แรงบันดาลใจที่ทำให้ข้าพเจ้าอยากเล่าเรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อปลายปี ๒๕๒๙ ได้พบผู้คน ๓ ราย รายแรก เป็นเวลาตอนบ่ายในท้ายฤดูฝน มีเสียง “กิ๊งก่อง” ดังขึ้นในบ้าน แสดงว่ามีคนมาหา ข้าพเจ้าเดินไปเปิดประตู เห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านยืนอย่างสำรวมอยู่เบื้องหน้า ไม่ทราบจะทักทายท่านด้วยคำพูดอย่างไร เพราะดูเหมือนจะไม่เคยรู้จักท่านมาก่อนเลย ขณะที่กำลังลังเลเพราะนึกถึงเรื่องที่น้องชายสั่งไว้ว่า “พี่ พี่ ระวังบ้างนะ เดี๋ยวนี้มีคนยากจนไปจากทางจังหวัดแถวที่ผมอยู่ โกนหัวปลอมเป็นพระเก๊เที่ยวเดินขอเรี่ยไรตามบ้าน ถ้ามีโอกาสบางทีมันก็จี้ปล้นเอา”
ข้าพเจ้ามองดูพระภิกษุรูปนี้ไม่มีลักษณะคนทางภาคนั้น แววตาของท่านแสดงความปีติยินดีอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้ายิ้มละไมเหมือนได้พบผู้เป็นที่รักใคร่นับถือที่อยากพบ อิริยาบถสำรวมเหลือเกิน ใจของข้าพเจ้าติดสินได้ทันทีว่า “นี่ไม่ใช่พระเก๊” จึงนิมนต์ท่านเข้ามานั่งในห้องรับแขก แล้วก้มลงกราบที่พื้นตามนิสัยของข้าพเจ้าที่ชอบแสดงความยินดีกับผู้ซึ่งนับเป็นอุดมเพศ เป็นเพศสูง คือ เพศชายซึ่งมีสิทธิ์บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาได้ในยุคนี้ ส่วนเพศหญิงหมดสิทธิ์จากการบวชเป็นพระภิกษุณีเสียแล้ว เพราะมีธรรมวินัยว่าการบวชพระภิกษุณีต้องบวชโดยมีพระภิกษุทั้งสองฝ่าย คือ พระภิกษุและพระภิกษุณีเป็นพยานที่เรียกว่าเป็นพระนั่งอันดับดังที่เรารู้จักกัน เมื่อในสมัยนี้ไม่มีพระภิกษุณีเหลืออยู่ ทำให้การบวชพระภิกษุณีพลอยทำไม่ได้ไปด้วย เพศหญิงอาภัพขนาดนี้ ดังนั้นพอเห็นพระภิกษุที่ใด ข้าพเจ้าจะกราบไหว้ชื่นชมยินดีกับท่านในฐานะที่ท่านมีมหาโชคมหาลาภ ได้อานิสงส์บวชถึง ๖๔ กัป โดยที่ผู้หญิงอย่างเราหมดสิทธิ์
“อาตมาดีใจมากที่สุดที่ตามหาบ้านโยมอาจารย์จนพบ” พระภิกษุรูปนั้นกล่าวขึ้น และท่านคงเห็นท่าทางของข้าพเจ้าแสดงอาการงุนงงสงสัย พูดอะไรไม่ถูก ทำหน้าตาพิกลอยู่ ท่านจึงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
“โยมอาจารย์จำอาตมาไม่ได้มั่งเนี้ย อาตมาคือ เด็กชายจ๋องกรอด ของโยมไงล่ะ อาตมาบวชเป็นพระแล้ว คนที่อาตมาคิดถึงมากที่สุด หลังจากบวชแล้วคือโยมอาจารย์ เพราะโยมทีเดียว อาตมาจึงมีโอกาสมีชีวิตสร้างบุญกุศลยังงี้”
คำว่า “จ๋องกรอด” เตือนความจำทั้งมวลของข้าพเจ้าในชีวิตนี้ ข้าพเจ้าตั้งชื่อเด็กไว้คนหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้น ว่าชื่อจ๋องกรอด แล้วก็มีคนเรียกตามข้าพเจ้าอีก ๒-๓ พันคน แม้แต่แม่ของเด็กเองก็เลิกเรียกชื่อเก่าของลูก มาเรียก จ๋องกรอด ตามชื่อที่ข้าพเจ้าตั้ง เวลานี้จำไม่ได้เสียแล้วว่าชื่อเล่นที่แม่ของเด็กตั้งไว้เดิมนั้นชื่ออะไร แต่ชื่อจริงดูเหมือนจะชื่อ “สันติ” ซึ่งเป็นชื่อที่ข้าพเจ้าพอใจด้วยจึงไม่คิดเปลี่ยนชื่อจริงของเขาอีก
