เรื่องที่ ๔๑๑ ขโมยเอง จิตใจก็หวั่นกลัวอยู่แล้ว
เพราะกำลังทำทุจริต ดีไม่ดีอาจเห็นภาพอะไรที่นึกไม่ถึง
ทำให้เข้าบ้านไม่ได้ ทั้งที่เป็นประตูไม้ธรรมดา
คุณปิยะลักษณ์ แจวเจริญ |
คุณปิยะลักษณ์ แจวเจริญ เป็นคนอำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้าวัดพระธรรมกายครั้งแรกเมื่อครั้งอัญเชิญพระบรมพุทธเจ้า ประดิษฐาน ณ มหาธรรมกายเจดีย์ ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ในวันนั้นเธอมีความปีติมาก และได้เป็นกัลยาณมิตรให้กับครอบครัว โดยชวนลูกสาวมาบวชอุบาสิกาแก้ว หลังจากนั้นทุกงานบุญใหญ่ พ่อ-แม่-ลูกหญิง-ลูกชาย ก็จะพากันมาปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกาย ทุกคนมีจิตใจเลื่อมใสศรัทธาและมาร่วมงานบุญทุกๆ อาทิตย์ต้นเดือน
คุณปิยะลักษณ์ และครอบครัวได้สร้างองค์พระแกนกลางกันทุกคน ได้รับองค์พระของขวัญแล้ว และสวดสรรเสริญคุณพระมหาสิริราชธาตุสม่ำเสมอ เธอได้เปิดบ้านกัลยาณมิตร และสอนลูกๆ ทั้งสองสวดมนต์ทำวัตรเย็น สวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ ให้ทุกคนยึดมั่นในคุณของพระรัตนตรัย ตรึกระลึกถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เสมอๆ
น้องมินท์ ผู้โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย
ด้วยการสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ |
เธอเล่าว่า ประมาณเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ ช่วงที่มีการร่วมสร้างพระธรรมกายที่แกนกลางประดิษฐาน ณ มหาธรรมกายเจดีย์ครั้งแรกๆ และผู้ที่ได้ร่วมสร้างจะมีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่สวนบัวหนึ่งสัปดาห์ วันนั้นก่อนออกเดินทางได้กราบบูชาพระรัตนตรัยขอพรท่านช่วยคุ้มครองดูแลลูกๆ และครอบครัวให้ปลอดภัยด้วย พร้อมกับสอนลูกๆ ให้สวดมนต์ และสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุทุกวันช่วงที่คุณแม่ไปปฏิบัติธรรมที่สวนบัวรีสอร์ท จังหวัดเชียงใหม่
ขณะที่คุณปิยะลักษณ์ไปปฏิบัติธรรมนั้น ได้ให้ลูกๆ อยู่กับคุณพ่อ ซึ่งในบริเวณบ้านจะมีปั้มน้ำมันที่ครอบครัวประกอบกิจการอยู่ มีคุณตาพักอยู่ที่สำนักงานของปั้มน้ำมันซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ ๑๐๐ เมตรเท่านั้น ปกติทุกคืนคุณตาจะเดินสำรวจรอบๆ บ้าน ประมาณเที่ยงคืนตีหนึ่ง ซึ่งคุณตาจะตรวจดูความเรียบร้อยบริเวณบ้านอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน ในคืนวันเกิดเหตุคุณตาก็ยังคงเดินสำรวจความเรียบร้อยเหมือนทุกวัน เมื่อดูแล้วไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงได้เข้านอน
