ในสมัยก่อน...ที่วัดปากน้ำ..มีงูชุกชุมมาก ซึ่งถ้าชุมแล้วต่างคนต่างอยู่ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่.!! เจ้างู..มันเล่นมากัดพระ กัดเณร กัดแม่ชีกันเยอะ ถึงขนาดกลายเป็นแรงบันดาลใจทำให้แม่ชีหลายคนต้องหัดจับงูให้เป็น อย่างเช่น แม่ชีปุก..ท่านจะมีบ่วงเอาไว้คล้องคองูโดยเฉพาะ ซึ่งพอคล้องได้ก็จะเอาไปปล่อย หรืออย่างแม่ชีนาค..ท่านก็โดนงูกัดเป็นอาชีพ จนเจ้าหน้าที่สถานเสาวภาจำหน้าท่านได้ เพราะต้องนั่งเรือไปฉีดเซรุ่มแก้พิษงูอยู่เป็นประจำ
เรื่องก็มีอยู่ว่า แม่ชีนาค..ท่านเป็นแม่ชีที่ได้ธรรมกาย มีญาณทัสสนะแม่นยำมาก เพราะท่านรักการปฏิบัติธรรม และมีอัธยาศัยชอบไปปักกลดอยู่ในป่าช้า ที่เขาเก็บศพยังไม่ได้เผาเอาไว้ เป็นป่าช้าที่อยู่ในวัดปากน้ำ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตึกคณะเนกขัมม์) ซึ่งป่าช้าที่ว่านี้..มีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด ดังนั้นจึงเป็นที่ซ่องสุมของบรรดางูต่าง ๆ อย่างมากมาย แต่เนื่องจากป่าช้าเป็นสถานที่เงียบสงบ เย็นสบาย จึงทำให้แม่ชีนาคชอบไปมาก และพอไปทีไร..ก่อนจะเข้าที่นั่งสมาธิ ท่านจะสวดเจริญพระพุทธมนต์อิติปิโส 108 จบก่อน
และที่น่าทึ่ง..ก็คือ ท่านจะสวดไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องมีลูกประคำมานั่งนับเลย ซึ่งโดยปกติเวลาคนทั่วไปสวดครบหนึ่งจบเขาจะเลื่อนลูกประคำเพื่อนับไปลูกหนึ่ง ซึ่งพอเลื่อนไปจนครบทั้งเส้น ก็เท่ากับสวดครบ 108 จบพอดี (เพราะสร้อยประคำเส้นหนึ่งมีลูกประคำอยู่ 108 ลูก) แต่เนื่องจากแม่ชีนาคมีวิชชาธรรมกายที่หลวงปู่สอน ท่านจึงไม่ต้องนับลูกประคำให้เสียเวลา คือ ท่านจะเข้ากลางสวดไปเรื่อย ๆ พอครบ 108 จบ พระธรรมกายในตัวท่านจะบอกว่าครบพอดี โดยไม่ขาดไม่เกิน และนี่ก็คือ ความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกาย !!!
..อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่แม่ชีนาคนั่งสมาธิอยู่ ท่านก็เห็นในญาณว่า..วันนี้ท่านจะโดนงูเห่ากัด แถมงูที่ว่านี้..จะยกพวกเลื้อยเข้าจู่โจมรุมกัดท่านที่แขนพร้อมกันทีเดียวถึง 3 ตัว !!! แถมท่านยังเห็นว่างูมันจะกัดท่านที่แขนในตำแหน่งไหนอีกด้วย ซึ่งเมื่อแม่ชีนาคเห็นดังนั้น ก็รีบบอกโยมแผ้วว่า.. “น้า ๆ ฉันเห็นในญาณนะ.. ว่าวันนี้ฉันจะโดนงูกัดทีเดียว 3 ตัว” เมื่อโยมแผ้วได้ฟังดังนั้น ก็พากันไปเรียนให้หลวงปู่ทราบ ซึ่งแม่ชีนาคก็รายงานหลวงปู่ว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ..ลูกเห็นในญาณว่า วันนี้ตอนไปเจริญพระพุทธมนต์ในป่าช้า จะโดนงูเห่ากัด 3 ตัว”
พอหลวงปู่ได้ฟังดังนั้น ท่านก็พูดว่า.. “มันจะทำได้เฉพาะเวลาทุ่มหนึ่ง ถ้าเลยทุ่มไปแล้วนี่ มันจะทำไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นนี่ก่อนเวลาทุ่มหนึ่ง เอ็งอย่าออกไปไหนเด็ดขาด..!!! ” (ที่หลวงปู่ท่านห้ามออกไป เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่วิบากกรรมส่งผล ซึ่งถ้าช่วงนี้..เราอยู่ในที่ของเรา และก็อยู่ในธรรม วิบากกรรมมันก็จะผ่านไป)
แต่หลวงปู่ท่านก็เผื่อเหนียวไว้ จึงสั่งให้โยมแผ้วไปเตรียมเรือ และให้เอาน้ำมันใส่เรือ ซึ่งโยมแผ้วก็ได้เตรียมเรือไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะสมัยนั้นต้องเดินทางกันทางน้ำ คือ ถ้าโดนงูกัด ก็จะได้รีบพาไปสถานเสาวภาได้ทันเวลา...
แต่อนิจจา..เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนแม่ชีนาคจะออกไปปักกลดเจริญพระพุทธมนต์ในป่าช้า ท่านก็พยายามดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก แต่ด้วยวิบากกรรมอย่างไรก็ไม่ทราบ ตาท่านลาย ทำให้มองเห็นเข็มนาฬิกาเลย 1 ทุ่มไปแล้ว ท่านถึงได้ตัดสินใจออกไป แต่จริง ๆ แล้วขณะนั้นยังไม่ถึง 1 ทุ่มเลย และทันใดนั้นเองสักครู่เดียว..หลังจากที่แม่ชีนาคปักกลดเสร็จ อยู่ ๆ แม่ชีนาคก็ตะโกนเสียงหลงขึ้นมาเลยว่า.. “น้าแผ้ว ๆ นี่ฉันโดนกัดแล้ว 3 ตัว !!!”
จากนั้นจึงไม่รอช้า รีบพากันไปกราบหลวงปู่ ซึ่งสิ่งแรกที่หลวงปู่ทำ ก็คือ รีบมองดูนาฬิกา และก็พูดขึ้นทันทีว่า “นี่มันยังไม่ถึง 1 ทุ่มนี่” แล้วท่านก็หันไปบอกแม่ชีนาคว่า... “กูบอกมึงแล้วนะว่าให้เลยทุ่มก่อน นี่ยังไม่ถึงทุ่มเลย..!! จากนั้นหลวงปู่ก็สั่งโยมแผ้วให้ติดเครื่องพามาชีนาคใส่เรือไปส่งสถานเสาวภา
และมีอีกครั้งหนึ่งที่หลวงปู่ท่านได้เจอกับตัวเอง ในขณะที่ท่านกำลังขุดแก้วบรมจักร ซึ่งแก้วดวงนี้ หลวงปู่บอกว่า หากขุดขึ้นมาได้ จะสามารถเลี้ยงคนได้ทั้งโลก โดยไม่ต้องทำมาหากิน และชาวโลกจะได้เอาเวลามาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ซึ่งในช่วงที่ขุดแก้วนั้น.. หลวงปู่ท่านนั่งอยู่ที่ปลายแคร่แบบหมิ่น ๆ นั่งคุมพวกที่ได้ธรรมกายทำวิชชา เพื่อเรียกให้แก้วขึ้นมา ซึ่งหนึ่งในนั้น.. ก็มีหลวงตาอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งเวลาทำวิชชาท่านก็จะตะบันหมากไปด้วยเคี้ยวไปด้วย หลวงปู่ท่านก็จะมักดุท่านบ่อย ๆ ว่า “เดี๋ยววิชชาก็ไม่ทันเขาหรอก” พอหลวงปู่ดุทีหนึ่ง ท่านก็หยุดตะบันทีหนึ่ง
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งตะบันหมากอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังตุ๊บ คือ มีงูเห่าตัวใหญ่ขนาดเท่าน่อง หล่นลงมาจากต้นข่อย จากนั้นเสียงตะบันหมากก็หยุดทันที หลวงปู่ท่านก็เลยสงสัยว่าทำไมวันนี้เสียงตะบันหมากหยุดไปนาน ท่านจึงหันไปดูซึ่งก็ปรากฏว่า หลวงตาหยุดตะบันหมาก และกำลังจ้องไปที่ตางูเห่าตัวนั้น งูเห่าตัวนั้น..ก็จ้องกลับมาที่ตาของหลวงตา ซึ่งหลวงตาเล่าว่า “เราก็ตรึกอยู่ในธรรมกาย..แล้วก็จ้อง ..งูมันจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่เราก็ทำอะไรงูไม่ได้เหมือนกัน..”
