รักษามารยาท ขยาดการขอ

วันที่ 08 ธค. พ.ศ.2558

รักษามารยาท ขยาดการขอ


       สาเหตุที่ตรัสชาดก พระทศพลประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เมืองอาฬวี ทรงปรารภภิกษุผู้มากด้วยการขอ ทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้น แล้วตรัสถึงโบราณกบัณฑิตทั้งหลายไม่ยอมขอเพราะกลัวหิริโอตตัปปะร้าวฉาน ทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้..

 

      ครั้งหนึ่ง มีบุรุษหนุ่มผู้ปราดเปรื่องเรืองปัญญา ท่านมองเห็นภัยในวัฏสงสารว่าเกิด แก่ เจ็บตายนั้นเป็นของธรรมดา การทำมาหากินก็เป็นของมีกังวล การกำจัดทุกข์ทนเป็นของต้องทำ จึงต้องการชีวิตที่ปลอดกังวลจากเครื่องพันธนาการ ได้มุ่งสู่ป่าบวชเป็นบรรพชิตหาความสุขวิเวกอยู่ป่าอันรื่นรมย์มาช้านาน..

 

      วันหนึ่งฤาษีออกป่าสู่เมือง เนื่องด้วยอาหารรสเปรี้ยวเค็มเพื่อประโยชน์ต่อร่างกาย พระราชาพลันพบเห็นฤาษีแล้วเกิดความเลื่อมใสอาราธนานิมนต์ให้พำนักในพระราชอุทยาน ต่อมากาลล่วงฤดูฝน พระฤาษีประสงค์จะกลับป่าตามเดิมเพราะกิจของตนเสร็จมานานแล้ว อีกทั้งในเมืองก็แสนจะชุลมุนวุ่นวาย ไม่สงบเหมือนป่าดงพงไพร แต่ก็คิดว่า..

"ระหว่างที่เดินทางกลับป่า จำเป็นต้องใช้รองเท้าสักคู่และร่มสักคัน"

 

ฤาษีคิดจะทูลขอพระราชาก่อนที่จะจากลาไป แต่ครั้นเมื่อพระราชาเสด็จมา พระฤาษีพลันฉุกคิดได้ว่า..

"เอ..คนเราเมื่อเอ่ยปากขอของคนอื่นว่า ขอสิ่งนี้หน่อยนะก็ดูเหมือนคนร้องไห้ ถ้าคนที่เราขอเขาบอกกลับว่า ไม่มีให้หรอก ก็ชื่อว่าได้ร้องไห้ตอบ อืม! คนทั้งหลายอย่าได้เห็นเราเป็นผู้ร้องไห้และพระราชาต้องมาร้องไห้ตอบเลย เราควรหาที่ลับส่วนตัวขอของจากพระราชาจะดีกว่า"

 

จึงกราบทูลว่า..

"ข้าแต่มหาราช! อาตมภาพขอที่ลับสักหน่อยเถิด" พระราชารับสั่งทหารให้ถอยออกไปให้หมดพระฤาษีกำลังจะทูลขอพลันนึกขึ้นได้อีกว่า..
"เอ.. ถ้าเราทูลขอแล้วพระราชาไม่ทรงประทานให้ ไมตรีระหว่างเราก็จะแตกทำลายลง เช่นนี้แล้วอย่าขอเลยรึกัน!" จึงกราบทูลต่อว่า..

"ข้าแต่มหาราช! ขอพระองค์เสด็จก่อนเถิด วันพรุ่งนี้ค่อยดูอีกที"


      พระฤาษีชั่งใจ ผัดผ่อนพระราชาเช่นนี้ทุกวัน โดยเมื่อเอ่ยปากจะทูลขออยู่แล้ว เกิดละอายใจไม่ยอมทูลขอ เป็นอย่างนี้อยู่ถึง 12 ปี พระราชาทรงประสงค์ใคร่จะรู้ความในใจของฤาษีให้ได้สักทีสุดจะอดกลั้นได้อีกต่อไป ทรงดำริว่า..