น้องมินท์ผู้ประสบเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า เผอิญวันนั้นคุณพ่อติดธุระสำคัญไม่สามารถกลับบ้านได้ ส่วนคุณแม่ก็ไปปฏิบัติธรรมที่สวนบัวรีสอรท์เป็นวันที่ห้า อีกสองวันจะครบหนึ่งสัปดาห์ คืนนั้นฝนตกลงมาอย่างหนัก ลมพัดกรรโชกแรง น้องมินท์ (เด็กหญิงกชกร) และน้องชายเข้านอนไปแล้ว ขณะที่น้องมินท์กำลังหลับสบายอยู่นั้นก็ต้องตกใจตื่น เพราะได้ยินเสียงดังลอดเข้ามาในห้องนอน เสียงคนกำลังพยายามจะพังประตูเข้ามา น้องมินท์บอกว่าเสียงดังมาก ตอนนั้นเวลาประมาณตีสี่กว่า เสียง “แก๊กๆ” ดังมาจากประตูหลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับห้องนอนของน้องมินท์กับน้องชาย เสียงสว่านเจาะประตู เลาะบานเกล็ดดังไม่ขาดระยะ เธอรู้สึกกลัวมาก หันไปมองน้องชายก็หลับไม่รู้เรื่องเลย ความกลัวเข้าครอบงำหัวใจดวงน้อยๆ ของน้องมินท์ มือเท้าเย็นเฉียบ “นี่เราจะทำอย่างไรดี คุณพ่อ คุณแม่ก็ไม่อยู่ เราจะออกไปดูดีมั้ยนะ”
ร่องรอยที่ขโมยงัด และพยายามจะเข้ามาในบ้าน
|
บริเวณบ้านคุณปิยะลักษณ์ที่พ้นภัยด้วย
อานุภาพแห่งพระรัตนตรัยปกป้องรักษา |
ขณะกำลังลังเลใจอยู่นั้น รู้สึกกลัวมากไม่รู้จะพึ่งใครได้ พลันคำพูดที่คุณแม่เคยสอนให้สวดสรรเสริญคุณพระมหาสิริราชธาตุก็ดังก้องมาเตือนสติให้นึกถึงพระมหาสิริราชธาตุขึ้นมาทันที คิดได้ดังนั้น เธอจึงรีบวิ่งไปล็อคประตูห้องนอน เสียงคนพยายามงัดแงะหรือถอดชิ้นส่วนประตูยังคงดังอย่างไม่หยุดยั้ง น้องมินท์พยายามตั้งสติ ตั้งใจสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ นึกอยู่อย่างเดียวว่าตอนนี้ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ในบ้านเลย ไม่มีใครช่วยน้องมินท์ได้ นอกจากอานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ หวังพึ่งพระรัตนตรัยที่คุณแม่พร่ำสอนอยู่ทุกวัน ว่าให้น้องมินท์หมั่นตรึกระลึกถึงคุณท่านอยู่เสมอ ณ เวลานี้เธอจึงไม่นึกถึงสิ่งอื่นใด ควบคุมสติให้มั่นคงตรึกระลึกถึงองค์พระมหาสิริราชธาตุ และเปล่งเสียงสวดสรรเสริญดังก้องออกมาจากศูนย์กลางกาย จนจิตเริ่มเป็นสมาธิ เสียงดังแก็กๆ ลอดเข้ามาในห้องนอนตลอดเวลา พร้อมกับเสียงน้องมินท์สวดสรรเสริญไปเรื่อยๆ เธอเริ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้นเหมือนมีพลังบางอย่างแผ่ซ่านเข้ามาในดวงจิต จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า “ขออย่าให้เกิดอันตรายใดๆ ที่บ้านเลย และขออย่าให้พวกเขาเข้ามาทำร้ายน้องมินท์กับน้องชายเลย” น้องมินท์สวดสรรเสริญไปเรื่อยๆ จนเสียงข้างนอกเริ่มเงียบลง ใช้เวลาสวดนานเกือบชั่วโมงจนนับจำนวนไม่ได้ว่ากี่จบ จวนใกล้สว่างแล้ว เวลาเกือบหกโมงเช้า เธอรอจนแน่ใจว่าทุกอย่างเงียบสงบไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้น จึงค่อยๆ ย่องออกจากห้องนอนมาที่จุดต้นเสียงคือประตูหลังบ้าน พอมาถึงก็ต้องตกใจมากที่มองเห็นประตูถูกงัด ลูกบิดหักคาประตู เศษไม้หักกระจาย มีรอยกรีดมุ้งลวด และบานเกล็ดถูกถอดออก
