เรื่องนี้..เป็นเรื่องของลุงเปล่ง..ซึ่งเป็นบุคคลยุคต้นวิชชาที่ชอบมาเล่าเรื่องราวของหลวงปู่ให้หลวงพ่อธัมมชโยฟังบ่อย ๆ อีกทั้งยังเคยมาวัดพระธรรมกายตั้งแต่ครั้งยังเป็นทุ่งนาฟ้าโล่งอีกด้วย
ลุงเปล่งเป็นทานบดีของวัดปากน้ำ..ที่ชอบมาถวายภัตตาหารกับหลวงปู่..พร้อมกับภรรยาอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้..จึงทำให้ลุงเปล่งคุ้นเคยกับหลวงปู่ แต่ทว่า..แม้จะคุ้นเคยกับหลวงปู่มากสักแค่ไหน ลุงเปล่งก็ไม่ค่อยจะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สักเท่าไร ที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่เพราะลุงเปล่งไม่เคารพหรือลบหลู่หลวงปู่ แต่เป็นเพราะลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจและตามไม่ทันในเรื่องการทำวิชชาของหลวงปู่ โดยลุงเปล่งจะชอบพูดว่า “หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป” อีกทั้งยังไม่ค่อยเชื่อในอานุภาพวิชชาธรรมกายอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้....ลุงเปล่งจึงเป็นคนพิเศษเพียงคนเดียว ที่แม้ยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย แต่หลวงปู่ท่านก็เอ็นดู และอนุญาตให้เข้าไปในโรงงานทำวิชชาซึ่งก็คือกุฏิของท่าน เพื่อให้ลุงเปล่งได้ประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ของวิชชาธรรมกายด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ในสมัยนั้น ผู้ที่จะเข้าไปในโรงงานทำวิชชาได้ ต้องเป็นพวกที่เข้าถึงพระธรรมกายเท่านั้น แต่สำหรับลุงเปล่งแล้ว หลวงปู่จะพาท่านไปที่ประตูของโรงงานทำวิชชาแล้วบอกว่า..
“เปล่ง..เวลาเอ็งเข้ามานี่ เอ็งเอามือล้วงข้างล่าง..แล้วดันไม้อย่างนี้นะ แล้วประตูมันจะเปิดเอง และถ้าเอ็งเข้าไปแล้ว..ก็ให้นั่งเฉย ๆ นะ..อย่าส่งเสียงพูดอะไร เพราะเขากำลังทำวิชชากัน”
ซึ่งพอลุงเปล่งลองเข้าไปจริง ๆ ท่านก็ออกมาเล่าว่า “พอเข้าไปแล้ว..เราเหมือนคนบ้านะ เพราะไม่รู้เขาพูดอะไรกัน พูดกันอยู่ 2 คำ คือ ทำให้ละเอียด..ละเอียดลงไป ..ละเอียดหรือยัง ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงก็จะตอบหลวงปู่ว่า ละเอียดแล้วเจ้าค่ะ ถ้าเป็นพระก็จะตอบว่า ละเอียดแล้วครับ คือ ฟังแล้ว..ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่คำว่าละเอียด และพอหลวงปู่ถามพวกที่ทำวิชชาว่า สว่างหรือยัง เขาก็ตอบออกมาว่า สว่างแล้วเจ้าค่ะ..”
จากนั้นหลวงปู่ก็บอกลุงเปล่งว่า “..เออ เปล่ง!! ไหนเอ็งลองออกไปดูสิ ท้องฟ้าสว่างหรือยัง” ซึ่งลุงเปล่งก็ทำตามแต่ไม่เข้าใจ คือ ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกัน แต่พอเปิดประตูออกมาดูนอกโรงงานทำวิชชา ทันใดนั้น..ลุงเปล่งก็เห็นท้องฟ้าสว่างจ้าเลย แต่ลุงเปล่งก็แค่นึกในใจว่า “..เอ..!! ตอนเราเข้ามาวัดใหม่ ๆ ท้องฟ้ายังมืดตื้ออยู่เลย...มืดจนน่ากลัว เอ๊ะ..!! แต่ทำไมตอนนี้มันสว่างจ้าเลย..”
