ปรากฏการณ์มหาปีติ ..."อัศจรรย์ตะวันแก้ว"
นายสัตว์แพทย์อนุวัฒน์ ศีตมโนชญ์ เล่าถึงเหตุการณ์อัศจรรย์ตะวันแก้ว เมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ ไว้ว่า
"ขนาดเรานี่เป็นลูกผู้ชายนะครับ แต่ไม่ทราบว่าน้ำตาแห่งความปีติมันไหลออกมาได้อย่างไร ไหลท่วมหน้าตาเลย เราก็ต้องดูดวงอาทิตย์ไป ต้องก้มหน้าก้มตาไป เพราะหันไปทางไหนก็มีแต่คนรู้จักเราทั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ผมบอกได้เลยว่า ตั้งแต่เข้าวัดมา ๑๓ ปี ยังไม่เคยเห็นสิ่งอัศจรรย์ขนาดนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้ใครมาพูดให้ฟังก็ไม่เชื่อ แต่วันนั้น ถ้ามีคนสักกี่ล้านคนมาบอกผมว่า สิ่งอัศจรรย์ไม่มี ผมก็จะขอยืนยันว่า มีแน่นอน แล้วจะเกิดขึ้นอีก และจะอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง
ผมเห็นเป็นดวงธรรมใสสว่างหมุนได้รอบๆ แล้วดวงอาทิตย์ก็ดูดเข้าดูดออก เปลี่ยนเป็นสีต่างๆ เป็นสีชมพู สีทอง สลับสีไปเรื่อยๆ ผมเห็นแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าจะลอยได้ มีความปีติมาก ยิ่งกว่านั้นก็คือ ที่หลวงพ่อธัมมชโยเคยบอกว่า ธรรมกายเอฟเฟ็คจะเกิดขึ้นหลังจากมหาธรรมกายเจดีย์สร้างเสร็จแล้ว เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจ แต่วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ธรรมกายเอฟเฟ็คคืออะไร เพราะเกิดขึ้นให้ผมเห็นเป็นเบื้องต้นแล้ว ซึ่งทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ขนาดไม่รู้จักกัน กระโดดกอดคอกันเหมือนเป็นพี่น้องมาจากท้องมารดาเดียวกันเลย ภาพอันนี้จะประทับตราตรึงใจไปตลอดชีวิตของผมเลย"
คุณอุบลพงศ์ ธเนศสถิตย์กุล มีพี่สาวสองคนคือ คุณพูนศรี อึ้งตระกูล และคุณเปรมใจ ลิ้มสุรัตน์ เล่าว่าเมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ ได้พากันไปวัดพระธรรมกายเหมือนกับที่ทำมากันเป็นประจำ เพื่อร่วมบุญถวายข้าวพระ ประจำทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน ถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหารและน้ำปานะ แด่พระภิกษุสงฆ์
เนื่องจากว่า เดือนหนึ่งจะไปวัดเพียงวันอาทิตย์ต้นเดือนเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ค่อยทราบว่ามีปรากฏการณ์อะไรเกิดขึ้นที่วัดบ้าง วันอาทิตย์ต้นเดือนที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ หลังจากที่ได้ทำกิจทุกอย่างตามที่กล่าวมาแล้ว ในช่วงบ่ายเธอรู้สึกดีใจที่ได้เข้าร่วมหล่อองค์พระธรรมกายที่ตนเองได้สร้างถวายหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ร่วมกับพี่สาวรวม ๔ องค์ เมื่อทำพิธีหล่อองค์พระเรียบร้อยแล้ว สาธุชนในสภาธรรมกายสากลทั้งหมดก็ได้ไปที่ลานธรรมมหาธรรมกายเจดีย์ เพื่อบันทึกภาพและดูความก้าวหน้าของการก่อสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ ซึ่งเธอและพี่สาวก็ได้ไปด้วย