เตียงที่น้องมินท์นอนในคืนวันเกิดเหตุ และตั้งจิตอธิษฐาน "ขออย่าให้เกิดอันตรายใดๆ เลย"
|
น้องมินท์รีบวิ่งไปบอกคุณตา เมื่อคุณตามาถึงก็ตกใจมากเช่นกัน เพราะลักษณะที่ขโมยพยายามพังประตูนั้นแสดงว่ามีเครื่องมือมาพร้อมอย่างแน่นอน ทั้งสว่านเจาะและไขควง และต้องมามากกว่าหนึ่งคน จะต้องเป็นมืออาชีพเป็นคนในพื้นที่และดูลาดเลามานานแล้ว คุณตารีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงเป็นเวลาประมาณ ๗ โมงเช้า ถึงกับพูดว่า “เหลือเชื่อจริงๆ ที่โจรเข้าบ้านไม่ได้” เพราะสภาพประตูบ้านไม่มีเหล็กดัด เป็นประตูไม้ธรรมดา มีเหล็กดัดและบานเกล็ดที่หน้าต่างเท่านั้นเองซึ่งไม่ได้แน่นหนาแต่อย่างใด ตำรวจมาพิสูจน์หลักฐานปรากฏว่ามีรอยนิ้วมือเต็มไปหมดเลย กลอนถูกสะเดาะออกทั้งหมด ขโมยพยายามงัดเข้าทางประตู จนลูกบิดหักคาประตูแต่เข้าไม่ได้ จึงเปลี่ยนแผนเข้าทางหน้าต่างแทน โดยถอดกระจกบานเกล็ดออกหมดและกรีดมุ้งลวด แต่จนแล้วจนรอดขโมยก็ยังเข้าบ้านหลังนี้ไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แต่งง เหลือเชื่อจริงๆ นี่ถ้าหากขโมยเข้าบ้านได้ น้องมินท์กับน้องชายจะเป็นอย่างไร หากพวกขโมยจ้องจะเอาแต่ทรัพย์สินไปก็คงพอทำเนา แต่วิสัยโจรย่อมรู้ดีอยู่ว่าเป็นคนไม่มีศีลธรรมในจิตใจ หากเกิดอันตรายถึงขั้นมีการทำร้ายร่างกาย ชีวิตบริสุทธิ์น้อยๆ สองชีวิตจะเป็นอย่างไร ลูกทั้งสองที่เป็นดวงใจของพ่อแม่ เมื่อท่านทราบแล้วจะรู้สึกอย่างไร
สภาพบานเกร็ดที่ซ่อมแล้วภายหลังจากที่โจรถอดออก และกรีดมุ้งลวดเพื่อจะเข้ามาขโมย แต่เหมือนเจออะไรบางอย่าง จึงไม่สามารถเข้ามาได้
|
น้องมินท์โชคดีมากที่มีสติ และนึกถึงพระมหาสิริราชธาตุ อธิษฐานขอให้ท่านคุ้มครองด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น จวบจนสิ้นเสียงที่คนร้ายพยายามจะพังประตูเข้ามา จึงเป็นปริศนาว่าทำไมขโมยถึงเข้าบ้านไม่ได้ แต่ครอบครัวของน้องมินท์มั่นใจว่าเหนือสิ่งอื่นใดก็คืออานุภาพของพระรัตนตรัยที่ผ่านทางองค์พระมหาสิริราชธาตุที่น้องมินท์นึกได้ในตอนนั้นนั่นเอง
เรื่องของคุณปิยะลักษณ์ ทำให้นึกไปถึงเรื่องในอดีต ชื่อคุณยายน่วม บุญทรง ถ้ายังมีชีวิตอยู่จะมีอายุ ๖๒ ปี เล่าไว้ว่า เมื่อท่านอายุราว ๑๑-๑๒ ขวบ มีอยู่คราวหนึ่งท่านต้องอยู่เฝ้าบ้านตอนกลางคืนกับน้องๆ สองคน อายุไม่ห่างกันนัก พ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้านไปตัดฟืนกันในป่า ต้องค้างคืนที่โน่น