จากนั้นก็กลับเข้ามารายงานหลวงปู่ทั้ง ๆ ที่ยังงงไม่หายว่า.. “สว่างแล้วครับ” ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านก็นิ่ง ๆ ต่อไปโดยไม่พูดอะไร จากนั้นลุงเปล่งก็คิดในใจว่า.. “เรานั่งมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่พูดคำว่าละเอียด ..ออกไปดีกว่า..ขืนอยู่ในนี้ต่อไป..บ้ากันพอดี”
ในช่วงนั้น..นอกจากลุงเปล่งจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการทำวิชชาแล้ว ลุงเปล่งยังเชื่อและศรัทธาในวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย เพราะในช่วงที่ลุงเปล่งหัดเป็นหมอดู ท่านจะชอบมาคุยอวดให้หลวงปู่ฟังว่าตำราโหราศาสตร์...มันดีอย่างนั้น..อย่างนี้ แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้ ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านก็บอกว่า “..สู้ “สัมมาอะระหัง” ไม่ได้หรอกวะ เพราะเป็นทางมรรคผลนิพพาน”
แต่ลุงเปล่งก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร แถมยังยืนยันความเชื่อของตัวเองอยู่ดี คือ เมื่อลุงเปล่งมาหาหลวงปู่ทีไร ก็จะบอกแต่ว่าโหราศาสตร์แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้..อยู่เรื่อย จนหลวงปู่รำคาญ จึงพูดกลับไปว่า.. “เปล่ง..ข้าให้เอ็งดูแม่นสัก 10 ปี คือ ในช่วง 10 ปีนี้..เอ็งจะแม่นมากทีเดียว แต่หลังจากนั้น ตอนท้ายของชีวิตนี่..เอ็งจะจำได้แค่ “สัมมา อะระหัง” วิชาอย่างอื่นเอ็งจะลืมหมดเลย..!!!”
ซึ่งตอนนั้น..ไม่ว่าหลวงปู่จะพูดยังไงลุงเปล่งก็ไม่เชื่อ หนำซ้ำยังไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เลย เพราะช่วงนั้นลุงเปล่งเป็นหมอดูที่แม่นมาก คือ แม่นในระดับเทพเรียกทวด เพราะไม่ว่าลุงเปล่งจะจับตำราไหนมาอ่าน ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งหมด แถมยังแตกฉานถึงขนาดเขียนตำราหมอดูเองได้ แต่หลังจาก 10 ปี ผ่านไปเท่านั้นเอง...ลุงเปล่ง..เกิดเป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ ทายใครก็แค่เกือบถูก ซึ่งก็แปลว่าไม่ถูก แถมไม่แม่นเหมือนเก่า เพราะที่เคยศึกษามา มันลืมไปจริง ๆ ซึ่งลุงเปล่งบอกว่า ที่พอจะจำได้บ้าง..ก็เป็นพวกคาถาอาคม และเมื่อเป็นอย่างนี้ ลุงเปล่งก็เลยเกิดอาการเสียเซลฟ์ (Self) เพราะดูดวงใครก็ไม่ถูก จึงกลับมากราบเรียนถามหลวงปู่ว่าเพราะอะไร..ทำไมมันดูไม่แม่น ซึ่งท่านก็ตอบลุงเปล่งไปว่า “..ก็มันครบ 10 ปี แล้วนี่หว่า”
ซึ่งลุงเปล่งนับเวลาดู ท่านก็ต้องทึ่ง เพราะเมื่อนับเวลาดูแล้วมันเลย 10 ปีไปแค่ 1 วันเท่านั้นเอง ลุงเปล่งก็กลายเป็นหมอดูที่ดูไม่แม่นแล้ว และที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้น คือ ในบั้นปลายชีวิตของลุงเปล่ง ก็เป็นไปตามที่หลวงปู่บอกไว้เป๊ะเลย คือ ลุงเปล่งบอกว่า.. “เป็นไงก็ไม่รู้ คาถง..คาถา หมอดง..หมอดู อะไรที่เคยเรียนมามันลืมไปหมดเลย เหลือแต่ “สัมมา อะระหัง” อย่างเดียวจริง ๆ ซึ่งทำไมมันลืมก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่พยายามนึก ๆ แล้ว แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก”
