แปลงร่างเป็นยักษ์กับเรียนวิชชาแปลงเพศ

วันที่ 21 กย. พ.ศ.2559

แปลงร่างเป็นยักษ์กับเรียนวิชชาแปลงเพศ,พระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร),บทความประจำวัน

 

แปลงร่างเป็นยักษ์กับเรียนวิชชาแปลงเพศ

เรื่องนี้..เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับญาณทัสสนะที่หลวงปู่สามารถหยั่งรู้ได้อย่างเหลือเชื่อว่า  ลูกศิษย์ของท่านไปทำอะไร..ที่ไหน..อย่างไร...!! อย่างเรื่องของ  คุณยายทองสุข  สำแดงปั้น  ซึ่งท่านเป็นแม่ชีที่ทำวิชชาปราบมารกับหลวงปู่ อีกทั้งยังเป็นมือเผยแผ่วิชชาธรรมกายมือหนึ่งของหลวงปู่อีกด้วย
 
เรื่องราวต่อไปนี้..เป็นเรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่คุณยายทองสุขเข้าถึงธรรมกายแล้ว  และเริ่มเรียนวิชชาธรรมกายกับหลวงปู่ใหม่ ๆ ซึ่งคุณยายทองสุขถึงกับพูดว่า “ช่วงนั้น..มันช่างอยากรู้อยากเห็นไปเสียทั้งนั้น..!!!”
 
ด้วยความอยากรู้อยากลองของคุณยายทองสุขนี้เอง  ท่านจึงมักแอบหลวงปู่ไปเที่ยว และการไปเที่ยวของท่านก็ไม่ได้ใช้กายมนุษย์หยาบไปหรอก  แต่ท่านไปด้วยสมาธิญาณของท่าน  และปกปิดไม่ให้หลวงปู่รู้  เพราะกลัวหลวงปู่ดุ..หาว่าไม่ตั้งใจแก้ทุกข์ภัยมนุษย์ ในขณะที่อยู่เวรในโรงงานทำวิชชา  แต่ที่ไหนได้..แม้คุณยายทองสุขจะแอบไปอย่างแนบเนียนมากขนาดไหน หลวงปู่ก็จับได้ทุกทีเพราะหลวงปู่สามารถรู้ได้ด้วยญาณทัสสนะของท่าน
 
มีอยู่ครั้งหนึ่ง  ช่วงนั้นหลวงปู่ท่านกำลังคิดจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติ  ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล  ทำให้คุณยายทองสุขเป็นกังวลแทนหลวงปู่ว่าจะไปหาเงินมาจากไหน  แต่หลวงปู่ท่านก็บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกไอ้สุข..โคตรทองยังมี..เอ็งยังไม่เคยเห็น..!!!”
 
พอหลวงปู่พูดประโยคนี้ออกมาเท่านั้นเอง  คุณยายทองสุขอยากรู้อยากเห็นมาอย่างแรงว่า..โคตรทอง..อยู่ไหน..หน้าตาเป็นยังไง!!!  จากนั้นท่านก็ไม่รอช้า  แอบไปตามหาโคตรทองในสมาธิญาณของท่านอยู่หลายครั้ง  แต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ  จนสุดท้ายท่านหมดปัญญา  จึงแอบไปถามม้าแก้ว  ถึงได้รู้ว่า  โคตรทองอยู่ในถ้ำ..ทางทิศตะวันออก.!!!
 
จากนั้นคุณยายทองสุขก็ให้ม้าแก้วช่วยไปหาถ้ำของยักษ์แต่หาเท่าไร..ก็หาไม่เจอสักที  แต่สิ่งที่เจอก็คือ  พระภูมิเจ้าที่ขี่เสือ คุณยายทองสุขท่านก็เลยถามพระภูมิว่า  “ถ้ำที่มีโคตรทองอยู่ตรงไหน.?”  ซึ่งพอพระภูมิเจ้าที่ชี้ทางให้  คุณยายทองสุขก็ไม่รอช้ารีบขี่ม้าแก้วเหาะไปตามทางนั้น
 
 และทันใดนั้นเอง !!!  ท่านก็ได้มาเจอปากถ้ำยักษ์จนได้ จากนั้นท่านก็รอให้ยักษ์หน้าโฉด 2 ตน  เดินออกไปที่อื่นก่อน  และพอยักษ์ออกไปแล้ว  ท่านก็ฉวยโอกาสเข้าไปผลักประตู  เพื่อจะบุกเข้าไปในถ้ำทันที  แต่อนิจจา..โชคไม่เข้าข้าง..เนื่องจากประตูล็อค แต่จู่ ๆ ..ก็มีเสียงเจ้าลิงจ๋อ..โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบ  คุณยายทองสุขก็เลยถามเจ้าลิงจ๋อตัวนั้นว่า “กุญแจอยู่ที่ไหน..ช่วยหยิบให้หน่อยเถอะพ่อลิง..!!”  และพอเจ้าลิงเอากุญแจมาให้  ท่านก็เลยไขบุกเข้าไปในถ้ำนั้นได้  โดยเดินเข้าไปถึงถ้ำในชั้นที่ 3
 
และทันใดนั้นเอง..ท่านก็ไปเจอที่เก็บโคตรทองจริง ๆ ซึ่งโคตรทองก้อนนี้..ใหญ่โคตร ๆ เลย  ใหญ่ขนาดเท่าสุ่มไก่  และรอบ ๆ โคตรทองนั้น  ก็รายล้อมไปด้วยทองก้อนขนาดเท่าบาตรบ้าง  ขนาดเท่าขันบ้าง  ขนาดเท่ากำปั้นบ้าง  เรียงรายกันอย่างมากมาย  โดยแข่งกันเปล่งประกายวาววับจับตา  จนสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคุณยายทองสุขแบบสุด ๆ และเป็นที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ แต่ละก้อนจะมีชื่อติดอยู่ทั้งหมด  แต่เนื่องจากคุณยายทองสุขท่านอ่านหนังสือไม่ออก ท่านจึงไม่รู้ว่าเขาเขียนว่าอะไร  แต่ท่านก็ไม่สนใจ หยิบทองขึ้นมาพิจารณา  พร้อมกับปิ๊งไอเดียขึ้นมาแบบฉุกละหุกว่า  “ทองนี้..อยู่ที่นี่เฉย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์  ควรจะเอาไปขายเพื่อเอามาช่วยหลวงพ่อวัดปากน้ำสร้างโรงเรียน”
 
และเมื่อคิดดังนั้น..คุณยายทองสุขก็ไม่รอช้า  ตะโกนถามมาทันทีว่า “ทองของใคร ๆ ๆ ??”  ซึ่งท่านก็ตะโกนถามถึง 3 ครั้ง  เมื่อไม่มีเสียงตอบ  ท่านจึงทำการอุกอาจหยิบทองก้อนที่พอเหมาะ  ขนาดเท่าขันล้างหน้า  ที่ท่านคิดว่าหากขายแล้วจะพอเอามาสร้างโรงเรียน จากนั้นก็ออกมาจากถ้ำ เพื่อขี่ม้าแก้วเหาะกลับไป..
 
แต่เรื่องมันไม่แฮปปี้เอ็นดิ้งอย่างนั้นหรอก  เพราะจู่ ๆ ..ก็มีเสียงยักษ์ตะโกนโวยวายไล่หลังมาว่า  “ขโมย ๆ หยุดก่อน..!!” จากนั้นก็เกิดการถกเถียงกันยกใหญ่  โดยคุณยายทองสุขท่านก็ตอบปฏิเสธไปว่า “ฉันไม่ได้ขโมยนะ..เพราะฉันตะโกนถามแล้วไม่เห็นมีใครเป็นเจ้าของ  ก็เลยจะเอาไปขายเพื่อเอาเงินมาสร้างโรงเรียนกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ”
 
ซึ่งยักษ์ก็ตอบว่า “ก้อนนี้..มันไม่ใช่ก่อนที่จะเอาไปทำบุญกับหลวงพ่อ  เค้ามีชื่อติดไว้..ไม่เห็นรึ.?” คุณยายทองสุขท่านจึงบอกว่า “ก็ฉันอ่านไม่ออกนี่..” ยักษ์ได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับว่า “ฉันต้องรักษาทองพวกนี้ไว้ เพื่อรอเจ้าของ เพราะทองเหล่านี้เป็นทองที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ใจบุญเขาทำบุญสั่งสมเอาไว้ทีละเล็กละน้อย...”
 
ขณะที่กำลังเถียงกันนั่นเอง  จู่ ๆ ..ก็มียักษ์ตัวใหญ่หน้าโฉดรุ่นเดอะ..ที่เป็นหัวหน้ายักษ์วิ่งไล่ตามมา  แล้วก็ตะโกนลั่นว่า “เอาให้ตายเลย..ๆ!!!”
 
จากนั้นก็วิ่งเอาตะบองไล่ฟาดคุณยายทองสุขและม้าแก้ว จนทองในมือคุณยายทองสุขกระเด็นหลุดจากมือ และทันใดนั้นเอง.. ขณะที่คุณยายทองสุขกำลังโดนตะบองยักษ์ไล่ฟาด  ก็มีเสียงดังลั่นที่ทรงพลานุภาพแบบสุด ๆ  จากไหนก็ไม่ทราบตะโกนขึ้นมาว่า “หยุด!!!” และด้วยเสียงนี้ทำให้ยักษ์หยุดฟาดทันที..จากนั้นคุณยายทองสุขก็รีบขี่ม้าแก้วกลับเข้าร่างที่อยู่ในท่าสมาธิอย่างบัดดล
 
ทันใดนั้นเอง  อยู่ ๆ ..หลวงปู่ท่านก็ดุขึ้นขณะที่นั่งทำวิชชาว่า “ไอ้สุข..เอ็งไปไหนมา??” เอ็งชักจะเหลวไหลมากไปแล้วนะ..ไปลักทองเค้ามา  เอ็งคิดว่าพ่อไม่รู้รึ..!!  เจ้าของเค้ามาฟ้อง..  นี่ถ้าพ่อไม่ช่วยไว้  ป่านนี้เอ็งหัวบี้แบนไปแล้ว  ซุกซนไม่เข้าเรื่อง..”  และจากการที่คุณยายทองสุขโดนหลวงปู่ดุเสียยกใหญ่  บวกกับรู้สึกเจ็บใจที่ยักษ์มาฟ้อง หนำซ้ำยังพลาดท่าโดนยักษ์ไล่ฟาดมาเสียสะบักสะบอมถึงเพียงนี้ ท่านจึงคิดว่าจะแอบหลวงปู่กลับไปจัดการกับยักษ์ใหม่
 
แต่คราวนี้...คุณยายทองสุขท่านไปโดยไม่ใช้กายละเอียดที่เป็นร่างมนุษย์เหมือนครั้งก่อน  เพราะม้าแก้วนำเสนอท่านว่า ให้แปลงเป็นยักษ์ จะได้ดูโหด ๆ หรือดูน่ากลัว ๆ หน่อย จะได้สู้กับเขาได้จากนั้นท่านก็นึกแปลงร่างอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่น่ากลัวสักทีเพราะก่อนแปลงท่านไปนึกมโนภาพเป็นยักษ์ที่อยู่ในหนังสือพรหมชาติ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายท่านก็เปลี่ยนมานึกถึงยักษ์จอมโหด..ตัวที่ไล่ตะเพิดเอาตะบองฟาดท่านมา
 