เธอกล่าวว่า "พวกเรา ๓ พี่น้องรู้สึกสนุกมาก เมื่อพิธีกรบอกให้ทำอย่างไรก็ทำตามทุกอย่าง รวมทั้งการปฏิญาณตนเพื่อสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ ให้เป็นสำเร็จเป็นอัศจรรย์ ครั้นหลวงพ่อสั่งให้นั่งลงได้ กำลังจะนั่งลงก็ได้ยิน เสียงอื้ออึงทางด้านซ้ายมือ รู้สึกตกใจนึกถึงว่าคนหมู่มากคงมีเรื่องกัน แต่ที่เห็นคือผู้คนจำนวนมาก ต่างโบกธงหลวงพ่อวัดปากน้ำที่แจกให้ในวันนั้น โบกไปโบกมา และยืนขึ้นหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ ทำให้ดิฉันต้องมองตาม มีเสียงคนบอกว่า "หลวงพ่อวัดปากน้ำลอยอยู่บนดวงอาทิตย์" ดิฉันหันไปมองตามคือมองไปที่ดวงอาทิตย์บ้าง ทั้งที่ใจก็กลัวตาจะบอด เนื่องจากตนเองกำลังอยู่ในระหว่างการรักษาโรคเนื้องอกในตาซ้ายอยู่ จึงไม่กล้ามองตรงๆ นัก แต่สิ่งที่ได้เห็นคือ ที่ดวงอาทิตย์มีดวงลักษณะเป็นสีขาวใสซ้อนอยู่ในดวงอาทิตย์ ขณะนั้นใจนึกว่า อ๋อ ที่หลวงพ่อบอกว่าดวงธรรมมีสีขาวใส ที่เราเคยสงสัยว่าเป็นอย่างไรนั้น เป็นเช่นนี้เอง แล้วก็หลับตาไม่กล้ามองอีก
ได้ยินเสียงพี่สาวคนโตพูดว่า "ดูซิ ดวงแก้วในดวงอาทิตย์เคลื่อนไหว เหมือนซูมเข้าซูมออกได้ด้วย"
พี่สาวคนที่ ๒ กลับมองไม่เห็นอะไร ก็ส่งเสียงร้องว่า "ไหนๆ มองไม่เห็น" พี่สาวคนโตจึงบอกให้หลับตา แล้วลืมตามองดูใหม่
คุณอุบลพงศ์ได้ยินดังนั้นจึงหลับตาตาม แล้วแหงนมองบนท้องฟ้าก่อนเพราะความกลัว ถ้ามองดวงอาทิตย์ตรงๆ กลัวว่าจะทำให้ตาบอดได้ ปรากฏว่าบนท้องฟ้ามีดวงแก้วสีเหลืองๆ เต็มไปหมด เป็นดวงๆ ส่วนพี่สาวคนที่ ๒ ภายหลังที่หลับตาแล้วมองดูใหม่จึงได้เห็นดวงแก้วใสซ้อนในดวงอาทิตย์ และยังมองเห็นดวงกลมสีเหลืองเต็มท้องฟ้า เช่นเดียวกัน
เธอกล่าวว่า "เราทั้ง ๓ คนต่างดีใจ ในขณะนั้นคุณอ้อย (จันทรวัฒนา พิษณุประชา) ซึ่งได้ร่วมไปกับเรา ๓ คนพี่น้องด้วย ได้ชี้ให้ดูท้องฟ้าว่า มีรุ้งกินน้ำทางด้านองค์มหาธรรมกายเจดีย์ และเห็นเป็นเหมือนสะพานสีเหลืองทอดจากท้องฟ้ามาที่องค์มหาธรรมกายเจดีย์ด้วย ทุกๆ คนที่อยู่รอบข้างต่างได้เห็นปรากฏการณ์ครั้งนี้ทุกคน เมื่อถามกันไปมา ต่างคนต่างเห็นเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง ที่ไม่เหมือนกันเพราะมีบางท่านเห็นองค์หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ นั่งอยู่กลางดวงอาทิตย์ หลายคนน้ำตาไหลด้วยความปีติและดีใจ ทำให้เรา ๓ คนพี่น้องขนลุกซู่ตลอดเวลาที่อยู่ในบริเวณลานมหาธรรมกายเจดีย์ ในวันนั้นเรา ๓ คนพี่น้องรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสมาเห็นสิ่งอััศจรรย์ที่ยากจะบรรยายให้ผู้อื่นเห็นภาพอย่างที่ตนเองได้เห็น"
คุณอุบลพงศ์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เคยได้พบอีกว่า "ก่อนหน้านี้หลายปีมาแล้ว เมื่อพิธีกรรมต่างๆ ของวัดยังต้องทำอยู่ภายในบริเวณที่เดิม ดิฉันเคยเข้าไปกราบพระประธานที่พระอุโบสถ พอเงยหน้าขึ้น ดิฉันก็มองเห็นภาพองค์พระธรรมกายเหมือนองค์พระประธาน แต่องค์พระประธานเป็นสีทอง ดิฉันเห็นเป็นเงาเส้นสีขาวเป็นรูปพระธรรมกายขนาดองค์เท่ากับพระประธานตามผนัง เต็มไปหมด ดิฉันตกใจหันไปมองผู้อื่น ก็ไม่เห็นมีผู้ใดแสดงกิริยาผิดปกติ จึงนึกเอาเองว่าเราคงตาฝาดไป หลับตาแล้วลืมตาใหม่ก็ยังเห็นเช่นนั้นอยู่นาน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ จึงทำให้ดิฉันนึกถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมาได้ นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับดิฉัน"