เรื่องนี้..เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับญาณทัสสนะที่หลวงปู่สามารถหยั่งรู้ได้อย่างเหลือเชื่อว่า ลูกศิษย์ของท่านไปทำอะไร..ที่ไหน..อย่างไร...!! อย่างเรื่องของ คุณยายทองสุข สำแดงปั้น ซึ่งท่านเป็นแม่ชีที่ทำวิชชาปราบมารกับหลวงปู่ อีกทั้งยังเป็นมือเผยแผ่วิชชาธรรมกายมือหนึ่งของหลวงปู่อีกด้วย
เรื่องราวต่อไปนี้..เป็นเรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่คุณยายทองสุขเข้าถึงธรรมกายแล้ว และเริ่มเรียนวิชชาธรรมกายกับหลวงปู่ใหม่ ๆ ซึ่งคุณยายทองสุขถึงกับพูดว่า “ช่วงนั้น..มันช่างอยากรู้อยากเห็นไปเสียทั้งนั้น..!!!”
ด้วยความอยากรู้อยากลองของคุณยายทองสุขนี้เอง ท่านจึงมักแอบหลวงปู่ไปเที่ยว และการไปเที่ยวของท่านก็ไม่ได้ใช้กายมนุษย์หยาบไปหรอก แต่ท่านไปด้วยสมาธิญาณของท่าน และปกปิดไม่ให้หลวงปู่รู้ เพราะกลัวหลวงปู่ดุ..หาว่าไม่ตั้งใจแก้ทุกข์ภัยมนุษย์ ในขณะที่อยู่เวรในโรงงานทำวิชชา แต่ที่ไหนได้..แม้คุณยายทองสุขจะแอบไปอย่างแนบเนียนมากขนาดไหน หลวงปู่ก็จับได้ทุกทีเพราะหลวงปู่สามารถรู้ได้ด้วยญาณทัสสนะของท่าน
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นหลวงปู่ท่านกำลังคิดจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติ ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้คุณยายทองสุขเป็นกังวลแทนหลวงปู่ว่าจะไปหาเงินมาจากไหน แต่หลวงปู่ท่านก็บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกไอ้สุข..โคตรทองยังมี..เอ็งยังไม่เคยเห็น..!!!”
พอหลวงปู่พูดประโยคนี้ออกมาเท่านั้นเอง คุณยายทองสุขอยากรู้อยากเห็นมาอย่างแรงว่า..โคตรทอง..อยู่ไหน..หน้าตาเป็นยังไง!!! จากนั้นท่านก็ไม่รอช้า แอบไปตามหาโคตรทองในสมาธิญาณของท่านอยู่หลายครั้ง แต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ จนสุดท้ายท่านหมดปัญญา จึงแอบไปถามม้าแก้ว ถึงได้รู้ว่า โคตรทองอยู่ในถ้ำ..ทางทิศตะวันออก.!!!
จากนั้นคุณยายทองสุขก็ให้ม้าแก้วช่วยไปหาถ้ำของยักษ์แต่หาเท่าไร..ก็หาไม่เจอสักที แต่สิ่งที่เจอก็คือ พระภูมิเจ้าที่ขี่เสือ คุณยายทองสุขท่านก็เลยถามพระภูมิว่า “ถ้ำที่มีโคตรทองอยู่ตรงไหน.?” ซึ่งพอพระภูมิเจ้าที่ชี้ทางให้ คุณยายทองสุขก็ไม่รอช้ารีบขี่ม้าแก้วเหาะไปตามทางนั้น