พอนึกเสร็จ ทันใดนั้น..กายละเอียดของคุณยายทองสุขเปลี่ยนเป็นยักษ์ผู้ชาย  หน้าตาโหด - โฉด - เหี้ยมทันที จากนั้นท่านก็ขี่ม้าแก้วเหาะไปยังปากถ้ำที่เป็นเป้าหมาย  เมื่อไปถึงก็ไม่รอช้ารีบยกตะบองเคาะประตูถ้ำดังตูม ๆ !!! โดยคิดในใจว่า  ถ้าเจ้ายักษ์ตัวที่ไล่ฟาดเราเปิดประตูออกมา เราจะเอาตะบองที่ถืออยู่ในมือฟาดเพื่อแก้แค้นทันที แต่ก็ผิดคาด เพราะผู้ที่เปิดประตูกลับเป็นภรรยาแสนสวยของยักษ์  ที่กำลังอุ้มลูกยักษ์..ผู้น่ารักน่าเอ็นดู ออกมาพร้อมกับการแสดงอาการดีใจ แล้วบอกลูกที่อุ้มอยู่ว่า “ลูกจ๊ะ..พ่อหนูกลับมาแล้ว ๆ ..” และเพื่อให้แนบเนียน คุณยายทองสุขจึงสวมรอยทำตัวประดุจเป็นสามีของนางยักษ์ ที่คอยปรนนิบัติเอาอกเอาใจคุณยายทองสุขเป็นอย่างดีนี้เอง ก็เลยทำให้ท่านเกิดรู้สึกหวั่นไหว นึกหลงรักนางยักษ์ขึ้นมานิด ๆ แต่เนื่องด้วยภารกิจที่เป็นเป้าหมายหลักที่อยู่ในใจท่านก็เลยใช้กุศโลบายพูดให้นางยักษ์พาไปดูที่เก็บโคตรทอง และถามถึงความเป็นมาของทองทั้งหมด
 
ซึ่งสรุปได้ว่า..โคตรทองอันใหญ่สุดนั้น..เป็นของหลวงปู่วัดปากน้ำ คือ เมื่อชาติก่อน ๆ ท่านเคยทำบุญเป็นจำนวนมากไว้กับลูกศิษย์  ซึ่งพอรวม ๆ กันเข้าก็กลายเป็นทองก้อนใหญ่ คือ เมื่อท่านทำบุญแล้ว..สายสมบัติเก่าก็จะไปเชื่อมกับสายสมบัติใหม่ ซึ่งคนที่ช่วยหลวงปู่ท่านทำบุญ ก็จะรวยขึ้น..มีเงินทำบุญต่อไปอีก
 
ขณะที่กำลังถามถึงความเป็นมาเรื่องทองอย่างเพลิดเพลินอยู่นั่นเอง ก็มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกจนได้..เพราะอยู่ ๆ ม้าแก้วที่รออยู่หน้าถ้ำก็ร้องดังขึ้น  และด้วยเสียงนี้..คุณยายทองสุขจึงรีบขอนางยักษ์ออกไปดูหน้าถ้ำเพียงลำพัง  ซึ่งก็ปรากฏว่า  ยักษ์ผู้เป็นสามีตัวจริงและเพื่อนยักษ์ 3 -4 ตน ได้แห่กันกลับมาแล้ว!!!
 
เมื่อคุณยายทองสุขเห็นดังนั้น ก็ตกใจ รีบกระโดดขี่ม้าแก้วและเหาะกลับด่วนที่สุด  พร้อมกับยังรู้สึกผูกพันอาลัยอาวรณ์นางยักษ์และลูกน้อยประดุจการจากภรรยาของตัวเองมาจริง ๆ ซึ่งพอกลับมาถึง  หลวงปู่ท่านก็รู้ในที่  จึงรีบดุขึ้นทันทีว่า “ไอ้สุข..เอาอีกแล้ว...เอ็งไปเป็นชู้เมียเขามารึ???”
 
คุณยายทองสุขจึงรีบแก้ตัวด้วยเสียงอ้ำอึ้งว่า “เปล่า..เจ้าค่ะ..ลูกเปล่าจริง ๆ”  จากนั้นหลวงปู่ท่านก็หัวเราะและนึกสนุก..ถามขึ้นใหม่ว่า  “ไอ้สุข..เอ็งอยากเป็นผู้ชายไหมล่ะ!!!” คุณยายทองสุขรีบตอบด้วยความดีใจว่า  “อยากเจ้าค่ะ..ลูกอยากเป็นผู้ชายเจ้าค่ะ..”
 
จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ให้เข้าที่สาวไปหาเหตุจนเจอเครื่องที่ทำให้กลายเป็นผู้หญิง  แล้วท่านก็บอกวิธีการในการแปลงเพศว่า “งั้น..เอ็งเดินเครื่องเข้าสิไอ้สุข  เก็บให้หมดเลย..” (คือ  ถ้าเข้าถึงพระธรรมกาย  แล้วได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย  จะเห็นว่าเครื่องที่ทำให้เป็นผู้หญิงอย่างหนึ่ง  เครื่องที่ทำให้เป็นผู้ชายอย่างหนึ่ง..เครื่องจะหมุนไปคนละอย่าง โดยรอบของการหมุนจะไม่เท่ากัน
 
จากนั้นคุณยายทองสุขก็เดินเครื่องกลับให้กลายเป็นผู้ชายซึ่งท่านทำอยู่นานถึง  3 เดือน  ในระหว่างนั้น  หลวงปู่ก็คอยถามอยู่เสมอว่า  “ไอ้สุข..เปลี่ยนรึยังวะ” และพอใกล้ ๆ จะสำเร็จคุณยายทองสุขก็บอกหลวงปู่ว่า  “เกือบแล้วเจ้าค่ะ”
 
จนในที่สุด..รุ่งเช้าวันหนึ่ง  คุณยายทองสุขก็รีบมาเล่าให้คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฟังว่า “อีก้างเอ้ย  กูเป็นอยู่คืนหนึ่งว่ะ..เป็นจริง ๆ แต่กูไม่คุ้น  กูเลยทำกลับมาเหมือนเดิม...”
 
นี่แหละ คือความมหัศจรรย์ของวิชชาธรรมกาย ที่หลวงปู่ท่านสอนคุณยายทองสุข  อีกทั้งวิชชาอื่น ๆ ที่คุณยายทองสุขเรียนมาจากหลวงปู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำวิชชาปราบมาร การไปนรกสวรรค์ วิชชาแปลงเพศ การแปลงร่างเป็นยักษ์ ดับดาว ทำจันทรคราสก็เลยทำให้คุณยายทองสุขถึงกับพูดเอาไว้ว่า..
 
“เกิดมาชาตินี้..จะหาครูบาอาจารย์ได้อย่างเจ้าคุณหลวงพ่อไม่มีอีกแล้ว ท่านเป็นสงฆ์ที่เหนือธรรมดา  เพราะท่านสามารถนับเม็ดทรายได้  สามารถเดินฌานสมาบัติในเม็ดทราย  เดินฌานสมาบัติในกระจก  เดินฌานสมาบัติในหิน  เข้านิโรธแทรกในหินได้  นับเม็ดฝน ที่ตกลงมาในอากาศได้ ซึ่งครูบาอาจารย์ที่สอนวิชชาเหล่านี้ได้ก็เห็นจะไม่มีอีกแล้วในทั่วราชอาณาจักรไทย คงไม่มีพระสงฆ์องค์ใดที่จะสั่งสอนวิชชาเหล่านี้ได้  จะให้ไปเรียนที่อินเดีย พม่า หรือ เขมร..ก็ไม่มี..”
 
อีกทั้งคุณยายทองสุขยังเล่าอีกว่า ท่านได้เห็นปาฏิหาริย์หลวงปู่ด้วยตาเนื้อแบบจะ ๆ ในครั้งที่ฝนตก  ซึ่งท่านเล่าว่า  “ในวันที่ฝนตก  เจ้าคุณพ่อท่านยืนกวาดเม็ดฝนอยู่กุฏิ  โดยเท้าของท่านยืนอยู่บนดอกบัวข้างละดอก  อีกทั้งยังมีแสงสว่างลุกโชติช่วงน่าอัศจรรย์มาก..”

 
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ

 

 

 

 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.014899933338165 Mins