แต่กับหลวงปู่.. ซึ่งมีวิชชาเชี่ยวชาญกว่ามาก... ทันทีที่หลวงปู่หันไปมองงู.. งูมันก็หันเปลี่ยนทิศมองมาที่หลวงปู่แทน และทันทีที่สายตาของหลวงปู่สบกับตางู โยมแผ้วก็ได้เห็นแสงสว่างพุ่งปร๊าดออกจากตาของหลวงปูเหมือนแสงจากลำไฟฉายพุ่งไปที่ตางูทันที จากนั้นงูก็ตกใจสุดขีด สะดุ้งพุ่งตัวข้ามรั้วสังกะสีหนีไปทันที
หลังจากนั้นหลวงปู่ท่านสั่งพวกที่ทำวิชชาว่า ให้เข้าที่ไปตามหัวหน้างู บอกหัวหน้างูไปเจรจากระจายข่าวบอกลูกน้องงูทั้งหลายว่า ให้อพยพไปจากวัดปากน้ำเสีย คือ ย้ายที่อยู่ไปเลย เพื่อขอเวนคืนที่ดินตรงนี้ให้พระ แม่ชี เขาปฏิบัติธรรมกัน นับจากวันนั้นงูก็ไม่มาอีกเลยเป็นอัศจรรย์...
เรื่องก็มีอยู่ว่า แม่ชีนาค..ท่านเป็นแม่ชีที่ได้ธรรมกาย มีญาณทัสสนะแม่นยำมาก เพราะท่านรักการปฏิบัติธรรม และมีอัธยาศัยชอบไปปักกลดอยู่ในป่าช้า ที่เขาเก็บศพยังไม่ได้เผาเอาไว้ เป็นป่าช้าที่อยู่ในวัดปากน้ำ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตึกคณะเนกขัมม์) ซึ่งป่าช้าที่ว่านี้..มีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด ดังนั้นจึงเป็นที่ซ่องสุมของบรรดางูต่าง ๆ อย่างมากมาย แต่เนื่องจากป่าช้าเป็นสถานที่เงียบสงบ เย็นสบาย จึงทำให้แม่ชีนาคชอบไปมาก และพอไปทีไร..ก่อนจะเข้าที่นั่งสมาธิ ท่านจะสวดเจริญพระพุทธมนต์อิติปิโส 108 จบก่อน
และที่น่าทึ่ง..ก็คือ ท่านจะสวดไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องมีลูกประคำมานั่งนับเลย ซึ่งโดยปกติเวลาคนทั่วไปสวดครบหนึ่งจบเขาจะเลื่อนลูกประคำเพื่อนับไปลูกหนึ่ง ซึ่งพอเลื่อนไปจนครบทั้งเส้น ก็เท่ากับสวดครบ 108 จบพอดี (เพราะสร้อยประคำเส้นหนึ่งมีลูกประคำอยู่ 108 ลูก) แต่เนื่องจากแม่ชีนาคมีวิชชาธรรมกายที่หลวงปู่สอน ท่านจึงไม่ต้องนับลูกประคำให้เสียเวลา คือ ท่านจะเข้ากลางสวดไปเรื่อย ๆ พอครบ 108 จบ พระธรรมกายในตัวท่านจะบอกว่าครบพอดี โดยไม่ขาดไม่เกิน และนี่ก็คือ ความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกาย !!!
..อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่แม่ชีนาคนั่งสมาธิอยู่ ท่านก็เห็นในญาณว่า..วันนี้ท่านจะโดนงูเห่ากัด แถมงูที่ว่านี้..จะยกพวกเลื้อยเข้าจู่โจมรุมกัดท่านที่แขนพร้อมกันทีเดียวถึง 3 ตัว !!! แถมท่านยังเห็นว่างูมันจะกัดท่านที่แขนในตำแหน่งไหนอีกด้วย ซึ่งเมื่อแม่ชีนาคเห็นดังนั้น ก็รีบบอกโยมแผ้วว่า.. “น้า ๆ ฉันเห็นในญาณนะ.. ว่าวันนี้ฉันจะโดนงูกัดทีเดียว 3 ตัว” เมื่อโยมแผ้วได้ฟังดังนั้น ก็พากันไปเรียนให้หลวงปู่ทราบ ซึ่งแม่ชีนาคก็รายงานหลวงปู่ว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ..ลูกเห็นในญาณว่า วันนี้ตอนไปเจริญพระพุทธมนต์ในป่าช้า จะโดนงูเห่ากัด 3 ตัว”
พอหลวงปู่ได้ฟังดังนั้น ท่านก็พูดว่า.. “มันจะทำได้เฉพาะเวลาทุ่มหนึ่ง ถ้าเลยทุ่มไปแล้วนี่ มันจะทำไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นนี่ก่อนเวลาทุ่มหนึ่ง เอ็งอย่าออกไปไหนเด็ดขาด..!!! ” (ที่หลวงปู่ท่านห้ามออกไป เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่วิบากกรรมส่งผล ซึ่งถ้าช่วงนี้..เราอยู่ในที่ของเรา และก็อยู่ในธรรม วิบากกรรมมันก็จะผ่านไป)
แต่หลวงปู่ท่านก็เผื่อเหนียวไว้ จึงสั่งให้โยมแผ้วไปเตรียมเรือ และให้เอาน้ำมันใส่เรือ ซึ่งโยมแผ้วก็ได้เตรียมเรือไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะสมัยนั้นต้องเดินทางกันทางน้ำ คือ ถ้าโดนงูกัด ก็จะได้รีบพาไปสถานเสาวภาได้ทันเวลา...
แต่อนิจจา..เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนแม่ชีนาคจะออกไปปักกลดเจริญพระพุทธมนต์ในป่าช้า ท่านก็พยายามดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีก แต่ด้วยวิบากกรรมอย่างไรก็ไม่ทราบ ตาท่านลาย ทำให้มองเห็นเข็มนาฬิกาเลย 1 ทุ่มไปแล้ว ท่านถึงได้ตัดสินใจออกไป แต่จริง ๆ แล้วขณะนั้นยังไม่ถึง 1 ทุ่มเลย และทันใดนั้นเองสักครู่เดียว..หลังจากที่แม่ชีนาคปักกลดเสร็จ อยู่ ๆ แม่ชีนาคก็ตะโกนเสียงหลงขึ้นมาเลยว่า.. “น้าแผ้ว ๆ นี่ฉันโดนกัดแล้ว 3 ตัว !!!”
จากนั้นจึงไม่รอช้า รีบพากันไปกราบหลวงปู่ ซึ่งสิ่งแรกที่หลวงปู่ทำ ก็คือ รีบมองดูนาฬิกา และก็พูดขึ้นทันทีว่า “นี่มันยังไม่ถึง 1 ทุ่มนี่” แล้วท่านก็หันไปบอกแม่ชีนาคว่า... “กูบอกมึงแล้วนะว่าให้เลยทุ่มก่อน นี่ยังไม่ถึงทุ่มเลย..!! จากนั้นหลวงปู่ก็สั่งโยมแผ้วให้ติดเครื่องพามาชีนาคใส่เรือไปส่งสถานเสาวภา
และมีอีกครั้งหนึ่งที่หลวงปู่ท่านได้เจอกับตัวเอง ในขณะที่ท่านกำลังขุดแก้วบรมจักร ซึ่งแก้วดวงนี้ หลวงปู่บอกว่า หากขุดขึ้นมาได้ จะสามารถเลี้ยงคนได้ทั้งโลก โดยไม่ต้องทำมาหากิน และชาวโลกจะได้เอาเวลามาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ซึ่งในช่วงที่ขุดแก้วนั้น.. หลวงปู่ท่านนั่งอยู่ที่ปลายแคร่แบบหมิ่น ๆ นั่งคุมพวกที่ได้ธรรมกายทำวิชชา เพื่อเรียกให้แก้วขึ้นมา ซึ่งหนึ่งในนั้น.. ก็มีหลวงตาอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งเวลาทำวิชชาท่านก็จะตะบันหมากไปด้วยเคี้ยวไปด้วย หลวงปู่ท่านก็จะมักดุท่านบ่อย ๆ ว่า “เดี๋ยววิชชาก็ไม่ทันเขาหรอก” พอหลวงปู่ดุทีหนึ่ง ท่านก็หยุดตะบันทีหนึ่ง
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งตะบันหมากอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังตุ๊บ คือ มีงูเห่าตัวใหญ่ขนาดเท่าน่อง หล่นลงมาจากต้นข่อย จากนั้นเสียงตะบันหมากก็หยุดทันที หลวงปู่ท่านก็เลยสงสัยว่าทำไมวันนี้เสียงตะบันหมากหยุดไปนาน ท่านจึงหันไปดูซึ่งก็ปรากฏว่า หลวงตาหยุดตะบันหมาก และกำลังจ้องไปที่ตางูเห่าตัวนั้น งูเห่าตัวนั้น..ก็จ้องกลับมาที่ตาของหลวงตา ซึ่งหลวงตาเล่าว่า “เราก็ตรึกอยู่ในธรรมกาย..แล้วก็จ้อง ..งูมันจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่เราก็ทำอะไรงูไม่ได้เหมือนกัน..”
แต่กับหลวงปู่.. ซึ่งมีวิชชาเชี่ยวชาญกว่ามาก... ทันทีที่หลวงปู่หันไปมองงู.. งูมันก็หันเปลี่ยนทิศมองมาที่หลวงปู่แทน และทันทีที่สายตาของหลวงปู่สบกับตางู โยมแผ้วก็ได้เห็นแสงสว่างพุ่งปร๊าดออกจากตาของหลวงปูเหมือนแสงจากลำไฟฉายพุ่งไปที่ตางูทันที จากนั้นงูก็ตกใจสุดขีด สะดุ้งพุ่งตัวข้ามรั้วสังกะสีหนีไปทันที
หลังจากนั้นหลวงปู่ท่านสั่งพวกที่ทำวิชชาว่า ให้เข้าที่ไปตามหัวหน้างู บอกหัวหน้างูไปเจรจากระจายข่าวบอกลูกน้องงูทั้งหลายว่า ให้อพยพไปจากวัดปากน้ำเสีย คือ ย้ายที่อยู่ไปเลย เพื่อขอเวนคืนที่ดินตรงนี้ให้พระ แม่ชี เขาปฏิบัติธรรมกัน นับจากวันนั้นงูก็ไม่มาอีกเลยเป็นอัศจรรย์...
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