ท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป

วันที่ 19 กย. พ.ศ.2559

ท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป,พระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร,บทความประจำวัน

 

ท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป

เรื่องนี้..เป็นเรื่องของลุงเปล่ง..ซึ่งเป็นบุคคลยุคต้นวิชชาที่ชอบมาเล่าเรื่องราวของหลวงปู่ให้หลวงพ่อธัมมชโยฟังบ่อย ๆ อีกทั้งยังเคยมาวัดพระธรรมกายตั้งแต่ครั้งยังเป็นทุ่งนาฟ้าโล่งอีกด้วย

 

ลุงเปล่งเป็นทานบดีของวัดปากน้ำ..ที่ชอบมาถวายภัตตาหารกับหลวงปู่..พร้อมกับภรรยาอยู่เป็นประจำ  ด้วยเหตุนี้..จึงทำให้ลุงเปล่งคุ้นเคยกับหลวงปู่  แต่ทว่า..แม้จะคุ้นเคยกับหลวงปู่มากสักแค่ไหน  ลุงเปล่งก็ไม่ค่อยจะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สักเท่าไร ที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่เพราะลุงเปล่งไม่เคารพหรือลบหลู่หลวงปู่  แต่เป็นเพราะลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจและตามไม่ทันในเรื่องการทำวิชชาของหลวงปู่  โดยลุงเปล่งจะชอบพูดว่า “หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป”  อีกทั้งยังไม่ค่อยเชื่อในอานุภาพวิชชาธรรมกายอีกด้วย

 

ด้วยเหตุนี้....ลุงเปล่งจึงเป็นคนพิเศษเพียงคนเดียว ที่แม้ยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย แต่หลวงปู่ท่านก็เอ็นดู และอนุญาตให้เข้าไปในโรงงานทำวิชชาซึ่งก็คือกุฏิของท่าน  เพื่อให้ลุงเปล่งได้ประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ของวิชชาธรรมกายด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ในสมัยนั้น ผู้ที่จะเข้าไปในโรงงานทำวิชชาได้  ต้องเป็นพวกที่เข้าถึงพระธรรมกายเท่านั้น  แต่สำหรับลุงเปล่งแล้ว หลวงปู่จะพาท่านไปที่ประตูของโรงงานทำวิชชาแล้วบอกว่า..

“เปล่ง..เวลาเอ็งเข้ามานี่  เอ็งเอามือล้วงข้างล่าง..แล้วดันไม้อย่างนี้นะ  แล้วประตูมันจะเปิดเอง  และถ้าเอ็งเข้าไปแล้ว..ก็ให้นั่งเฉย ๆ นะ..อย่าส่งเสียงพูดอะไร  เพราะเขากำลังทำวิชชากัน”

ซึ่งพอลุงเปล่งลองเข้าไปจริง ๆ  ท่านก็ออกมาเล่าว่า “พอเข้าไปแล้ว..เราเหมือนคนบ้านะ  เพราะไม่รู้เขาพูดอะไรกัน  พูดกันอยู่ 2 คำ คือ ทำให้ละเอียด..ละเอียดลงไป  ..ละเอียดหรือยัง  ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงก็จะตอบหลวงปู่ว่า  ละเอียดแล้วเจ้าค่ะ  ถ้าเป็นพระก็จะตอบว่า  ละเอียดแล้วครับ  คือ  ฟังแล้ว..ไม่เห็นจะมีอะไร  มีแต่คำว่าละเอียด  และพอหลวงปู่ถามพวกที่ทำวิชชาว่า  สว่างหรือยัง เขาก็ตอบออกมาว่า  สว่างแล้วเจ้าค่ะ..”

จากนั้นหลวงปู่ก็บอกลุงเปล่งว่า “..เออ เปล่ง!!  ไหนเอ็งลองออกไปดูสิ   ท้องฟ้าสว่างหรือยัง”  ซึ่งลุงเปล่งก็ทำตามแต่ไม่เข้าใจ  คือ  ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรกัน  แต่พอเปิดประตูออกมาดูนอกโรงงานทำวิชชา  ทันใดนั้น..ลุงเปล่งก็เห็นท้องฟ้าสว่างจ้าเลย  แต่ลุงเปล่งก็แค่นึกในใจว่า “..เอ..!! ตอนเราเข้ามาวัดใหม่ ๆ ท้องฟ้ายังมืดตื้ออยู่เลย...มืดจนน่ากลัว  เอ๊ะ..!! แต่ทำไมตอนนี้มันสว่างจ้าเลย..”