และทันใดนั้นเอง !!! ท่านก็ได้มาเจอปากถ้ำยักษ์จนได้ จากนั้นท่านก็รอให้ยักษ์หน้าโฉด 2 ตน เดินออกไปที่อื่นก่อน และพอยักษ์ออกไปแล้ว ท่านก็ฉวยโอกาสเข้าไปผลักประตู เพื่อจะบุกเข้าไปในถ้ำทันที แต่อนิจจา..โชคไม่เข้าข้าง..เนื่องจากประตูล็อค แต่จู่ ๆ ..ก็มีเสียงเจ้าลิงจ๋อ..โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบ คุณยายทองสุขก็เลยถามเจ้าลิงจ๋อตัวนั้นว่า “กุญแจอยู่ที่ไหน..ช่วยหยิบให้หน่อยเถอะพ่อลิง..!!” และพอเจ้าลิงเอากุญแจมาให้ ท่านก็เลยไขบุกเข้าไปในถ้ำนั้นได้ โดยเดินเข้าไปถึงถ้ำในชั้นที่ 3
และทันใดนั้นเอง..ท่านก็ไปเจอที่เก็บโคตรทองจริง ๆ ซึ่งโคตรทองก้อนนี้..ใหญ่โคตร ๆ เลย ใหญ่ขนาดเท่าสุ่มไก่ และรอบ ๆ โคตรทองนั้น ก็รายล้อมไปด้วยทองก้อนขนาดเท่าบาตรบ้าง ขนาดเท่าขันบ้าง ขนาดเท่ากำปั้นบ้าง เรียงรายกันอย่างมากมาย โดยแข่งกันเปล่งประกายวาววับจับตา จนสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคุณยายทองสุขแบบสุด ๆ และเป็นที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ แต่ละก้อนจะมีชื่อติดอยู่ทั้งหมด แต่เนื่องจากคุณยายทองสุขท่านอ่านหนังสือไม่ออก ท่านจึงไม่รู้ว่าเขาเขียนว่าอะไร แต่ท่านก็ไม่สนใจ หยิบทองขึ้นมาพิจารณา พร้อมกับปิ๊งไอเดียขึ้นมาแบบฉุกละหุกว่า “ทองนี้..อยู่ที่นี่เฉย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะเอาไปขายเพื่อเอามาช่วยหลวงพ่อวัดปากน้ำสร้างโรงเรียน”
และเมื่อคิดดังนั้น..คุณยายทองสุขก็ไม่รอช้า ตะโกนถามมาทันทีว่า “ทองของใคร ๆ ๆ ??” ซึ่งท่านก็ตะโกนถามถึง 3 ครั้ง เมื่อไม่มีเสียงตอบ ท่านจึงทำการอุกอาจหยิบทองก้อนที่พอเหมาะ ขนาดเท่าขันล้างหน้า ที่ท่านคิดว่าหากขายแล้วจะพอเอามาสร้างโรงเรียน จากนั้นก็ออกมาจากถ้ำ เพื่อขี่ม้าแก้วเหาะกลับไป..
แต่เรื่องมันไม่แฮปปี้เอ็นดิ้งอย่างนั้นหรอก เพราะจู่ ๆ ..ก็มีเสียงยักษ์ตะโกนโวยวายไล่หลังมาว่า “ขโมย ๆ หยุดก่อน..!!” จากนั้นก็เกิดการถกเถียงกันยกใหญ่ โดยคุณยายทองสุขท่านก็ตอบปฏิเสธไปว่า “ฉันไม่ได้ขโมยนะ..เพราะฉันตะโกนถามแล้วไม่เห็นมีใครเป็นเจ้าของ ก็เลยจะเอาไปขายเพื่อเอาเงินมาสร้างโรงเรียนกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ”
ซึ่งยักษ์ก็ตอบว่า “ก้อนนี้..มันไม่ใช่ก่อนที่จะเอาไปทำบุญกับหลวงพ่อ เค้ามีชื่อติดไว้..ไม่เห็นรึ.?” คุณยายทองสุขท่านจึงบอกว่า “ก็ฉันอ่านไม่ออกนี่..” ยักษ์ได้ยินดังนั้นจึงตอบกลับว่า “ฉันต้องรักษาทองพวกนี้ไว้ เพื่อรอเจ้าของ เพราะทองเหล่านี้เป็นทองที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ใจบุญเขาทำบุญสั่งสมเอาไว้ทีละเล็กละน้อย...”
ขณะที่กำลังเถียงกันนั่นเอง จู่ ๆ ..ก็มียักษ์ตัวใหญ่หน้าโฉดรุ่นเดอะ..ที่เป็นหัวหน้ายักษ์วิ่งไล่ตามมา แล้วก็ตะโกนลั่นว่า “เอาให้ตายเลย..ๆ!!!”