คืนนั้นมีขโมยจะเข้ามาเปิดประตูคอกวัวใต้ถุนบ้าน เพื่อจูงวัวไป พอคุณยายน่วมได้ยินเสียงกุกกักอยู่ใต้ถุน มองลงไป เห็นลางๆ ว่ามีขโมยกำลังจะขโมยวัวอยู่ ๒ คน ท่านจึงปลุกน้องเล็กทั้ง ๒ คน ตื่นขึ้นแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง บอกว่าพอท่านออกเสียงเรียก พ่อ ลุง และอาของท่าน ให้น้องทั้งสองช่วยกันวิ่งในบ้านให้เสียงดังโครมครามทีเดียว น้องก็รับปาก
คุณยายน่วมก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “พ่อๆ ตื่นเร็วเข้า ลุง..ตื่น อา..ตื่น เร็ว ขโมยเข้ามาในคอกวัวแล้ว ยิงมันเลย....” ฝ่ายน้องทั้งสองคนก็วิ่งสวนกันไปมาดังโครมครามเหมือนฝีเท้าของคนหลายคน บ้านสมัยโบราณ เป็นพื้นกระดานไม่ได้ตอกตะปู จึงมีเสียงดังเวลาคนวิ่ง แล้วคุณยายน่วมก็พูดอีก “นี่ๆ ปืนพ่อ เอ้านี่ดาบของลุง อาๆ นี่หอกเอาไปเลย” แล้วก็ช่วยน้องวิ่ง
ท่านว่า เจ้าหัวขโมย ๒ คนนั่น วิ่งออกจากคอกวัวหนีแน่บไปเลย พอสว่างมันย้อนมาดูก็รู้ว่าถูกเด็กหลอก เพราะมันก็สืบไว้แล้วว่าไม่มีผู้ใหญ่อยู่บ้าน ความละอายที่เสียรู้เด็ก ขโมยทั้งคู่ไม่มาขโมยวัวที่บ้านคุณยายน่วมอีกเลย
ครอบครัวมีความสุขด้วยการเปิดบ้านกัลยาณมิตร
|
เล่าให้ฟังเป็นตัวอย่างว่า การทิ้งเด็กให้เฝ้าบ้านตามลำพัง มีอันตราย ต้องคิดการแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ไว้ให้เด็กด้วย ในกรณีนี้คุณปิยะลักษณ์ให้ลูกสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย และพระมหาสิริราชธาตุ ย่อมเป็นประโยชน์ อย่างน้อยทำให้เด็กมีขวัญมีกำลังใจ ไม่หวาดกลัวจนช็อคหมดสติ
เสียงสวดมนต์ยามดึกสงัด สวดเบาก็เหมือนดัง เพราะอยู่ท่ามกลางความเงียบ ขโมยเอง จิตใจก็หวั่นกลัวอยู่แล้ว เพราะกำลังทำทุจริต ดีไม่ดีอาจเห็นภาพอะไรที่นึกไม่ถึง ทำให้เข้าบ้านไม่ได้ ทั้งที่เป็นประตูไม้ธรรมดา ลูกกรงเหล็กก็ไม่มี ทำให้ไปงัดหน้าต่างต่อ แล้วก็เลิกงัดไป เข้าบ้านไม่ได้
อย่างไรก็ตามในกรณีอย่างนี้ ผู้ใหญ่ต้องสอนเด็กๆ ไว้ เช่นให้ตื่นขึ้นมาเปิดไฟให้สว่างไปทั้งบ้าน แกล้งเปิดโทรทัศน์ วิทยุ ที่ห้องโน้นห้องนี้เหมือนอยู่กันหลายคน แล้วก็ตะโกนส่งเสียงคุยกัน จะมีโทรศัพท์หรือไม่ก็ตาม แกล้งพูดโทรศัทพ์แจ้งตำรวจ พูดบ่อยๆ เหมือนกับว่าตำรวจกำลังเดินทางใกล้จะมาถึง แค่นั้นก็ไม่มีหัวขโมยคนไหนกล้าอยู่แล้ว หรือว่าถ้ามีทางออกทางอื่น เช่นประตูหลังหน้าต่างหนีไฟ ก็พากันย่องหนีออกมา วิ่งไปเรียกให้ผู้อื่นมาช่วย
นอกจากนั้นยังต้องคิดเผื่อเรื่องอื่นๆ ไว้ เช่นเรื่องไฟไหม้ เรื่องน้ำท่วมกะทันหัน เรื่องพวกมิจฉาชีพมาล่อลวง ฯลฯ
ธรรมะข้อที่ทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความกล้าหาญ มีอยู่ ๕ อย่าง ศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ(ศึกษามาก) ปรารถความเพียร และปัญญา ควรฝึกให้ลูกหลานปฏิบัติเสียตั้งแต่พวกเขายังเล็กย่อมเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า