“เปล่ง..เวลาเอ็งเข้ามานี่ เอ็งเอามือล้วงข้างล่าง..แล้วดันไม้อย่างนี้นะ แล้วประตูมันจะเปิดเอง และถ้าเอ็งเข้าไปแล้ว..ก็ให้นั่งเฉย ๆ นะ..อย่าส่งเสียงพูดอะไร เพราะเขากำลังทำวิชชากัน”
ซึ่งพอลุงเปล่งลองเข้าไปจริง ๆ ท่านก็ออกมาเล่าว่า “พอเข้าไปแล้ว..เราเหมือนคนบ้านะ เพราะไม่รู้เขาพูดอะไรกัน พูดกันอยู่ 2 คำ คือ ทำให้ละเอียด..ละเอียดลงไป ..ละเอียดหรือยัง ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงก็จะตอบหลวงปู่ว่า ละเอียดแล้วเจ้าค่ะ ถ้าเป็นพระก็จะตอบว่า ละเอียดแล้วครับ คือ ฟังแล้ว..ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่คำว่าละเอียด และพอหลวงปู่ถามพวกที่ทำวิชชาว่า สว่างหรือยัง เขาก็ตอบออกมาว่า สว่างแล้วเจ้าค่ะ..”
จากนั้นหลวงปู่ก็บอกลุงเปล่งว่า “..เออ เปล่ง!! ไหนเอ็งลองออกไปดูสิ ท้องฟ้าสว่างหรือยัง” ซึ่งลุงเปล่งก็ทำตามแต่ไม่เข้าใจ คือ ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกัน แต่พอเปิดประตูออกมาดูนอกโรงงานทำวิชชา ทันใดนั้น..ลุงเปล่งก็เห็นท้องฟ้าสว่างจ้าเลย แต่ลุงเปล่งก็แค่นึกในใจว่า “..เอ..!! ตอนเราเข้ามาวัดใหม่ ๆ ท้องฟ้ายังมืดตื้ออยู่เลย...มืดจนน่ากลัว เอ๊ะ..!! แต่ทำไมตอนนี้มันสว่างจ้าเลย..”
จากนั้นก็กลับเข้ามารายงานหลวงปู่ทั้ง ๆ ที่ยังงงไม่หายว่า.. “สว่างแล้วครับ” ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านก็นิ่ง ๆ ต่อไปโดยไม่พูดอะไร จากนั้นลุงเปล่งก็คิดในใจว่า.. “เรานั่งมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่พูดคำว่าละเอียด ..ออกไปดีกว่า..ขืนอยู่ในนี้ต่อไป..บ้ากันพอดี”
ในช่วงนั้น..นอกจากลุงเปล่งจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการทำวิชชาแล้ว ลุงเปล่งยังเชื่อและศรัทธาในวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย เพราะในช่วงที่ลุงเปล่งหัดเป็นหมอดู ท่านจะชอบมาคุยอวดให้หลวงปู่ฟังว่าตำราโหราศาสตร์...มันดีอย่างนั้น..อย่างนี้ แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้ ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านก็บอกว่า “..สู้ “สัมมาอะระหัง” ไม่ได้หรอกวะ เพราะเป็นทางมรรคผลนิพพาน”
แต่ลุงเปล่งก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร แถมยังยืนยันความเชื่อของตัวเองอยู่ดี คือ เมื่อลุงเปล่งมาหาหลวงปู่ทีไร ก็จะบอกแต่ว่าโหราศาสตร์แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้..อยู่เรื่อย จนหลวงปู่รำคาญ จึงพูดกลับไปว่า.. “เปล่ง..ข้าให้เอ็งดูแม่นสัก 10 ปี คือ ในช่วง 10 ปีนี้..เอ็งจะแม่นมากทีเดียว แต่หลังจากนั้น ตอนท้ายของชีวิตนี่..เอ็งจะจำได้แค่ “สัมมา อะระหัง” วิชาอย่างอื่นเอ็งจะลืมหมดเลย..!!!”
