ทำอย่างไร? เมื่อถูกใส่ความ
ถาม : ทําอย่างไรเล่า เมื่อเผชิญหน้ากับการถูกใส่ความแล้วเราจะไม่แก้ปัญหาผิดๆ จน
กลายเป็นการเพิ่มปัญหาขึ้นมา?
ตอบ : เป็นธรรมดาของคนเราที่บางครั้ง แม้ว่าตั้งใจทํางานแต่ก็มิวายถูกคนอื่นกลั่นแกล้งใส่ความเอาได้เหมือนกัน แล้วเป็นผลกระทบมาถึงหน้าที่การงาน ชีวิต ชื่อเสียง ตลอดจนครอบครัว
ปู่ย่า ตายาย ให้หลักของนักสู้ไว้ ๓ ประการ พูดย่อๆ คือ ไม่สู้ ไม่หนี ทําความดีเรื่อยไป ดังนั้น เมื่อถูกใส่ความสิ่งที่ต้องทําคือ
๑.ไม่ท้อแท้หนีหน้า ลาออก
เพราะถ้าทำอย่างนั้น จะกลายเป็นว่า เราผิดจริง เป็นคนชั่ว คนเลวจริง คนชั่วทั้งหลาย เมื่อใส่ความสําเร็จง่ายๆ ก็จะได้ใจ จะยิ่งใส่ความคนดีๆ ให้เดือดร้อน โดยหวังว่าเมื่อคนดีๆ เหล่านั้นลาออก เขาก็จะเข้ามาครองอำนาจ ครองบ้านครองเมืองแทนความยุ่งยากเดือดร้อน ก็จะเกิดขึ้นมาในสังคม เพราะฉะนั้นเมื่อถูกใส่ความ เราอย่าเป็นคนขี้รําคาญน้อยใจ สรุปแล้วคือ อย่าหนี
๒. ไม่สาดโคลนเข้าใส่กัน
เมื่อถูกใส่ความแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ความกลับ มิฉะนั้นจะหาข้อยุติไม่ได้ ซ้ำยังเดือดร้อนไปทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนบริสุทธิ์ ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย กลายเป็นบาปติดตัวเราไปเสียอีก
๓.ตั้งใจทํางานของเราไปเรื่อยๆ
เมื่อมั่นใจว่า เราทํางานนั้นอย่างถูกต้องสุจริต ก็ให้ทำงานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยความอดทน แต่มีข้อแม้ว่าต้องทํางานด้วยความรัดกุมเป็นพิเศษ เช่น เคร่งครัดในระเบียบวินัยมากขึ้น และมีการตรวจสอบควบคุมมากเป็นพิเศษแม้งานจะล่าช้าไปบ้าง ก็ต้องยอมรับ
คนโดยทั่วไป เมื่อถูกใส่ร้าย มักจะหวั่นไหว เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีได้หนักขึ้น เพราะฉะนั้น เพื่อปิดช่องว่างรอยโหว่ต่างๆ ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีได้ เราจึงต้องหมั่นปลุกปลอบให้กําลังใจตัวเอง อย่าให้เกิดความท้อแท้ได้ เมื่อเราไม่ท้อแท้เรรวน การงานยังคงดำเนินไปได้ตามปกติ ผู้ใหญ่ก็ดีบุคคลภายนอกก็ดี ย่อมเข้าใจความจริงได้ในไม่ช้า
ถ้าเราท้อแท้หมดกำลังใจปล่อยให้งานการเสียหาย ก็จะเกิดความผิดพลาดในงานทําให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีได้ทั้งๆ ที่แต่เดิมเราไม่มีความผิดความชั่ว ก็จะเกิดความผิดความชั่วหลังจากท้อแท้นี่เอง
“ถ้าอุปมาการใส่ความข้างต้น ก็เท่ากับนักมวยเขาต่อยหมัดแย็บ หลอกล่อให้รําคาญ
แต่ยังไม่มีหมัดน็อค หมัดรุนแรง ที่จะทำร้ายคู่ต่อสู้ได้ ถ้าหมัดแย็บได้ผล ทำให้คู่ต่อสู้พะว้าพะวง..”