จากนั้นก็กลับเข้ามารายงานหลวงปู่ทั้ง ๆ ที่ยังงงไม่หายว่า.. “สว่างแล้วครับ” ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ  ท่านก็นิ่ง ๆ ต่อไปโดยไม่พูดอะไร จากนั้นลุงเปล่งก็คิดในใจว่า.. “เรานั่งมาตั้งนานแล้ว  ไม่เห็นจะมีอะไร  มีแต่พูดคำว่าละเอียด ..ออกไปดีกว่า..ขืนอยู่ในนี้ต่อไป..บ้ากันพอดี”

ในช่วงนั้น..นอกจากลุงเปล่งจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการทำวิชชาแล้ว  ลุงเปล่งยังเชื่อและศรัทธาในวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย เพราะในช่วงที่ลุงเปล่งหัดเป็นหมอดู  ท่านจะชอบมาคุยอวดให้หลวงปู่ฟังว่าตำราโหราศาสตร์...มันดีอย่างนั้น..อย่างนี้  แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้  ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ  ท่านก็บอกว่า “..สู้  “สัมมาอะระหัง”  ไม่ได้หรอกวะ  เพราะเป็นทางมรรคผลนิพพาน”

แต่ลุงเปล่งก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร  แถมยังยืนยันความเชื่อของตัวเองอยู่ดี  คือ  เมื่อลุงเปล่งมาหาหลวงปู่ทีไร  ก็จะบอกแต่ว่าโหราศาสตร์แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้..อยู่เรื่อย  จนหลวงปู่รำคาญ จึงพูดกลับไปว่า.. “เปล่ง..ข้าให้เอ็งดูแม่นสัก 10 ปี  คือ  ในช่วง 10 ปีนี้..เอ็งจะแม่นมากทีเดียว  แต่หลังจากนั้น  ตอนท้ายของชีวิตนี่..เอ็งจะจำได้แค่ “สัมมา  อะระหัง”  วิชาอย่างอื่นเอ็งจะลืมหมดเลย..!!!”

ซึ่งตอนนั้น..ไม่ว่าหลวงปู่จะพูดยังไงลุงเปล่งก็ไม่เชื่อ  หนำซ้ำยังไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เลย  เพราะช่วงนั้นลุงเปล่งเป็นหมอดูที่แม่นมาก คือ แม่นในระดับเทพเรียกทวด  เพราะไม่ว่าลุงเปล่งจะจับตำราไหนมาอ่าน ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งหมด แถมยังแตกฉานถึงขนาดเขียนตำราหมอดูเองได้ แต่หลังจาก 10 ปี ผ่านไปเท่านั้นเอง...ลุงเปล่ง..เกิดเป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ ทายใครก็แค่เกือบถูก  ซึ่งก็แปลว่าไม่ถูก  แถมไม่แม่นเหมือนเก่า  เพราะที่เคยศึกษามา มันลืมไปจริง ๆ ซึ่งลุงเปล่งบอกว่า ที่พอจะจำได้บ้าง..ก็เป็นพวกคาถาอาคม  และเมื่อเป็นอย่างนี้  ลุงเปล่งก็เลยเกิดอาการเสียเซลฟ์ (Self) เพราะดูดวงใครก็ไม่ถูก จึงกลับมากราบเรียนถามหลวงปู่ว่าเพราะอะไร..ทำไมมันดูไม่แม่น  ซึ่งท่านก็ตอบลุงเปล่งไปว่า “..ก็มันครบ 10 ปี แล้วนี่หว่า”

ซึ่งลุงเปล่งนับเวลาดู ท่านก็ต้องทึ่ง เพราะเมื่อนับเวลาดูแล้วมันเลย 10 ปีไปแค่  1 วันเท่านั้นเอง ลุงเปล่งก็กลายเป็นหมอดูที่ดูไม่แม่นแล้ว  และที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้น  คือ  ในบั้นปลายชีวิตของลุงเปล่ง  ก็เป็นไปตามที่หลวงปู่บอกไว้เป๊ะเลย คือ ลุงเปล่งบอกว่า.. “เป็นไงก็ไม่รู้  คาถง..คาถา  หมอดง..หมอดู  อะไรที่เคยเรียนมามันลืมไปหมดเลย  เหลือแต่ “สัมมา  อะระหัง”  อย่างเดียวจริง ๆ ซึ่งทำไมมันลืมก็ไม่รู้เหมือนกัน  ทั้ง ๆ ที่พยายามนึก ๆ แล้ว แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก”