ซึ่งตอนนั้น..ไม่ว่าหลวงปู่จะพูดยังไงลุงเปล่งก็ไม่เชื่อ หนำซ้ำยังไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เลย เพราะช่วงนั้นลุงเปล่งเป็นหมอดูที่แม่นมาก คือ แม่นในระดับเทพเรียกทวด เพราะไม่ว่าลุงเปล่งจะจับตำราไหนมาอ่าน ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งหมด แถมยังแตกฉานถึงขนาดเขียนตำราหมอดูเองได้ แต่หลังจาก 10 ปี ผ่านไปเท่านั้นเอง...ลุงเปล่ง..เกิดเป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ ทายใครก็แค่เกือบถูก ซึ่งก็แปลว่าไม่ถูก แถมไม่แม่นเหมือนเก่า เพราะที่เคยศึกษามา มันลืมไปจริง ๆ ซึ่งลุงเปล่งบอกว่า ที่พอจะจำได้บ้าง..ก็เป็นพวกคาถาอาคม และเมื่อเป็นอย่างนี้ ลุงเปล่งก็เลยเกิดอาการเสียเซลฟ์ (Self) เพราะดูดวงใครก็ไม่ถูก จึงกลับมากราบเรียนถามหลวงปู่ว่าเพราะอะไร..ทำไมมันดูไม่แม่น ซึ่งท่านก็ตอบลุงเปล่งไปว่า “..ก็มันครบ 10 ปี แล้วนี่หว่า”
ซึ่งลุงเปล่งนับเวลาดู ท่านก็ต้องทึ่ง เพราะเมื่อนับเวลาดูแล้วมันเลย 10 ปีไปแค่ 1 วันเท่านั้นเอง ลุงเปล่งก็กลายเป็นหมอดูที่ดูไม่แม่นแล้ว และที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้น คือ ในบั้นปลายชีวิตของลุงเปล่ง ก็เป็นไปตามที่หลวงปู่บอกไว้เป๊ะเลย คือ ลุงเปล่งบอกว่า.. “เป็นไงก็ไม่รู้ คาถง..คาถา หมอดง..หมอดู อะไรที่เคยเรียนมามันลืมไปหมดเลย เหลือแต่ “สัมมา อะระหัง” อย่างเดียวจริง ๆ ซึ่งทำไมมันลืมก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่พยายามนึก ๆ แล้ว แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก”
ซึ่งภรรยาลุงเปล่งเล่าให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยฟังที่อาคารดาวดึงส์ว่า “คุณเปล่งเขาจำอะไรไม่ได้เลย จริงอย่างที่หลวงพ่อพูดไว้ไม่มีผิด คือ ไม่รู้..คุณเปล่งแกเป็นอะไร เขาบอกจำอะไรไม่ค่อยได้เหลือแต่ “สัมมาอะระหัง” อย่างเดียวเท่านั้น”
จากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ เลยทำให้มีคนไปถามลุงเปล่งว่า ทำไม..ถึงไม่ค่อยเชื่อหลวงพ่อ? ซึ่งลุงเปล่งก็จะตอบทันทีเลยว่า “ก็จะให้เชื่อได้ยังไง เพราะเคยเห็นเกจิอาจารย์แทบทุกคนเลย เวลาเขาจะทำของขลัง หรือทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไร เขาจะมีพิธีรีตอง จะต้องท่องคาถา ต้องเขียนเลขสักยันต์ หรือไม่ก็เสกเป่าอะไรสักอย่างเพื่อให้มันศักดิ์สิทธิ์ แต่นี่..ไม่เห็นหลวงพ่อท่านทำอะไรเลยสักอย่าง คือ พอเราพูดหรือขออะไรเสร็จ..แป๊ปเดียว..ยังไม่ทันไรเลย..หลวงพ่อท่านก็พูดกลับมาว่า..เรียบร้อยแล้ว หรืออย่างขณะที่หลวงพ่อกำลังนั่งฉันอยู่ พอมีญาติโยมเข้ามาขอบารมีให้ท่านช่วยอะไรสักอย่าง ท่านก็ทำแค่ส่งเสียง อือ ๆ..แถม อือ..ไป..ฉันไปอีกต่างหาก..”
อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่ง ลุงเปล่งก็ขนเอาผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์รูปหลวงปู่ ที่ทำไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมงานมุทิตาหลวงปู่ในครั้งที่ท่านได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นจำนวนร้อย ๆ ผืน.. มาให้หลวงปู่ช่วยทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งลุงเปล่งก็เอาไปวางไว้ข้าง ๆ สำรับอาหารของหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ว่าให้วางไว้นั่น แล้วท่านก็นั่งฉันไปเรื่อย ๆ และพอฉันเสร็จ ท่านก็บอกลุงเปล่งว่า “เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ็งยกออกไปได้เลย”
พอลุงเปล่งเห็นดังนั้น..แทนที่จะอะเลิร์ตดีอกดีใจ กลับขัดอกขัดใจมาก อีกทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เพราะมองว่าหลวงปู่ไม่ยอมทำอะไรให้สักอย่าง คิดว่าหลวงปู่ท่านไม่ยอมเสกผ้าเช็ดหน้าให้ และเมื่อคิดดังนี้..ก็เลยเอาผ้าเช็ดหน้านั้น เที่ยวไล่แจกญาติโยมจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเลยแม้แต่ผืนเดียว แถมไม่ยอมเก็บไว้เป็นของตัวเองเลยสักผืน เพราะมัวแต่คิดว่า ผ้าเช็ดหน้าทั้งชุดนี้..จะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร เพราะหลวงปู่ท่านไม่ยอมเสกให้ แต่ที่ไหนได้...หลังจากที่ลุงเปล่งแจกเขาจนหมดแล้ว ไม่นานต่อมา ปรากฏว่ามีคนเจออานุภาพกันมากมาย อีกทั้งยังมาเล่าเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของผ้านั้นให้ลุงเปล่งฟัง ว่าเจออานุภาพอย่างนั้น..อย่างนี้ เช่น บางคนไปทดลองเอาปืนยิงผ้า ซึ่งปรากฎว่าปืนพังไปเลย คือ ยิงไม่ออก
ด้วยเหตุนี้..เลยทำให้ลุงเปล่งนึกเสียดายขึ้นมาทันที จนพูดออกมาว่า “ตายแล้ว..ๆ ไม่มีแล้ว ...แจกเขาไปหมดแล้ว” และพอลุงเปล่งมารู้ทีหลังว่า ผ้าเช็ดหน้านั้นศักดิ์สิทธิ์ ลุงเปล่งก็เกิดคาใจขึ้นมาว่า..อยู่ ๆ ผ้าเช็ดหน้าเกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อหลวงปู่ไม่ได้เสก ไม่ได้เป่าอะไรเลย!!
ด้วยความคาใจอย่างแรงนี้เอง ลุงเปล่งก็เลยเข้าไปถามท่านว่า “หลวงพ่อ..ทำยังไงหรือครับ ไม่เห็นเสกเป่าอะไรกับเขาเลย แล้วทำไมเขาเอาไปยิงแล้ว..ยิงไม่ออก..”
