ปีนี้วัดพระธรรมกายจัดพิธีทอดกฐิน ในวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2558 ซึ่งตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำ เพื่อหล่อหลวงปู่ทองคำองค์ที่ 8 นำไปประดิษฐาน ณ สถานที่ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งมโนปณิธานว่าจะบวชตลอดชีวิต
บุคคลใดได้ร่วมทำบุญกับหลวงปู่ ร่วมหล่อรูปเหมือนทองคำ ย่อมได้ผังสำเร็จตามแรงจิตอธิษฐาน ทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางที่ชอบประกอบด้วยกุศลมหาศาล เมื่อบารมีแก่กล้าได้บวชในร่มเงาพระพุทธศาสนา ผังสำเร็จที่ตั้งไว้ ก็จะช่วยประคับประคองให้สามารถบวชได้ตลอดชีวิต ไม่ละทิ้งการบวชเสียกลางคัน
ในหมู่มนุษย์เป็นเศรษฐีดีที่สุด ในหมู่ชาวพุทธเป็นพระประเสริฐที่สุด ออกบวชได้เพียงวันเดียว นับตั้งแต่พ่อแม่ มหาเศรษฐีผู้มีศักดิ์ใหญ่ตลอดเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ยังต้องน้อมนมัสการกราบไหว้
เฉกเช่นชีวิตของพระมงคลเทพมุนี หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่า จะบวชตลอดชีวิตตั้งแต่อายุเพียง 19 ปีเท่านั้น
โยมพี่สาวท่านเล่าว่า ตอนที่หลวงปู่ยังเป็นเด็กออกไปไถนา พอได้ยินกลองเพล ท่านจะนำวัวไปอาบน้ำให้เย็นสบาย แล้วปล่อยให้วัวกินหญ้าอย่างอิสระตามใจชอบ ระหว่างอาบน้ำให้วัว ท่านจะร้องเพลงไปด้วย เนื้อหาของเพลงมักวนเวียนอยู่กับพระนิพพาน
“ เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำอะไร อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้ชีวิตเป็นห่วงเป็นใย เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป เสร็จกิจสิบหกไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้ ”
พระมงคลเทพมุนี นามเดิมว่า สด มีแก้วน้อย เกิดที่อำเภอ สองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ในตระกูลพ่อค้าข้าว เมื่อโยมพ่อถึงแก่กรรมท่านได้ดูแลการค้าแทน มีเรือบรรทุกข้าวขนาดใหญ่ 2 ลำ และลูกเรืออีกหลายคน ล่องเรือค้าข้าวระหว่างอำเภอ สองพี่น้อง กับกรุงเทพ โดยซื้อข้าวมาขายให้กับโรงสีที่กรุงเทพบ้างที่อำเภอ นครไชยศรีบ้าง
วันหนึ่ง หลังจากค้าข้าวเสร็จ ท่านและลูกน้องล่องเรือเปล่ากลับบ้าน ในคืนนั้นล่องเรือไปด้วยความลำบาก น้ำในคลองไหลเชี่ยวคลองก็คดเคี้ยว กระทั่งถึงคลองเล็กๆ ซึ่งเป็นทางลัด ชาวบ้านเรียกว่า “ คลองบางอีแท่น ” อยู่เหนือตลาดใหม่แม่น้ำนครไชยศรี จังหวัดนครปฐม มีเรือของท่านเพียงลำเดียวที่แล่นเข้าไปในคลอง ท่านก็กลัวว่าจะโดนโจรปล้นทำร้าย ถ้าโจรปล้นจริงๆ ท่านจะโดนทำร้ายก่อน เพราะยืนอยู่ทางท้ายเรือ จึงบอกให้ลูกเรือมาถือท้ายเรือแทน ท่านหยิบปืนยาวไปอยู่หัวเรือแทน
