หลวงพ่อสอนอะไร (ตอนที่ ๒๑)
การที่พ่อแม่จะเลี้ยงลูกให้ได้ดีนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ความรักอย่างเดียว แต่พ่อแม่จะต้องสามารถเป็นต้นแบบให้กับลูก และเป็นคนที่ช่างสังเกตเพื่อจะหยิบจับสิ่งรอบตัวมาสอนลูกอันเป็นที่รักของตนได้
หลวงพ่อทั้งสอง ท่านดูแลสามเณรไม่ใช่ในฐานะของครูบาอาจารย์เท่านั้น แต่ท่านได้ทุ่มเทเอาใจใส่เสมือนสามเณรคือลูก ๆ ของท่าน ที่ยิ่งกว่านั้นหากจะว่าไปแล้ว อาตมามองว่าท่านมีความปรารถนาดีต่อสามเณรยิ่งกว่าพ่อแม่เสียอีก ทำไมจึงกล่าวอย่างนั้น ก็เพราะว่า พ่อแม่โดยทั่วไปจะรักและห่วงใยลูกเพียงในชาตินี้ พ้นจากชาตินี้แล้วก็ตัวใครตัวมัน แต่หลวงพ่อทั้งสองท่านมองไปถึงชาติหน้าและภพชาติต่อ ๆ ไป ท่านจึงคอยกำชับพระพี่เลี้ยงให้คอยตอกย้ำเป้าหมายชีวิตให้กับสามเณรอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่หลวงพ่อท่านต้องการจะให้สามเณรวัดพระธรรมกายเป็นคือ เป็นผู้มีการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้นหากมีอะไรที่จะทำให้เป้าหมายนี้บรรลุผลท่านจะรีบลงมือสั่งการ แล้วมาติดตามงานทันที
มีอยู่วันหนึ่งขณะที่หลวงพี่สุรพลและพระพี่เลี้ยงกำลังพาสามเณรพัฒนาแผนก หลวงพ่อทัตตชีโวได้เดินมาดู ท่านยืนสังเกตอยู่สักครู่ แล้วก็เรียกพระพี่เลี้ยงไปถามว่า
“ ทำไมสามเณรของเราถึงตัวเล็กจัง ”
“ เด็กต่างจังหวัด มักเป็นอย่างนี้ครับหลวงพ่อ จะไม่ค่อยตัวโต ” อาตมารีบตอบ
หลวงพ่อมองหน้าแล้วพูดเสียงเย็น ๆ ว่า “ ท่านตอบอย่างนี้ไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา เพราะมันไม่ถูก จุด ”
“ ครอบครัวของท่านมีญาติพี่น้องกี่คน ” หลวงพ่อถามอาตมา
“ ตอนยังเด็กก็หลายคนครับ แต่พอโตขึ้นก็แยกย้ายกันไปครับ ” อาตมาตอบแบบงง ๆ ว่าทำไมพูดเรื่องเณรตัวเล็กอยู่ดี ๆ แต่จู่ ๆ ท่านมาถามเรื่องครอบครัว
“ ตอนที่อยู่กันหลายคน ท่านนึกออกไหมว่าอาหารการกินของท่านเป็นอย่างไร ” หลวงพ่อถามต่อไปอีก
อาตมาก็ต้องนึกภาพสมัยคุณตายังมีชีวิตอยู่ ที่บ้านจะเป็นครอบครัวใหญ่มาก นั่งทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตานี่อย่างต่ำก็ ๑๐ ชีวิต เนื่องจากคุณตาอายุมาก อาหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกผักลวก ผักต้ม จิ้มน้ำพริก หรือไม่ก็พวกปลาเนื้ออ่อน ไม่ค่อยมีเนื้ออะไรมาก พอบรรยายให้หลวงพ่อฟังอย่างนี้ ท่านหัวเราะเลย
“ นั่นไง เอ็งถึงตัวเล็ก ครอบครัวที่ให้เด็กกินข้าวกับผู้ใหญ่ มีข้อดีคืออยู่กันอบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ข้อเสียคือหากไม่รู้เรื่องโภชนาการ ก็จะให้เด็กกินอาหารผู้ใหญ่ ซึ่งมันไม่ถูกหลัก เด็กอยู่ในวัยเจริญเติบโตต้องการสารอาหาร แต่ไปกินอาหารผู้ใหญ่ที่ต้องการเพียงให้ย่อยง่าย แต่ไม่ได้ไปเสริมสร้างอะไรแล้ว มันจึงไม่โต เข้าใจหรือยัง ”
ก่อนที่ท่านจะเดินไป ท่านได้สั่งการให้ประสานงานกับโรงครัวของวัดให้ดำเนินการในวันรุ่งขึ้นทันที พร้อมกับทิ้งท้ายไว้ว่า
“ คอยดูนะหลวงพ่อจะทำให้เณรพวกนี้ ตัวโตให้ได้ ”
วันรุ่งขึ้นก็เกิดเรื่องสนุกสนานเบิกบานที่แผนกสามเณรคือ หลวงพี่สุรพลสั่งให้สามเณรออกมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน ให้มาเข้าแถวรับไข่ต้มรูปละ ๒ ฟองพร้อมกับนมคนละหนึ่งเหยือก จากวันนั้นเป็นต้นมา สามเณรก็จะต้องฉันไข่ต้มและนมหนึ่งเหยือกทุกเช้า โดยที่แผนกได้แบ่งบุญให้สามเณรโตต้มไข่และชงนมเอง
เวลาผ่านไปไม่นานสามเณรกว่า ๘๐ % สูงใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งหลายรูปตอนที่มาใหม่ ๆ ตัวเล็ก ๆ แต่ทุกวันนี้ เวลาคุยกันอาตมาต้องแหงนคอสนทนาด้วย
เพราะความเอาใจใส่ของหลวงพ่อแท้ ๆ จึงทำให้สามเณรในวันนั้น กลายมาเป็นหลวงพี่ที่สง่างามในวันนี้
อ้อ เกือบลืมไป มีเกร็ดเล่าให้ฟังนิดหน่อยถึงอานิสงส์ของการฉันไข่ต้ม ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ แต่มีผลต่อการปฏิบัติธรรมทีเดียว กล่าวคือ มีสามเณรรูปหนึ่งท่านนั่งธรรมะแล้วนึกดวงแก้วไม่ออก นึกอะไรก็ไม่ถนัด ในที่สุดท่านก็เลยนึกไข่ต้มนี่แหละ เพราะฉันอยู่ทุกเช้า ปรากฎว่าพอนึกไข่ต้มเท่านั้นภาพเกิดอย่างชัดเจน และอาศัยไข่ต้มเป็นนิมิตเบื้องต้น ต่อมาทำให้ท่านเห็นดวงใส เห็นองค์พระภายในได้
อย่าถามนะว่าองค์นี้เป็นใคร จ้างก็ไม่บอกว่าปัจจุบันท่านบวชได้หลายพรรษาแล้วและจบเปรียญ ๙ ซะด้วย
ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก
อาสภกันโต ภิกขุ
๙ ส.ค. ๕๙
anacaricamuni.blogspot.ae