ซึ่งภรรยาลุงเปล่งเล่าให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยฟังที่อาคารดาวดึงส์ว่า “คุณเปล่งเขาจำอะไรไม่ได้เลย จริงอย่างที่หลวงพ่อพูดไว้ไม่มีผิด คือ ไม่รู้..คุณเปล่งแกเป็นอะไร  เขาบอกจำอะไรไม่ค่อยได้เหลือแต่ “สัมมาอะระหัง” อย่างเดียวเท่านั้น”

จากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ เลยทำให้มีคนไปถามลุงเปล่งว่า ทำไม..ถึงไม่ค่อยเชื่อหลวงพ่อ? ซึ่งลุงเปล่งก็จะตอบทันทีเลยว่า “ก็จะให้เชื่อได้ยังไง  เพราะเคยเห็นเกจิอาจารย์แทบทุกคนเลย  เวลาเขาจะทำของขลัง  หรือทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไร  เขาจะมีพิธีรีตอง จะต้องท่องคาถา ต้องเขียนเลขสักยันต์  หรือไม่ก็เสกเป่าอะไรสักอย่างเพื่อให้มันศักดิ์สิทธิ์ แต่นี่..ไม่เห็นหลวงพ่อท่านทำอะไรเลยสักอย่าง คือ พอเราพูดหรือขออะไรเสร็จ..แป๊ปเดียว..ยังไม่ทันไรเลย..หลวงพ่อท่านก็พูดกลับมาว่า..เรียบร้อยแล้ว หรืออย่างขณะที่หลวงพ่อกำลังนั่งฉันอยู่ พอมีญาติโยมเข้ามาขอบารมีให้ท่านช่วยอะไรสักอย่าง  ท่านก็ทำแค่ส่งเสียง  อือ ๆ..แถม อือ..ไป..ฉันไปอีกต่างหาก..”

อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่ง  ลุงเปล่งก็ขนเอาผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์รูปหลวงปู่  ที่ทำไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมงานมุทิตาหลวงปู่ในครั้งที่ท่านได้รับเลื่อนสมณศักดิ์  เป็นจำนวนร้อย ๆ  ผืน.. มาให้หลวงปู่ช่วยทำให้ศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งลุงเปล่งก็เอาไปวางไว้ข้าง ๆ สำรับอาหารของหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ว่าให้วางไว้นั่น แล้วท่านก็นั่งฉันไปเรื่อย ๆ และพอฉันเสร็จ  ท่านก็บอกลุงเปล่งว่า “เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ็งยกออกไปได้เลย”

พอลุงเปล่งเห็นดังนั้น..แทนที่จะอะเลิร์ตดีอกดีใจ กลับขัดอกขัดใจมาก  อีกทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เพราะมองว่าหลวงปู่ไม่ยอมทำอะไรให้สักอย่าง คิดว่าหลวงปู่ท่านไม่ยอมเสกผ้าเช็ดหน้าให้ และเมื่อคิดดังนี้..ก็เลยเอาผ้าเช็ดหน้านั้น เที่ยวไล่แจกญาติโยมจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเลยแม้แต่ผืนเดียว แถมไม่ยอมเก็บไว้เป็นของตัวเองเลยสักผืน เพราะมัวแต่คิดว่า ผ้าเช็ดหน้าทั้งชุดนี้..จะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร  เพราะหลวงปู่ท่านไม่ยอมเสกให้ แต่ที่ไหนได้...หลังจากที่ลุงเปล่งแจกเขาจนหมดแล้ว  ไม่นานต่อมา ปรากฏว่ามีคนเจออานุภาพกันมากมาย อีกทั้งยังมาเล่าเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของผ้านั้นให้ลุงเปล่งฟัง ว่าเจออานุภาพอย่างนั้น..อย่างนี้ เช่น บางคนไปทดลองเอาปืนยิงผ้า ซึ่งปรากฎว่าปืนพังไปเลย คือ  ยิงไม่ออก

ด้วยเหตุนี้..เลยทำให้ลุงเปล่งนึกเสียดายขึ้นมาทันที จนพูดออกมาว่า “ตายแล้ว..ๆ ไม่มีแล้ว ...แจกเขาไปหมดแล้ว” และพอลุงเปล่งมารู้ทีหลังว่า  ผ้าเช็ดหน้านั้นศักดิ์สิทธิ์  ลุงเปล่งก็เกิดคาใจขึ้นมาว่า..อยู่ ๆ ผ้าเช็ดหน้าเกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้อย่างไร  ในเมื่อหลวงปู่ไม่ได้เสก  ไม่ได้เป่าอะไรเลย!!

