม่เพียงแต่จะเป็นแหล่งความปฏิกูล และเป็น สิ่งล่อลวงตลอดกาลด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างเท่านั้น แต่ยังเป็นโซ่ตรวนซึ่งป้องกันไม่ให้หนีทุกข์ ไปได้ด้วย ดังนั้นโซ่ตรวนอันนี้จะต้องถูกทำลายเสีย ถ้าหวังจะได้ความสุขอันเกิดจากความสงบภายใน และความสุขนี้จะมีได้เฉพาะแก่ผู้ที่เข้าใจถึงสภาพที่แท้จริงของร่างกาย แต่อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ก็โดยอาศัยการเจริญสมาธิด้วยการพิจารณาร่างกาย ดังนั้นจึงมี รูปแบบของการเจริญสมาธิ ซึ่งปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกแบบหนึ่ง ที่ชื่อว่า อสุภภาวนา
-----------------------------------------------------------------------------