ประวัติของ “จ๋องกรอด” ในเวลาที่ข้าพเจ้ารู้จักมีดังนี้
ปีนั้นเป็นปี พ.ศ.๒๕๑๐ ข้าพเจ้ายังมีอาชีพรับราชการ ได้รับแต่งตั้งให้ไปเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนใกล้ๆ ทางท่าเรือคลองเตย ในสมัยนั้นถือกันว่าบริเวณย่านนั้นเป็นแหล่งเสื่อมโทรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ในฐานะที่เป็นอาจารย์ใหญ่คนแรกของโรงเรียนสร้างใหม่แห่งนั้น ข้าพเจ้าจึงมักไปถึงที่ทำงานแต่เช้าก่อนใครๆ
วันนั้น ข้าพเจ้าไปแต่เช้าเช่นปรกติ พอก้าวเท้าเข้าประตูโรงเรียน สายตามองไปที่ถังขยะก่อนสิ่งอื่น เพราะแทบทุกเช้าสุนัขชอบรื้นค้นถังขยะหกเลอะเทอะ และข้าพเจ้าจะต้องเรียกภารโรงมาจัดการเก็บให้เรียบร้อยก่อนเด็กนักเรียนจะมาถึง ครั้งนี้ถังขยะไม่หกคะเมนเหมือนวันอื่น ข้าพเจ้ามองดูข้างๆ ถังแล้วคิดว่า เป็นสุนัขตัวหนึ่งนอนขดตัวหลับเงียบอยู่จึงคิดว่า
...อ้อ วันนี้ยังไม่คุ้ยนะ หลับเงียบเชียว ยังเช้าอยู่รึไง คิดแล้วก็เหลียวหาไม้เล็กๆ ได้อันหนึ่ง ไม่ใช่คิดจะไปตี แต่จะเอาไปเคาะที่พื้นขู่ให้สุนัขหนีไป พอเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อยก็ต้องนึกต่อไปอีกตามสายตาที่มองเห็น
...โธ่ถังเอ๊ย เป็นหมากลางถนน ไม่มีคนเลี้ยง อดอยากจะแย่แล้วยังไม่พอ นี่ยังเป็นขี้เรือนหนังกลับเสียทั้งตัวทีเดียวรึนี่ ดูสิตัวไม่มีขนเลย มีแต่แผลน้ำเลือดน้ำเหลืองเยิ้ม คงจะเกาจนหนังถลอกปอกเปิกหมด...
ข้าพเจ้าเกิดความสงสารขึ้นมา คิดอยากจะให้คนงานเก็บอาหารที่เหลือจากโรงครัวของโรงเรียน มาเลี้ยงพวกสุนัขจรจัดหรือแมวพเนจรบ้าง แต่พอนึกถึงเรื่องโรคพิษสุนัขบ้าก็ต้องเลิกล้มความคิดเพราะนักเรียนของเรามีเป็นพันๆ คน หากมีหมาบ้าแมวบ้า เด็กๆ จะได้รับอันตราย อีกประการหนึ่งยิ่งเลี้ยงไว้ ผู้คนชาวบ้านรู้เข้าจะยิ่งเอามาปล่อย เดี๋ยวก็ออกแม่แผ่ลูกกันเต็มโรงเรียน จะเอาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงไหว
เมื่อตัดสินใจจะเอาไม้ไปเคาะที่พื้นไล่ให้หนีไป จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วก็ต้องตกใจ ภาพที่เห็นนั้นไม่ใช่สุนัข แต่เป็นเด็กชายคนหนึ่ง ไม่สวมใส่เสื้อผ้า ผอมหัวโต อายุประมาณ ๖-๗ ขวบ ตามตัวเต็มไปด้วยแผลด้วยฝี เลือดและน้ำหนองน้ำเหลืองเกรอะกรัง ตั้งแต่หัวถึงเท้า โดยเฉพาะที่หัวแผลเป็นเต็มไปหมด เส้นผมที่มีอยู่เล็กน้อยก็ติดแน่นกับหนังศีรษะ ด้วยน้ำเหลืองที่แห้งกรังนั้น
เด็กนอนขดอยู่ด้วยความหนาวเย็นของอากาศตอนเช้าฤดูฝนจึงมองเป็นก้อนกลมๆ คล้ายสุนัขนอนขด ข้าพเจ้าจับตัวเขย่าเรียกให้ลุกขึ้น แกแสดงอาการตื่นตกใจเตรียมจะวิ่งหนี แต่เมื่อได้ยินเสียงพูดอ่อนโยนจากใจจริง จึงยืนชะงักอยู่
“ทำไมหนูมานอนอยู่นี่ล่ะจ๊ะ นี่ไม่ใส่เสื้อผ้าเลย ไม่หนาวหรือ”