จากนั้นก็วิ่งเอาตะบองไล่ฟาดคุณยายทองสุขและม้าแก้ว จนทองในมือคุณยายทองสุขกระเด็นหลุดจากมือ และทันใดนั้นเอง.. ขณะที่คุณยายทองสุขกำลังโดนตะบองยักษ์ไล่ฟาด ก็มีเสียงดังลั่นที่ทรงพลานุภาพแบบสุด ๆ จากไหนก็ไม่ทราบตะโกนขึ้นมาว่า “หยุด!!!” และด้วยเสียงนี้ทำให้ยักษ์หยุดฟาดทันที..จากนั้นคุณยายทองสุขก็รีบขี่ม้าแก้วกลับเข้าร่างที่อยู่ในท่าสมาธิอย่างบัดดล
ทันใดนั้นเอง อยู่ ๆ ..หลวงปู่ท่านก็ดุขึ้นขณะที่นั่งทำวิชชาว่า “ไอ้สุข..เอ็งไปไหนมา??” เอ็งชักจะเหลวไหลมากไปแล้วนะ..ไปลักทองเค้ามา เอ็งคิดว่าพ่อไม่รู้รึ..!! เจ้าของเค้ามาฟ้อง.. นี่ถ้าพ่อไม่ช่วยไว้ ป่านนี้เอ็งหัวบี้แบนไปแล้ว ซุกซนไม่เข้าเรื่อง..” และจากการที่คุณยายทองสุขโดนหลวงปู่ดุเสียยกใหญ่ บวกกับรู้สึกเจ็บใจที่ยักษ์มาฟ้อง หนำซ้ำยังพลาดท่าโดนยักษ์ไล่ฟาดมาเสียสะบักสะบอมถึงเพียงนี้ ท่านจึงคิดว่าจะแอบหลวงปู่กลับไปจัดการกับยักษ์ใหม่
แต่คราวนี้...คุณยายทองสุขท่านไปโดยไม่ใช้กายละเอียดที่เป็นร่างมนุษย์เหมือนครั้งก่อน เพราะม้าแก้วนำเสนอท่านว่า ให้แปลงเป็นยักษ์ จะได้ดูโหด ๆ หรือดูน่ากลัว ๆ หน่อย จะได้สู้กับเขาได้จากนั้นท่านก็นึกแปลงร่างอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่น่ากลัวสักทีเพราะก่อนแปลงท่านไปนึกมโนภาพเป็นยักษ์ที่อยู่ในหนังสือพรหมชาติ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายท่านก็เปลี่ยนมานึกถึงยักษ์จอมโหด..ตัวที่ไล่ตะเพิดเอาตะบองฟาดท่านมา
พอนึกเสร็จ ทันใดนั้น..กายละเอียดของคุณยายทองสุขเปลี่ยนเป็นยักษ์ผู้ชาย หน้าตาโหด - โฉด - เหี้ยมทันที จากนั้นท่านก็ขี่ม้าแก้วเหาะไปยังปากถ้ำที่เป็นเป้าหมาย เมื่อไปถึงก็ไม่รอช้ารีบยกตะบองเคาะประตูถ้ำดังตูม ๆ !!! โดยคิดในใจว่า ถ้าเจ้ายักษ์ตัวที่ไล่ฟาดเราเปิดประตูออกมา เราจะเอาตะบองที่ถืออยู่ในมือฟาดเพื่อแก้แค้นทันที แต่ก็ผิดคาด เพราะผู้ที่เปิดประตูกลับเป็นภรรยาแสนสวยของยักษ์ ที่กำลังอุ้มลูกยักษ์..ผู้น่ารักน่าเอ็นดู ออกมาพร้อมกับการแสดงอาการดีใจ แล้วบอกลูกที่อุ้มอยู่ว่า “ลูกจ๊ะ..พ่อหนูกลับมาแล้ว ๆ ..” และเพื่อให้แนบเนียน คุณยายทองสุขจึงสวมรอยทำตัวประดุจเป็นสามีของนางยักษ์ ที่คอยปรนนิบัติเอาอกเอาใจคุณยายทองสุขเป็นอย่างดีนี้เอง ก็เลยทำให้ท่านเกิดรู้สึกหวั่นไหว นึกหลงรักนางยักษ์ขึ้นมานิด ๆ แต่เนื่องด้วยภารกิจที่เป็นเป้าหมายหลักที่อยู่ในใจท่านก็เลยใช้กุศโลบายพูดให้นางยักษ์พาไปดูที่เก็บโคตรทอง และถามถึงความเป็นมาของทองทั้งหมด
ซึ่งสรุปได้ว่า..โคตรทองอันใหญ่สุดนั้น..เป็นของหลวงปู่วัดปากน้ำ คือ เมื่อชาติก่อน ๆ ท่านเคยทำบุญเป็นจำนวนมากไว้กับลูกศิษย์ ซึ่งพอรวม ๆ กันเข้าก็กลายเป็นทองก้อนใหญ่ คือ เมื่อท่านทำบุญแล้ว..สายสมบัติเก่าก็จะไปเชื่อมกับสายสมบัติใหม่ ซึ่งคนที่ช่วยหลวงปู่ท่านทำบุญ ก็จะรวยขึ้น..มีเงินทำบุญต่อไปอีก
ขณะที่กำลังถามถึงความเป็นมาเรื่องทองอย่างเพลิดเพลินอยู่นั่นเอง ก็มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกจนได้..เพราะอยู่ ๆ ม้าแก้วที่รออยู่หน้าถ้ำก็ร้องดังขึ้น และด้วยเสียงนี้..คุณยายทองสุขจึงรีบขอนางยักษ์ออกไปดูหน้าถ้ำเพียงลำพัง ซึ่งก็ปรากฏว่า ยักษ์ผู้เป็นสามีตัวจริงและเพื่อนยักษ์ 3 -4 ตน ได้แห่กันกลับมาแล้ว!!!
