เห็นพระธรรมกายด้วยตาเนื้อ

วันที่ 17 กย. พ.ศ.2559

เห็นพระธรรมกายด้วยตาเนื้อ,พระมงคลเทพมุนี(สด จนทสโร),บทความประจำวัน

 

เห็นพระธรรมกายด้วยตาเนื้อ

 

เห็นพระธรรมกายด้วยตาเนื้อ ณ น่านฟ้าวัดปากน้ำ

เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่เป็นที่โจษขานกันเป็นอย่างมาก ซึ่งจะถือว่าเป็นเรื่อง Talk of the Town ในช่วงนั้นก็ได้ เพราะสมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ หนังสือพิมพ์ก็ได้ตีพิมพ์รูปของท่าน และเรื่องราวความมหัศจรรย์ในวันวิสาขบูชา จนกลายเป็นความฮือฮาที่แพร่สะพัดไปทั่วประเทศ โดยเล่าถึงการปรากฏของพระพุทธเจ้าบนท้องฟ้า ในวันเวียนเทียนสมโภช ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการตีพิมพ์เรื่องราวของท่านลงหนังสือพิมพ์ หลวงปู่ท่านก็มีกิตติศัพท์เลื่องลือกึกก้องว่า ท่านเป็นพระที่เก่งในทางวิปัสสนามากถึงระดับที่ว่า สามารถอาราธนาพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานมาให้เห็นด้วยตาเนื้อได้แบบจะ ๆ ซึ่งเรื่องราวนี้..เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเป็นประจำในพิธีเวียนเทียนในวันวิสาขบูชา และวันมาฆบูชา ซึ่งในช่วงพิธีเวียนเทียน ตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็น หลวงปู่จะให้พวกที่ทำวิชชาทั้งหมดมาพร้อมกันในโรงงานทำวิชชา แม้ว่าช่วงเวลานั้นจะไม่ใช่เวรของตนก็ตาม จากนั้นก็ใช้วิชชาธรรมกายช่วยกันอาราธนาพระธรรมกายให้มาปรากฏเหนือน่านฟ้าวัดปากน้ำ อีกทั้งยังกลั่นแก้ธาตุธรรมของผู้มาเวียนเทียนให้สะอาดบริสุทธิ์ และเปิดเห็น จำ คิด รู้ เพื่อให้เห็นพระธรรมกาย ซึ่งผู้ที่จะเห็นปรากฏการณ์นี้ได้นั้น จะต้องอยู่ในอาการสงบ สำรวมกาย วาจา ใจ ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิในขณะเวียนเทียนด้วย ซึ่งในแต่ละปี ก็จะมีสาธุชนจำนวนมากได้ปาฏิหาริย์ ณ น่านฟ้าวัดปากน้ำแบบจะ ๆ ซึ่งบางคนก็เห็นพระปฏิมากรลอยอยู่เหนือน่านฟ้า ปางสมาธิบ้าง ปางประทานพรบ้าง บางคนก็เห็นองค์พระจำนวนมหาศาลลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ซึ่งพอเห็นแล้วก็ปีติขนลุกชูชัน จนบางคนถึงกับปล่อยโฮร้องไห้ออกมาด้วยความดีอกดีใจ หรือบางคนแม้เลิกเวียนเทียนแล้ว ขณะนั่งเรือจ้างออกจากวัดไปถึงท่าน้ำตลาดพลู แต่พอเหลียวหลังกลับไปดูเหนือพระอุโบสถ ก็ยังสามารถเห็นพระพุทธเจ้าแก้วใสลอยอยู่เหมือนเดิม ซึ่งเรื่องนี้มีพยานที่มีตัวตนจริงที่ได้พบเห็นเป็นจำนวนมากมาย อีกทั้งยังมีหลักฐานอยู่ในหนังสือของหลวงภูมินาถสนิท (สืบ ตังครัตน์) ซึ่งเป็นมหาดเล็กคนโปรดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ว่า... 
 
“ครั้งหนึ่งก่อนวันวิสาขบูชา พ.ศ. 2489 ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าจากหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า พิธีเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาปีนี้ หลวงพ่อได้อาราธนา อัญเชิญเสด็จพระพุทธองค์ ให้เสด็จมาปาฏิหาริย์ มาทรงเป็นประธานในพิธีด้วย ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรวม 300 คน เดินเวียนไปจวนจะครบสามรอบ มีอุบาสกผู้หนึ่งเอะอะขึ้นว่า เขาได้เห็นพระพุทธนิมิตปาฏิหาริย์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า และชี้ให้ทุกคนดูในขณะนั้น”
 
...และที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้น มีบุคคลที่ไม่เชื่อและไม่ศรัทธา เดินทางมาพิสูจน์เป็นจำนวนมาก เช่น 
 