แต่ขณะถ่อเรือแทนลูกเรืออยู่นั้น พลันเกิดความคิดขึ้นมาว่า “ คนพวกนี้เราจ้างเขาคนหนึ่งเพียง 11-12 บาทเท่านั้น ส่วนตัวเราเป็นทั้งเจ้าของทรัพย์และเรือ หากจะโยนความตายไปให้ลูกจ้างก่อน ดูจะเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์มากเกินไป ทำอย่างนี้ไม่ถูกไม่ควร จิตที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เปลี่ยนจากความกลัวให้เป็นความกล้า ท่านจึงตัดสินใจเด็ดขาดลงไปว่า ทรัพย์ก็ของเรา เรือก็ของเรา เราควรตายก่อนดีกว่า ส่วนลูกจ้างเมื่อภัยมาถึง เขาจะได้หนีเอาตัวรอดไปทำมาหาเลี้ยงบุตร ภรรยาได้อีก ” ท่านจึงกลับมาถือท้ายเรือเหมือนเดิม เรือยังคงแล่นไปเรื่อยๆ แต่ไม่เกิดเหตุร้ายแรง กระทั่งเห็นปากทางออก ก็รู้ว่าปลอดภัยแล้ว แต่ในใจของท่านยังคิดถึงความตายอยู่ตลอดเวลา ธรรมสังเวชเกิดขึ้นในใจว่า การทำมาหาเงินทองนี้ ช่างยากลำบาก ต่างคนต่างหาไม่มีเวลาหยุดกันทั้งนั้น ใครไม่เร่งรีบมั่งมี ก็เป็นคนต่ำคนเลว ไม่มีใครนับถือและคบหา บรรพชนเราก็ทำดังนี้ แต่ปรากฏแก่ใจเราว่าตายกันหมดแล้ว ไม่เห็นมีใครเอาทรัพย์ติดตัวไปได้เลย ตัวเราก็ต้องตายเหมือนกัน เมื่อนึกถึงความตายขึ้นมาอย่างนี้ก็กลัวอีก ลองนอนตายดูที่ท้ายเรือ เมื่อได้สติรู้สึกตัว ก็รีบลุกขึ้นมาจุดธูปอธิษฐานจิต
“ ขออย่าให้เราตายเสียก่อน ขอให้ได้บวชเสียก่อน ถ้าบวชแล้วจะไม่สึกตลอดชีวิต ”
นี่คือ มโนปณิธานของหลวงปู่ ซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น สัจจอธิษฐาน ยังฝังแน่นอยู่ในใจท่านตลอดเวลา ท่านจึงรีบทำมาค้าขายเก็บเงินทองได้มากพอสมควรไว้ให้โยมแม่และพี่น้อง แล้วจึงตัดสินใจออกบวช เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2449 ท่านได้อุปสมบท ณ วัดสองพี่น้อง ได้รับฉายาว่า จนฺสโร โดยมีพระอาจารย์ดี วัดประตูสาร อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพระอุปฌาย์
หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ (สด จนฺสโร) ได้ศึกษาธรรมะทั้งภาคปริยัติและปฏิบัติ กระทั่งถึงพรรษาที่ 12 ตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ณ วัดโบถส์บน บางคูเวียง ท่านเข้าไปนั่งสมาธิเจริญภาวนาในพระอุโบสถ โดยตั้งใจว่า ยังไม่ได้ยินเสียงกลองเพล จะไม่ยอมลุกจากที่นั่ง หลับตาภาวนา “ สัมมาอะระหัง ” ไปเรื่อยๆ จนความปวดเมื่อย อาการเหน็บชาค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อย เพิ่มมากขึ้น กระทั่งมีความรู้สึกว่า กระดูกทุกชิ้นแทบจะระเบิดหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ เกือบจะหมดความอดทน มีแต่ความกระวนกระวายใจ “ เอ...แต่ก่อนเราไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย พอตั้งสัจจลงไปว่า ถ้ากลองเพลไม่ดังขึ้นจะไม่ลุกจากที่ เหตุใดมันเพิ่มความกระวนกระวายเช่นนี้ ผิดกว่าครั้งก่อน ที่นั่งภาวนา เมื่อไหร่หนอกลองเพลจึงจะดังขึ้น ยิ่งคิดจิตก็ยิ่งแกว่งซัดส่ายมากขึ้น เกือบจะเลิกนั่งหลายครั้ง แต่เมื่อได้ตั้งสัจจไปแล้วท่านก็ทนนั่งต่อไป ”