เมื่อคุณยายทองสุขเห็นดังนั้น ก็ตกใจ รีบกระโดดขี่ม้าแก้วและเหาะกลับด่วนที่สุด พร้อมกับยังรู้สึกผูกพันอาลัยอาวรณ์นางยักษ์และลูกน้อยประดุจการจากภรรยาของตัวเองมาจริง ๆ ซึ่งพอกลับมาถึง หลวงปู่ท่านก็รู้ในที่ จึงรีบดุขึ้นทันทีว่า “ไอ้สุข..เอาอีกแล้ว...เอ็งไปเป็นชู้เมียเขามารึ???”
คุณยายทองสุขจึงรีบแก้ตัวด้วยเสียงอ้ำอึ้งว่า “เปล่า..เจ้าค่ะ..ลูกเปล่าจริง ๆ” จากนั้นหลวงปู่ท่านก็หัวเราะและนึกสนุก..ถามขึ้นใหม่ว่า “ไอ้สุข..เอ็งอยากเป็นผู้ชายไหมล่ะ!!!” คุณยายทองสุขรีบตอบด้วยความดีใจว่า “อยากเจ้าค่ะ..ลูกอยากเป็นผู้ชายเจ้าค่ะ..”
จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ให้เข้าที่สาวไปหาเหตุจนเจอเครื่องที่ทำให้กลายเป็นผู้หญิง แล้วท่านก็บอกวิธีการในการแปลงเพศว่า “งั้น..เอ็งเดินเครื่องเข้าสิไอ้สุข เก็บให้หมดเลย..” (คือ ถ้าเข้าถึงพระธรรมกาย แล้วได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย จะเห็นว่าเครื่องที่ทำให้เป็นผู้หญิงอย่างหนึ่ง เครื่องที่ทำให้เป็นผู้ชายอย่างหนึ่ง..เครื่องจะหมุนไปคนละอย่าง โดยรอบของการหมุนจะไม่เท่ากัน
จากนั้นคุณยายทองสุขก็เดินเครื่องกลับให้กลายเป็นผู้ชายซึ่งท่านทำอยู่นานถึง 3 เดือน ในระหว่างนั้น หลวงปู่ก็คอยถามอยู่เสมอว่า “ไอ้สุข..เปลี่ยนรึยังวะ” และพอใกล้ ๆ จะสำเร็จคุณยายทองสุขก็บอกหลวงปู่ว่า “เกือบแล้วเจ้าค่ะ”
จนในที่สุด..รุ่งเช้าวันหนึ่ง คุณยายทองสุขก็รีบมาเล่าให้คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฟังว่า “อีก้างเอ้ย กูเป็นอยู่คืนหนึ่งว่ะ..เป็นจริง ๆ แต่กูไม่คุ้น กูเลยทำกลับมาเหมือนเดิม...”
นี่แหละ คือความมหัศจรรย์ของวิชชาธรรมกาย ที่หลวงปู่ท่านสอนคุณยายทองสุข อีกทั้งวิชชาอื่น ๆ ที่คุณยายทองสุขเรียนมาจากหลวงปู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำวิชชาปราบมาร การไปนรกสวรรค์ วิชชาแปลงเพศ การแปลงร่างเป็นยักษ์ ดับดาว ทำจันทรคราสก็เลยทำให้คุณยายทองสุขถึงกับพูดเอาไว้ว่า..
“เกิดมาชาตินี้..จะหาครูบาอาจารย์ได้อย่างเจ้าคุณหลวงพ่อไม่มีอีกแล้ว ท่านเป็นสงฆ์ที่เหนือธรรมดา เพราะท่านสามารถนับเม็ดทรายได้ สามารถเดินฌานสมาบัติในเม็ดทราย เดินฌานสมาบัติในกระจก เดินฌานสมาบัติในหิน เข้านิโรธแทรกในหินได้ นับเม็ดฝน ที่ตกลงมาในอากาศได้ ซึ่งครูบาอาจารย์ที่สอนวิชชาเหล่านี้ได้ก็เห็นจะไม่มีอีกแล้วในทั่วราชอาณาจักรไทย คงไม่มีพระสงฆ์องค์ใดที่จะสั่งสอนวิชชาเหล่านี้ได้ จะให้ไปเรียนที่อินเดีย พม่า หรือ เขมร..ก็ไม่มี..”
อีกทั้งคุณยายทองสุขยังเล่าอีกว่า ท่านได้เห็นปาฏิหาริย์หลวงปู่ด้วยตาเนื้อแบบจะ ๆ ในครั้งที่ฝนตก ซึ่งท่านเล่าว่า “ในวันที่ฝนตก เจ้าคุณพ่อท่านยืนกวาดเม็ดฝนอยู่กุฏิ โดยเท้าของท่านยืนอยู่บนดอกบัวข้างละดอก อีกทั้งยังมีแสงสว่างลุกโชติช่วงน่าอัศจรรย์มาก..”
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