ถ้าอุปมาการใส่ความข้างต้น ก็เท่ากับนักมวยเขาต่อยหมัดแย็บ หลอกล่อให้รำคาญแต่ยังไม่มีหมัดน็อคหมัดรุนแรงที่จะทำร้ายคู่ต่อสู้ได้ ถ้าหมัดแย็บได้ผล ทำให้คู่ต่อสู้พะว้าพะวง ก็จะมีหมัดน็อคตามมาภายหลังแน่ๆ เมื่อเราได้อดทนทําความดีอย่างไม่หยุดยั้งอย่างนั้นแล้ว ถ้าอุปมาเป็นนักมวย ก็เป็นนักมวยชั้นเยี่ยม แต่อย่าเพิ่งพอใจอยู่เพียงแค่นี้ ควรสร้างบุญกุศลเพิ่มขึ้นด้วยทุกๆ วัน แล้วบุญนั้นจะตามมาช่วยเราอีกแรงหนึ่ง
ฉะนั้น ในระยะเวลาที่กำลังถูกสอบสวน หรือถูกใส่ความให้พยายามตั้งใจ ให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่ใจจะได้สงบนิ่ง ชุ่มเย็น ไม่หวั่นไหวง่าย
ถ้าทำครบ ๓ ประการนี้แล้ว ก็ทำให้ใจเย็นได้ จะช้าหรือเร็ว ก็ชนะแน่นอนและเป็นการชนะที่ใสสะอาด ไม่ก่อเวรกับใครด้วย
โบราณท่านสรุปวิธีต่อสู้เมื่อถูกใส่ความ ๓ ประการนี้ว่า
๑. อย่าหนี
๒. อย่าสู้
๓. ทำความดีของเราเรื่อยไป
ยิ่งกว่านั้น ในระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาทำความดี ให้พยายามพูดให้น้อย อย่าต่อความยาวสาวความยืด เพราะคําพูดผิดพลาดที่เกิดจากการพูดมาก ความพลั้งเผลอในคำพูด อาจเป็นชนวนให้เป็นเรื่องเสียหายใหญ่โตขึ้นได้ ถ้าทําได้ตามนี้ก็จะไม่เพิ่มปัญหา แก้ปัญหาได้ และพิสูจน์เนื้อแท้ของเราให้เห็นในที่สุด
ดูคนดีหรือคนเลว... ดูตรงไหน?
ถาม : เราจะสังเกตคนได้อย่างไร ว่าใครเป็นคนดีหรือคนเลว
ตอบ : คนจะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่ที่ใจของเขา ถ้าใจของเขาคิดดี ก็จะเป็นผลให้พูดดี ทำดีถ้าใจของเขาคิดชั่ว ก็จะส่งผลให้พูดชั่วทำชั่ว
โดยทั่วไปแล้ว มีคนบางคนชอบคิดชั่วๆ ตลอดเวลาแต่แสร้งทำเป็นพูดดี ทำดีต่อหน้าคน ถ้าลับหลังระหว่างอยู่ในกลุ่มคนเลวๆ ด้วยกันเขาก็จะพูดเลว ทำเลว คนประเภทนี้ถ้าคบกันเผินๆ เราก็จะหลงเข้าใจว่าเป็นคนดี
วิธีสังเกตคนว่าเป็นคนดีหรือคนเลว วิธีง่ายๆ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว และเราเองก็ไม่จําเป็นจะต้องมีฤทธิ์ มีอำนาจพิเศษ ถึงกับอ่านใจคนได้ คือให้สังเกตดูว่า เท่าที่ผ่านมาคนนั้นมีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ ผู้มีอุปการคุณ หรือต่อผู้มีคุณคนอื่นๆ หรือเปล่า บางคนแม้ว่าเขาอาจจะโง่ไปบ้าง การศึกษาต่ำไปบ้าง สะเพร่าไปบ้าง แม้ที่สุดอาจจะมีนิสัยเกะกะเกเรไปบ้าง แต่ถ้าเขายังดูแลพ่อแม่ ยังรับใช้ครูบาอาจารย์ ไม่ล่วงเกินผู้มีพระคุณให้เสียใจ ก็อย่าไปตั้งข้อรังเกียจเขาเลย เพราะนั่นแสดงว่าธาตุแท้จริงๆ ของเขายังดี ความกตัญญูของเขายังมีอยู่ มีทางฝึกให้เป็นคนดีได้
ถ้าจะรับคนประเภทนี้เอาไปเป็นเพื่อนผู้ร่วมงาน เป็นลูกน้อง เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เขาก็ยังมีแววเอาดีได้พยายามอดทนฝึกฝน ถ่ายทอดนิสัยดีๆ ให้กันไปเถอะ
แต่ตรงกันข้าม ใครก็ตามถึงแม้จะมีความรู้ความสามารถ มีฝีมือเก่งกาจแค่ไหน แต่ไม่รู้คุณคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณของพ่อแม่ คนประเภทนี้ เป็นประเภทเลวแท้ เพราะไม่ว่าใครๆ จะทําดีกับเขาอย่างไร ก็ไม่มีทางเกินพ่อแม่เขาได้ ขนาดพ่อแม่เขายังไม่เห็นความดี เขาก็ไม่มีทางเห็นความดีของใครได้ คนอย่างนี้คบด้วยก็อันตราย ไม่ควรเข้าใกล้
รู้จักหน้า ไม่รู้จักใจ อยากจะรู้ให้ได้ก็ต้องคบ ต้องดูกันไปนานๆ และใช้มาตรฐานคนดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องวัด คือคนดี ต้องไม่โง่(มีปัญญา) ไม่แล้งน้ำใจ(มีกรุณา) และไม่เป็นพิษเป็นภัย(มีความบริสุทธิ์) คุณสมบัติทั้ง ๓ อย่างนี้ คือคุณสมบัติของคนดีตามที่พระพุทธองค์ทรงวางแบบไว้ให้