คุณสุธรรม จันทร์กลัด อดีตผู้พิพากษา หัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ซึ่งได้กล่าวยืนยันว่า ปกติท่านเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ถึงขนาดทักท้วงว่า พระพุทธเจ้าท่านเสด็จปรินิพพานไปนานถึง 2,500 กว่าปีแล้ว ทำไมยังสามารถเสด็จมาให้เห็นได้อีก และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ท่านเดินทางไปพิสูจน์ โดยพาภรรยา คือ คุณพะยอม ไปเวียนเทียนด้วยกัน และสุดท้ายก็ได้เห็นปาฏิหาริย์เหนือน่านฟ้าจริง ๆ ด้วยตาตัวเอง และทันทีที่เห็น ท่านก็รีบคุกเข่ากราบลงกับพื้นพระอุโบสถวัดปากน้ำทันที 3 ครั้ง จากนั้นก็รีบตรงเข้าไปในพระอุโบสถ แล้วไปก้มกราบที่หน้าตักของหลวงปู่ ทั้งที่ขนยังลุกซู่ไม่หาย แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานฝากเนื้อฝากตัว ขอให้ได้เกิดมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ทุกชาติ
 
หรือแม้แต่ คุณโชติ วนิกเกียรติ เดิมเป็นคนที่ไม่เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่วัดปากน้ำเลย ถึงขนาดพูดกับพี่สาวของตัวเอง คือ คุณชัช วินิกเกียรติ ที่มาวัดปากน้ำเป็นประจำว่า วัดใกล้ ๆ บ้านก็มี ทำไมต้องไปทำบุญที่วัดปากน้ำด้วย เป็นเพราะติดใจพระรูปใดรูปหนึ่ง หรือถูกหลวงปู่หลอกหรือเปล่า... แต่พอคุณโชติได้เดินทางมาพิสูจน์ และได้มาเห็นปาฏิหาริย์เหนือน่านฟ้าในวันเวียนเทียนด้วยตาตัวเองแบบจะ ๆ ก็เลยเข้าใจ และรีบเข้าไปขออนุญาตกราบที่เท้าหลวงปู่ท่าน เพื่อขออโหสิกรรมที่เข้าใจผิด และหลังจากนั้น คุณโชติก็เปลี่ยนใจหันมาเข้าวัด ปฏิบัติธรรม และกลายเป็นอุปัฏฐากวัดปากน้ำ โดยมาทำบุญถวายน้ำอ้อยแด่หลวงปู่อยู่เป็นประจำ...
 
จากปรากฏการณ์เหนือน่านฟ้านี้เอง เป็นการประกาศอนุภาพของพระรัตนตรัย และยกใจมหาชนผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส ให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หรือที่เลื่อมใสแล้ว ให้เกิดความเลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านได้ดำเนินรอยตามการประกาศธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงใช้วิธีการสอนอยู่ 3 อย่าง ที่เรียกว่า ปาฏิหาริย์ 3 เพื่อลดทิฐิมานะผู้เห็นผิดให้กลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งปาฏิหาริย์ 3 อย่าง ได้แก่ อิทธิปาฏิหาริย์  (การแสดงฤทธิ์ที่พ้นวิสัยของสามัญมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์) อาเทสนาปาฏิหาริย์ (การดักใจทายใจคนได้อย่างน่าอัศจรรย์) และ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (คำสั่งสอนจูงใจคนให้นิยมเชื่อถือตามได้อย่างน่าอัศจรรย์)

ดังในครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ตอนที่เสด็จไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเสด็จกลับลงมาในวันมหาปวารณา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้พุทธานุภาพเปิดโลกทั้ง 3 ทำให้มนุษย์และเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย สามารถมองเห็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มาส่งพระองค์ ซึ่งเป็นเหมือนกองทัพชาวสวรรค์ที่เลื่อนลอยลงมาจากนภากาศ มีความยิ่งใหญ่ประดุจพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จออกยาตราทัพ โดยเหล่าเทวดาได้ลงมาทางบันไดทอง มหาพรหมลงมาทางบันได้เงิน ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงทางบันไดแก้วมณี 

ขณะนั้นพระองค์ทรงเปล่งรัศมีสว่างไสวเรืองรองไปทั่วโลกธาตุ ทำให้เหล่าสรรพสัตว์ที่อยู่บนโลกทั้ง 3 คือ สวรรค์ มนุษย์ นรก สามารถเห็นกันและกันในเวลาเดียวกัน ทั้งเทวดา มนุษย์ สัตว์นรก สัตว์เดียรัจฉาน อสุรกาย ต่างเห็นกันและกันด้วยตาเนื้อเป็นอัศจรรย์ด้วยพุทธานุภาพ ซึ่งเมื่อสรรพสัตว์เห็นความอัศจรรย์เช่นนี้แล้ว ก็ต่างเกิดมหาปีติ พากันตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า เพราะเห็นพุทธานุภาพนั้น อีกทั้งบางคัมภีร์ยังกล่าวไว้ว่า แม้แต่มดซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ยังมีความรู้สึกนึกคิดปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วย...  

 
Cr. ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.027013385295868 Mins