ในที่สุดใจก็ค่อยๆสงบลงทีละน้อย แล้วรวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน เห็นเป็นดวงใสบริสุทธิ์ขนาดเท่าฟองไข่แดง ในใจชุ่มชื่นเบาสบาย เป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก ความปวดเมื่อยหายไป ในเวลาเดียวกันเสียงกลองเพลก็ดังขึ้น ตอนบ่ายหลังจากร่วมฟังพระปาติโมกข์กับเพื่อนภิกษุแล้ว ท่านก็เข้าไปในพระอุโบสถนั่งสมาธิอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ท่านตั้งสัตยาธิฐานว่า
“ แม้เลือดเนื้อจะแห้งเหือดหายไปเหลือแต่หนังเอ็นกระดูกก็ตามที ถ้านั่งสมาธิแล้วยังไม่บรรลุธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเห็น จะไม่ยอมลุกจากที่นี้ตลอดชีวิต ”
เมื่อตั้งจิตอธิฐานแล้ว ก็ตั้งจิตอ้อนวอนพระพุทธเจ้าว่า
“ ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณา โปรดข้าพระพุทธเจ้า ทรงประทานธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ อย่างน้อยที่สุด อย่างง่ายที่สุด ที่พระองค์ได้ทรงรู้แล้ว แก่ข้าพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพระองค์รู้แล้วเป็นโทษแก่พระศาสนาของพระองค์แล้ว ขอพระองค์อย่าทรงประทานเลย ถ้าเป็นคุณแก่ศาสนาของพระองค์แล้ว ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเป็นทนายศาสนาในศาสนาของพระองค์ไปตลอดชีวิต ”
เมื่อใจหยุดนิ่งเป็นจุดเดียวกัน ยิ่งมองยิ่งเห็นดวงสว่าง ซึ่งติดอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ขณะใจหยุดนิ่งตรงศูนย์กลางกาย ก็มีเสียงดังขึ้น แผ่วเบาจากกลางดวงสว่างนั้นว่า “ มัชฌิมาปฏิปทา ” ท่านมองกลางดวงสว่างไปเรื่อยๆ ดวงใหม่ผุดขึ้นมาแทนที่ไปตามลำดับ ในที่สุดก็เห็นกายต่างๆ ผุดซ้อนขึ้นมา กระทั่งเห็นธรรมกาย เป็นพระปฏิมากร เกศดอกบัวตูม เสียงพระธรรมกายกังวาน ขึ้นมาในความรู้สึกว่า
“ ถูกต้องแล้ว ”
เท่านั้นแหละ ความปีติสุขก็เกิดขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ท่านถึงกับรำพึงออกมาว่า
“ มันยากอย่างนี้เองถึงไม่บรรลุกัน ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ต้องหยุดเป็นจุดเดียวกัน เมื่อหยุดแล้วจึงดับ ดับแล้วจึงเกิด ”
นับแต่นั้นเป็นต้นมา วิชชาธรรมกาย ก็กลับมารุ่งโรจน์สว่างไสวอีกครั้ง เมื่อเราได้ร่วมหล่อทองหลวงปู่องค์ที่ 8 เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ สถานที่ ที่ท่านได้ตั้งมโนปณิธานว่าจะบวชตลอดชีวิต เราก็จะได้บุญอย่างมหาศาล เป็นผู้มีทรัพย์มาก ได้สมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง ได้ร่างกายที่แข็งแรงผิวพรรณผ่องใส ได้ลักษณะมหาบุรุษ ไปทุกภพทุกชาติ ตราบถึงที่สุดแห่งธรรม โอกาสทองของชีวิตมาถึงแล้ว ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 แม้ได้ร่วมทำบุญเพียงครั้งเดียว ก็ได้บุญใหญ่ไปนับกัปกัลป์
รัตนวนาลี