ด้วยความคาใจอย่างแรงนี้เอง ลุงเปล่งก็เลยเข้าไปถามท่านว่า “หลวงพ่อ..ทำยังไงหรือครับ ไม่เห็นเสกเป่าอะไรกับเขาเลย แล้วทำไมเขาเอาไปยิงแล้ว..ยิงไม่ออก..”

ซึ่งหลวงปุ่ก็ตอบแบบนิ่ง ๆ ว่า “ก็นึก ๆ เอา..” ลุงเปล่งก็ถามต่ออีกว่า “นึกยังไง..??”  หลวงปู่ก็ตอบเพิ่มว่า “ก็นึกในตำแหน่งที่นึก ๆ แล้วมันสำเร็จสิ”  ซึ่งก็คือศูนย์กลวงกายฐานที่ 7 นั่นเอง...

และนี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลุงเปล่งชอบพูดว่า  “หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป” คือ ดูภายนอกเหมือนหลวงปู่ท่านไม่ทำอะไร  แต่จริง ๆ ท่านทำงานภายในตลอดเวลา จนเป็นเรื่องปกติธรรมดาของท่าน  จึงทำให้ท่านเป็นมหาปูชนียาจารย์ที่ศักดิ์สิทธิ์  และมีอานุภาพอันไม่มีประมาณ..

หรืออีกคราวหนึ่ง ลุงเปล่งและภรรยาได้ไปถวายภัตตาหารเพลกับหลวงปู่และคณะพระภิกษุสงฆ์ที่วัดปากน้ำ และพอหลวงปู่ฉันเสร็จ ท่านก็พูดกับลุงเปล่งว่า.. “เออ..! พระจะให้พรแล้วนะ  เดี๋ยวพระพุทธเจ้าท่านเสด็จลงมานี่นะ  เอ็ง..จะเอากี่องค์  ..เดี๋ยวให้ท่านมาให้พรเอ็งสักหมื่นองค์  ศักดิ์สิทธิ์นัก..อธิษฐานเอาเลยนะ  เอ็งอธิษฐานเอา..ศักดิ์สิทธิ์  เดี๋ยวท่านมาหมื่นองค์” แถมท่านยังย้ำอีกว่า “มาแน่นอน..!!!”

พอลุงเปล่งฟังหลวงปู่พูดอย่างนี้..ก็เกิดอาการเป็นงง  ไม่เข้าใจและคิดในใจว่า “เราคงบ้าแน่  ท่านพูดอะไรของท่านไม่รู้..พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาให้พรได้ยังไง

ซึ่งการที่ลุงเปล่งคิดอย่างนี้  เนื่องจากลุงเปล่งไม่เข้าใจเรื่องการทำวิชชา  ก็เลยไม่เข้าใจความหมายที่หลวงปู่พูด  แต่ถ้าพวกที่ทำวิชชาเป็นได้มาฟัง  ก็จะเข้าใจทันทีว่า  การอาราธนาพระพุทธเจ้ามาแค่หมื่นองค์  เป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว  หรือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนอกจากลุงเปล่งจะไม่เข้าใจคำพูดที่หลวงปู่พูดแล้ว  ลุงเปล่งก็ยังมีแนวร่วม  คือ   ภรรยาของลุงเปล่งที่มาด้วยกัน  และไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดเหมือนกัน  ซึ่งภรรยาลุงเปล่งบอกว่า “ไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านพูดอะไรของท่าน  เราก็เลยอธิษฐานส่งเดชไป  เพราะตอนนั้น..ไม่คิดว่า..ท่านจะศักดิ์สิทธิ์จริง  เพราะหลวงพ่อท่านก็แค่พูดนิ่ง ๆ เฉย ๆ อีกทั้งยังไม่เห็นมีพิธีรีตองอะไร  เราก็เลยนึกว่าไม่มีอะไร...”

และจากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจ และไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่นี่เอง ลุงเปล่งก็เลยไม่คิดที่จะอธิษฐานขออะไรที่มันใหญ่โตมาก คือ แทนที่ลุงเปล่งจะอธิษฐานขอให้เป็นมหาเศรษฐีระดับโลก มีกินมีใช้เหลือเฟือ จะได้ไม่ต้องทำมาหากินอีกแล้ว แต่กับคิดและอธิษฐานขอแค่ว่า ให้ได้ทำงานอยู่บริษัทบอร์เนียวไปจนกว่าบริษัทจะเจ๊ง ซึ่งนั่นก็หมายถึง ลุงเปล่งอยากจะทำงานไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากบริษัทบอร์เนียวเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูงมาก แต่แม้บริษัทบอร์เนียวจะมั่นคงขนาดไหน แต่สิ่งที่ไม่มั่นคงก็คือ สถานภาพของลุงเปล่ง เพราะลุงเปล่งทะเลาะกับหัวหน้าที่เป็นฝรั่งทุกวัน ท่านก็เลยกลัวว่า จะโดนไล่ออก เพราะคนที่ทะเลาะกับฝรั่งโดนไล่ออกไปกันหลายคนแล้ว คือ ถูกยื่นซองขาวจนซองขาวข้ามหัวไปข้ามหัวมา ซึ่งลุงเปล่งก็กลัวมากว่า  ตัวเองจะต้องเป็นรายต่อไป...

ส่วนคุณป้าที่เป็นภรรยาของลุงเปล่งก็พอกัน..สมกับเป็นภรรยาของลุงเปล่งจริง ๆ คือ แทนที่จะอธิษฐานขออะไรใหญ่ ๆ โต ๆ ก็อธิษฐานขอแค่ให้มีตึกสักหลัง แถมยังบอกว่า เอาไม่ต้องใหญ่ ขอหลังเล็ก ๆ ที่พอมีบริเวณสนามหญ้านิดหน่อย มีรั้วแค่นี้ก็พอแล้ว และพอลุงเปล่งและภรรยาอธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ท่านก็พูดย้ำเพิ่มความมั่นใจให้อีกว่า “ที่อธิษฐานนี่นะ..สำเร็จทุกอย่าง  เอ้า..ให้ตั้งใจรับพร”  ซึ่งพอท่านขึ้นยถาฯ ให้พรจนจบ  ขณะที่ท่านลุกเดินเข้าโรงงานทำวิชชา  ท่านก็ยังหันหน้าไปย้ำลุงเปล่งอีกว่า “เปล่งเอ๊ย...สิ่งที่เอ็งอธิษฐานน่ะ..สำเร็จ.!!!..”

แต่ลุงเปล่งก็ไม่ถึงกับเชื่อหลวงปู่ เพราะหลังจากนั้น ลุงเปล่งก็ยังมากราบเรียนหลวงปู่อยู่เรื่อย ๆ ว่า “หลวงพ่อครับ เขาจะไล่ผมออกแล้วครับ  เพราะผมทะเลาะกับฝรั่งหนักขึ้นทุกวัน ทำยังไงดีครับ..?”

และพอหลวงปู่ฟังดังนั้น ท่านก็บอกว่า “เออ..เดี๋ยวข้าจะฝากเขาให้” ซึ่งทันทีที่ลุงเปล่งได้ฟังประโยคนี้ ลุงเปล่งก็ยิ่งงงใหญ่เลยและเพื่อให้หายงง  จึงรีบถามหลวงปู่กลับว่า  “เขาไหนครับ ??”  แต่ท่านก็นิ่ง ๆ ไม่ยอมตอบอะไร  เพราะตอบไปลุงเปล่งก็ไม่รู้เรื่อง

แต่เรื่องมันก็ไม่จบง่ายอย่างนั้นหรอก  เพราะวันต่อ ๆ มา ลุงเปล่งก็ร้อนรนมากราบเรียนหลวงปู่ใหม่อีกว่า “หลวงพ่อครับ ๆ  ซองขาวมันใกล้เข้ามาแล้วนะหลวงพ่อ  ผมทะเลาะกับฝรั่งหนักเลย”  ซึ่งหลวงปู่ได้ยิน  ท่านก็บอกอีกว่า  “เออ..!! ไม่เป็นไรหรอกข้าฝากเขาไว้แล้ว”  ซึ่งการที่หลวงปู่ตอบอย่างนี้  ทำให้ลุงเปล่งงงหนักเข้าไปอีก   “เขาไหน..??  ใครคือเขา..!!”  แต่พอลุงเปล่งพยายามถามหลวงปู่ทีไร  ท่านก็ไม่ยอมตอบสักที  ก็เลยทำให้ลุงเปล่งนึกถามตัวเองในใจว่า  “เขานี่  คือ  พวกอธิบดง..อธิบดี  หรือปลัด  กระทรง..กระทรวงอะไรรึเปล่า”