ซึ่งหลวงปุ่ก็ตอบแบบนิ่ง ๆ ว่า “ก็นึก ๆ เอา..” ลุงเปล่งก็ถามต่ออีกว่า “นึกยังไง..??” หลวงปู่ก็ตอบเพิ่มว่า “ก็นึกในตำแหน่งที่นึก ๆ แล้วมันสำเร็จสิ” ซึ่งก็คือศูนย์กลวงกายฐานที่ 7 นั่นเอง...
และนี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลุงเปล่งชอบพูดว่า “หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป” คือ ดูภายนอกเหมือนหลวงปู่ท่านไม่ทำอะไร แต่จริง ๆ ท่านทำงานภายในตลอดเวลา จนเป็นเรื่องปกติธรรมดาของท่าน จึงทำให้ท่านเป็นมหาปูชนียาจารย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีอานุภาพอันไม่มีประมาณ..
หรืออีกคราวหนึ่ง ลุงเปล่งและภรรยาได้ไปถวายภัตตาหารเพลกับหลวงปู่และคณะพระภิกษุสงฆ์ที่วัดปากน้ำ และพอหลวงปู่ฉันเสร็จ ท่านก็พูดกับลุงเปล่งว่า.. “เออ..! พระจะให้พรแล้วนะ เดี๋ยวพระพุทธเจ้าท่านเสด็จลงมานี่นะ เอ็ง..จะเอากี่องค์ ..เดี๋ยวให้ท่านมาให้พรเอ็งสักหมื่นองค์ ศักดิ์สิทธิ์นัก..อธิษฐานเอาเลยนะ เอ็งอธิษฐานเอา..ศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวท่านมาหมื่นองค์” แถมท่านยังย้ำอีกว่า “มาแน่นอน..!!!”
พอลุงเปล่งฟังหลวงปู่พูดอย่างนี้..ก็เกิดอาการเป็นงง ไม่เข้าใจและคิดในใจว่า “เราคงบ้าแน่ ท่านพูดอะไรของท่านไม่รู้..พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาให้พรได้ยังไง
ซึ่งการที่ลุงเปล่งคิดอย่างนี้ เนื่องจากลุงเปล่งไม่เข้าใจเรื่องการทำวิชชา ก็เลยไม่เข้าใจความหมายที่หลวงปู่พูด แต่ถ้าพวกที่ทำวิชชาเป็นได้มาฟัง ก็จะเข้าใจทันทีว่า การอาราธนาพระพุทธเจ้ามาแค่หมื่นองค์ เป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว หรือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนอกจากลุงเปล่งจะไม่เข้าใจคำพูดที่หลวงปู่พูดแล้ว ลุงเปล่งก็ยังมีแนวร่วม คือ ภรรยาของลุงเปล่งที่มาด้วยกัน และไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดเหมือนกัน ซึ่งภรรยาลุงเปล่งบอกว่า “ไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านพูดอะไรของท่าน เราก็เลยอธิษฐานส่งเดชไป เพราะตอนนั้น..ไม่คิดว่า..ท่านจะศักดิ์สิทธิ์จริง เพราะหลวงพ่อท่านก็แค่พูดนิ่ง ๆ เฉย ๆ อีกทั้งยังไม่เห็นมีพิธีรีตองอะไร เราก็เลยนึกว่าไม่มีอะไร...”
และจากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจ และไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่นี่เอง ลุงเปล่งก็เลยไม่คิดที่จะอธิษฐานขออะไรที่มันใหญ่โตมาก คือ แทนที่ลุงเปล่งจะอธิษฐานขอให้เป็นมหาเศรษฐีระดับโลก มีกินมีใช้เหลือเฟือ จะได้ไม่ต้องทำมาหากินอีกแล้ว แต่กับคิดและอธิษฐานขอแค่ว่า ให้ได้ทำงานอยู่บริษัทบอร์เนียวไปจนกว่าบริษัทจะเจ๊ง ซึ่งนั่นก็หมายถึง ลุงเปล่งอยากจะทำงานไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากบริษัทบอร์เนียวเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูงมาก แต่แม้บริษัทบอร์เนียวจะมั่นคงขนาดไหน แต่สิ่งที่ไม่มั่นคงก็คือ สถานภาพของลุงเปล่ง เพราะลุงเปล่งทะเลาะกับหัวหน้าที่เป็นฝรั่งทุกวัน ท่านก็เลยกลัวว่า จะโดนไล่ออก เพราะคนที่ทะเลาะกับฝรั่งโดนไล่ออกไปกันหลายคนแล้ว คือ ถูกยื่นซองขาวจนซองขาวข้ามหัวไปข้ามหัวมา ซึ่งลุงเปล่งก็กลัวมากว่า ตัวเองจะต้องเป็นรายต่อไป...