"พระผู้เป็นเจ้าของเราขอที่ลับส่วนตัวสองต่อสอง แต่กลับไม่ยอมกล่าวอะไรเลย บัดนี้ก็ผ่านมา 12 ปีแล้ว หรือท่านจะหวังราชสมบัติของเรากระมัง วันนี้เราจะต้องรู้ให้ได้เสียที"

จึงตรัสกับพระฤาษีว่า..

"ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ! ถ้าท่านประสงค์สิ่งใด ข้าพเจ้าจะให้สิ่งนั้นทั้งหมด แม้จะเป็นราชสมบัติก็ตามเถิด ท่านโปรดอย่ากลัวเลย จงขอสิ่งที่ท่านต้องการมาเถิด"
"พระองค์จะให้สิ่งที่อาตมภาพทูลขอจริงๆ น่ะหรือ" ฤาษีทูลถามเพื่อให้แน่ใจ
"ข้าพเจ้าต้องให้แน่!" พระราชาตรัสยืนยัน
"อาตมาต้องเดินทางกลับ อยากได้รองเท้าสักคู่กับร่มหนึ่งคันเท่านั้น!"
พระราชาตรัสถามด้วยพระพักตร์ฉงนเป็นที่สุดว่า..

            "ท่านไม่อาจขอของเพียงแค่นี้มาตลอดเวลาถึง 12 ปีเชียวรึ ท่านทำอย่างนี้ทำไมกัน"
"คนที่ขอชื่อว่าร้องไห้ ถ้าเขาตอบกลับว่าไม่มี ก็ชื่อว่าร้องไห้ตอบ ถ้าพระองค์ถูกอาตมภาพทูลขอ แล้วพระองค์จะไม่พระราชทานไซร้ มหาชนจะเห็นอาตมภาพร้องไห้และพระองค์ร้องไห้ตอบอาตมาจึงต้องการที่ลับส่วนตัว ข้าแต่มหาราช! ผู้ขอนั้นย่อมได้ 2 อย่าง คือได้กับไม่ได้เท่านั้น อาตมภาพระลึกถึงไมตรีระหว่างกัน จึงมิอาจขอได้" ฤาษีทูลตอบ"ข้าพเจ้าขอถวายวัวแดงพันตัวแก่ท่าน!" พระราชาตรัส

          "อาตมภาพไม่ต้องการวัตถุกาม พระองค์โปรดประทานสิ่งที่อาตมภาพทูลขอเถิด"ฤาษีรับรองเท้ากับร่มจากพระราชาแล้วก็เตรียมออกเดินทางสักที หลังจากรอคอยของสองสิ่งนี้มาถึง 12 ปี แล้วประทานโอวาทแด่พระราชาให้ทรงไม่ประมาทในธรรม ให้หมั่นรักษาศีล แม้พระราชาจะทรงวิงวอนให้พระฤษีอยู่ต่อ แต่พระฤษีก็ไม่รอต่อไปแล้ว พระฤาษีกลับสู่ป่าได้ไม่นานก็ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้น ละโลกแล้วไปพักที่พรหมโลก..

 

ประชุมชาดก
          พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า ราชาในครั้งนั้นมาเป็นพระอานนท์ส่วนดาบ มาเป็นตถาคตแลจากชาดกเรื่องนี้ จะเห็นว่า การเอ่ยปากขอสิ่งใดกับใครนั้น เป็นการเสี่ยงต่อไมตรี ต้องพิจารณาให้ดี หากผู้ขอเอ่ยปากขอ แล้วผู้ให้มิเต็มใจให้แต่จำต้องให้ไป ผู้ให้ก็ขยาดผู้ขอ ไมตรีอาจคลายลงได้ หากผู้ขอเอ่ยปากขอแล้วไม่ได้ ผู้ขออาจสิ้นไมตรีกับผู้ให้ ทางที่ดีพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ขอพร่ำเพรื่อ เมื่อสหายรู้ความต้องการแล้วอยากให้ก็ให้ ถ้าเขาไม่อยากให้ ไมตรีก็ไม่เสียไป"นิสัยระมัดระวังกาย วาจา ใจ และไม่ไปสร้างความรำคาญให้ใคร" จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในศีลบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.032000199953715 Mins