ต่อมาจนกระทั่งหลวงปู่มรณภาพไปแล้ว  ลุงเปล่งก็ยังไม่รู้เลยว่า  “เขา”  ที่หลวงปู่ว่า  คือ  ใคร   แต่ตอนหลังลุงเปล่งมารู้คำเฉลยว่าเขา..คือใคร  ก็ตอนที่ได้มากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยและคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์  ขนนกยูง  และหลังจากรู้แล้ว  ลุงเปล่งก็เรียนถามคุณยายอาจารย์ฯ  ใหญ่เลยว่า  “ แล้วทำไมตอนนั้นหลวงปู่ท่านไม่บอกล่ะ ??”   คุณยายท่านก็ตอบกลับว่า  “ถ้าบอกไปตอนนั้น..คุณก็ไม่เชื่อ..!!!”

ขอย้อนกลับมาเรื่องที่ลุงเปล่งทะเลาะกับฝรั่งต่อ..เพราะเรื่องนี้มันแปลกมาก  อีกทั้งยังน่าอัศจรรย์ใจสุด ๆ คือ  หลังจากที่หลวงปู่ฝากเขาไว้แล้ว  ไม่ว่าลุงเปล่งจะทะเลาะกับนายฝรั่งมากขนาดไหนก็ไม่โดนไล่ออกสักที ทั้ง ๆ พวกที่ทะเลาะกับฝรั่งน้อยกว่าลุงเปล่งตั้งเยอะ กลับถูกยื่นซองขาวให้ออกกันไปหมดแล้ว

และสุดท้าย..ก็เป็นไปตามที่ลุงเปล่งอธิษฐานไว้จริง ๆ คือ ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทบอร์เนียวนานสมใจอยาก เพราะนานจนกระทั่งบริษัทบอร์เนียวเปลี่ยนเจ้าของไปจริง ๆ ส่วนคุณป้าที่เป็นภรรยาของลุงเปล่งก็เช่นกัน  คือ  สุดท้ายก็ได้บ้านตึกหลังเล็ก ๆ มีสนามหญ้าหน่อย ๆ จริง ๆ อยู่แถวเทเวศร์  ซึ่งคุณป้าก็พูดว่า  “หากรู้ว่าหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้..รู้งี้..อธิษฐานขอบ้านให้มันใหญ่ ๆ โต ๆไปเลยดีกว่า..”

ส่วนเรื่องที่น่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่ง  เกิดขึ้นตอนที่ลุงเปล่งพาภรรยามาถวายภัตตาหารเพลที่วัดปากน้ำ  ซึ่งพอเลี้ยงพระเสร็จ  หลวงปู่ท่านเห็นในที่ของท่านว่า  จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับภรรยาของลุงเปล่ง  ก็เลยทำให้หลวงปู่บอกภรรยาลุงเปล่งว่า “เดี๋ยวคอยเดี๋ยว..อย่าเพิ่งไปไหน !!!”

จากนั้นหลวงปู่ท่านก็หายเข้าไปในโรงงานทำวิชชาประมาณครึ่งชั่วโมง  พอออกมา  ท่านก็บอกว่า “ต่ออายุให้แล้ว!!!”   ซึ่งพอภรรยาลุงเปล่งฟังดังนั้น  ท่านก็งง  และรำพึงว่า “เอ๊ะ..เราก็แข็งแรงดี  ไม่ได้เจ็บได้ป่วยอะไรเลย  ทำไมหลวงพ่อมาบอกว่า  ต่ออายุให้เรียบร้อยแล้ว !!!”

..และนี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่  ที่ลุงเปล่งกับภรรยาได้ประจักษ์กับตัวเอง  ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหนือความคาดหมาย  ทำให้ท่านทั้งสองเกิดอาการคาดไม่ถึงแทบทุกเรื่อง  จนท่านทั้งสองชอบพูดเน้น ๆ ย้ำ ๆ อยู่บ่อย ๆ ว่า หลวงพ่อท่าน..ศักดิ์สิทธิ์เกินไป!!!
 
 
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ

 

 

 

 

 

 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.019139536221822 Mins