ส่วนคุณป้าที่เป็นภรรยาของลุงเปล่งก็พอกัน..สมกับเป็นภรรยาของลุงเปล่งจริง ๆ คือ แทนที่จะอธิษฐานขออะไรใหญ่ ๆ โต ๆ ก็อธิษฐานขอแค่ให้มีตึกสักหลัง แถมยังบอกว่า เอาไม่ต้องใหญ่ ขอหลังเล็ก ๆ ที่พอมีบริเวณสนามหญ้านิดหน่อย มีรั้วแค่นี้ก็พอแล้ว และพอลุงเปล่งและภรรยาอธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ท่านก็พูดย้ำเพิ่มความมั่นใจให้อีกว่า “ที่อธิษฐานนี่นะ..สำเร็จทุกอย่าง เอ้า..ให้ตั้งใจรับพร” ซึ่งพอท่านขึ้นยถาฯ ให้พรจนจบ ขณะที่ท่านลุกเดินเข้าโรงงานทำวิชชา ท่านก็ยังหันหน้าไปย้ำลุงเปล่งอีกว่า “เปล่งเอ๊ย...สิ่งที่เอ็งอธิษฐานน่ะ..สำเร็จ.!!!..”
แต่ลุงเปล่งก็ไม่ถึงกับเชื่อหลวงปู่ เพราะหลังจากนั้น ลุงเปล่งก็ยังมากราบเรียนหลวงปู่อยู่เรื่อย ๆ ว่า “หลวงพ่อครับ เขาจะไล่ผมออกแล้วครับ เพราะผมทะเลาะกับฝรั่งหนักขึ้นทุกวัน ทำยังไงดีครับ..?”
และพอหลวงปู่ฟังดังนั้น ท่านก็บอกว่า “เออ..เดี๋ยวข้าจะฝากเขาให้” ซึ่งทันทีที่ลุงเปล่งได้ฟังประโยคนี้ ลุงเปล่งก็ยิ่งงงใหญ่เลยและเพื่อให้หายงง จึงรีบถามหลวงปู่กลับว่า “เขาไหนครับ ??” แต่ท่านก็นิ่ง ๆ ไม่ยอมตอบอะไร เพราะตอบไปลุงเปล่งก็ไม่รู้เรื่อง
แต่เรื่องมันก็ไม่จบง่ายอย่างนั้นหรอก เพราะวันต่อ ๆ มา ลุงเปล่งก็ร้อนรนมากราบเรียนหลวงปู่ใหม่อีกว่า “หลวงพ่อครับ ๆ ซองขาวมันใกล้เข้ามาแล้วนะหลวงพ่อ ผมทะเลาะกับฝรั่งหนักเลย” ซึ่งหลวงปู่ได้ยิน ท่านก็บอกอีกว่า “เออ..!! ไม่เป็นไรหรอกข้าฝากเขาไว้แล้ว” ซึ่งการที่หลวงปู่ตอบอย่างนี้ ทำให้ลุงเปล่งงงหนักเข้าไปอีก “เขาไหน..?? ใครคือเขา..!!” แต่พอลุงเปล่งพยายามถามหลวงปู่ทีไร ท่านก็ไม่ยอมตอบสักที ก็เลยทำให้ลุงเปล่งนึกถามตัวเองในใจว่า “เขานี่ คือ พวกอธิบดง..อธิบดี หรือปลัด กระทรง..กระทรวงอะไรรึเปล่า”
ต่อมาจนกระทั่งหลวงปู่มรณภาพไปแล้ว ลุงเปล่งก็ยังไม่รู้เลยว่า “เขา” ที่หลวงปู่ว่า คือ ใคร แต่ตอนหลังลุงเปล่งมารู้คำเฉลยว่าเขา..คือใคร ก็ตอนที่ได้มากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยและคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และหลังจากรู้แล้ว ลุงเปล่งก็เรียนถามคุณยายอาจารย์ฯ ใหญ่เลยว่า “ แล้วทำไมตอนนั้นหลวงปู่ท่านไม่บอกล่ะ ??” คุณยายท่านก็ตอบกลับว่า “ถ้าบอกไปตอนนั้น..คุณก็ไม่เชื่อ..!!!”
ขอย้อนกลับมาเรื่องที่ลุงเปล่งทะเลาะกับฝรั่งต่อ..เพราะเรื่องนี้มันแปลกมาก อีกทั้งยังน่าอัศจรรย์ใจสุด ๆ คือ หลังจากที่หลวงปู่ฝากเขาไว้แล้ว ไม่ว่าลุงเปล่งจะทะเลาะกับนายฝรั่งมากขนาดไหนก็ไม่โดนไล่ออกสักที ทั้ง ๆ พวกที่ทะเลาะกับฝรั่งน้อยกว่าลุงเปล่งตั้งเยอะ กลับถูกยื่นซองขาวให้ออกกันไปหมดแล้ว
และสุดท้าย..ก็เป็นไปตามที่ลุงเปล่งอธิษฐานไว้จริง ๆ คือ ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทบอร์เนียวนานสมใจอยาก เพราะนานจนกระทั่งบริษัทบอร์เนียวเปลี่ยนเจ้าของไปจริง ๆ ส่วนคุณป้าที่เป็นภรรยาของลุงเปล่งก็เช่นกัน คือ สุดท้ายก็ได้บ้านตึกหลังเล็ก ๆ มีสนามหญ้าหน่อย ๆ จริง ๆ อยู่แถวเทเวศร์ ซึ่งคุณป้าก็พูดว่า “หากรู้ว่าหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้..รู้งี้..อธิษฐานขอบ้านให้มันใหญ่ ๆ โต ๆไปเลยดีกว่า..”
ส่วนเรื่องที่น่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นตอนที่ลุงเปล่งพาภรรยามาถวายภัตตาหารเพลที่วัดปากน้ำ ซึ่งพอเลี้ยงพระเสร็จ หลวงปู่ท่านเห็นในที่ของท่านว่า จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับภรรยาของลุงเปล่ง ก็เลยทำให้หลวงปู่บอกภรรยาลุงเปล่งว่า “เดี๋ยวคอยเดี๋ยว..อย่าเพิ่งไปไหน !!!”
จากนั้นหลวงปู่ท่านก็หายเข้าไปในโรงงานทำวิชชาประมาณครึ่งชั่วโมง พอออกมา ท่านก็บอกว่า “ต่ออายุให้แล้ว!!!” ซึ่งพอภรรยาลุงเปล่งฟังดังนั้น ท่านก็งง และรำพึงว่า “เอ๊ะ..เราก็แข็งแรงดี ไม่ได้เจ็บได้ป่วยอะไรเลย ทำไมหลวงพ่อมาบอกว่า ต่ออายุให้เรียบร้อยแล้ว !!!”
..และนี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ ที่ลุงเปล่งกับภรรยาได้ประจักษ์กับตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหนือความคาดหมาย ทำให้ท่านทั้งสองเกิดอาการคาดไม่ถึงแทบทุกเรื่อง จนท่านทั้งสองชอบพูดเน้น ๆ ย้ำ ๆ อยู่บ่อย ๆ ว่า หลวงพ่อท่าน..ศักดิ์สิทธิ์เกินไป!!!
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