เมื่อพูดคุยปลอบโยนจนเด็กหายกลัวแล้ว เด็กจึงบอกข้าพเจ้าว่า มาคอยอยู่ที่ถังขยะ เพราะอีกสักครู่นักเรียนจะพากันมาโรงเรียน เด็กบางคนมีของกินติดมือมากินตอนเช้า เศษที่เขาทิ้งที่ติดใบตองหรือถุงพลาสติกนั่น แกจะได้เก็บกิน
ข้าพเจ้าพูดไม่ออก หลังจากพาไปกินข้าวที่โรงครัวของโรงเรียนจนอิ่มแล้ว ข้าพเจ้าก็ขอเสื้อผ้าชุดที่เก่าที่สุดของลูกคนงาน ๑ ชุด โดยสัญญาว่าวันรุ่งขึ้นจะซื้อไปใช้คืนให้ พอสายหน่อยจึงจับเด็กอาบน้ำฟอกสบู่ด้วนตนเอง ไม่กล้าใช้ผู้อื่นเพราะเนื้อตัวเด็กน่าเกลียดและสกปรกมาก เสร็จแล้วจึงใช้ยาเหลืองทาตามแผลให้จนทั่วตัว สั่งว่า
“หนูต้องมาหาครูทุกวันนะ ครูจะใส่ยาให้ ตอนมาให้เอาหม้อมาใส่ข้าวด้วย ครูจะให้ข้าวหนูไปกินที่บ้าน”
วันรุ่งขึ้นเด็กมาหาข้าพเจ้าตามที่สั่ง ครั้งนี้พาพี่สาวมาด้วยอีกคนหนึ่ง อายุแก่กว่าประมาณ ๓ ปี นุ่งผ้าถุงตัวเล็กสั้นๆ เก่าจนมองไม่รู้ว่าเป็นสีอะไร ผมเผ้ารุงรังเต็มไปด้วยเหา ไม่ใส่เสื้อ ที่น่าสังเวชเป็นที่สุดอีกอย่างคือ มีตาเพียงข้างเดียว บอดเสียข้างหนึ่ง รูปร่างผอมโซเหมือนน้อง
คราวนี้ข้าพเจ้าเหลืออดเหลือทนจริงๆ หลังจากให้อาหารที่เหลือใส่หม้อไปแล้ว ก็ขอตามไปดูถึงบ้านเด็ก ครั้นเห็นที่อยู่ถึงกับพูดไม่ถูก เพราะเรียกว่าบ้านไม่ได้ พื้นที่นั่งทำด้วยเศษไม้ที่แม่ของเด็กขโมยไปจากงานก่อสร้างของโรงเรียนนั้นเอง รวมทั้งสังกะสี ๕-๖ แผ่น บนหลังคา ไม่มีฝาบ้าน ด้วยเหตุที่ปลูกอยู่ในน้ำครำตรงซอกบ้านคนอื่น จึงอาศัยฝาบ้านของผู้อื่นช่วยบังบ้านของตน มีหม้อข้าวเพียงใบเดียว เตาถ่านพังๆ หนึ่งเตา บ้านนี้ไม่มีมุ้ง เด็กทั้งคู่อยู่กับมารดา บิดาทิ้งไปตั้งแต่เด็กคนเล็กยังอยู่ในท้องแม่ อาชีพที่แม่ทำเลี้ยงลูกคือช้อนลูกน้ำ ในน้ำเน่ารอบๆ บ้าน และบริเวณใกล้เคียงย่านนั้น เพื่อนำไปขายที่ร้านขายปลาเงินปลาทองที่ตลาด สมัยนั้นราคากระป๋องนมละ ๓-๔ บาท เป็นตัวลูกน้ำแท้ๆ ต้องกรอง ไม่ให้มีน้ำติด ฉะนั้นวันหนึ่งๆ จะหาได้อย่างมากประมาณ ๒-๓ กระป๋องนม จึงไม่สามารถหาเงินซื้อมุ้งมาใช้กางนอน ต้องแบ่งรายได้ประจำวันซื้อยาจุดกันยุงวันละ ๑ บาท จุดตั้งแต่เข้านอน เมื่อหลับไปแล้วยาจะหมดเมื่อใดก็แล้วไป ยุงจึงกัดเด็กทุกคืนจนตามตัวเป็นแผลพุพองดังที่เล่าไว้
ข้าพเจ้าจำได้ว่า ได้ให้ความช่วยเหลือครอบครัวนี้ไปหลายประการ เรื่องของใช้ เรื่องมุ้ง เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว ตลอดจนกระทั่งไปขอร้องให้ที่ว่าการอำเภอแจ้งเด็กลงทะเบียนบ้านของโรงเรียน ตั้งแต่เกิดแม่ไม่เคยแจ้งเกิดตามกฎหมาย เด็กจึงไม่มีสิทธิ์เข้าเรียน
ต่อมา ข้าพเจ้าเอาเด็กเข้าเรียนและเนื่องจากพบปัญหาเด็กขาดแคลนอีกเป็นจำนวนมากรายด้วยกัน จึงได้ริเริ่มหาทุนช่วยนักเรียนตั้งแต่นั้นมา
เด็กที่ข้าพเจ้าเห็นครั้งแรกนึกว่าเป็นสุนัขขี้เรือนคนนี้ ข้าพเจ้าเรียกเขาด้วยความเอ็นดูว่า “จ๋องกรอด” เพราะผอมและเดินจ๋องๆ ทำตาเซื่องๆ ซื่อๆ น่าสงสาร เมื่อมีชีวิตสบายขึ้น มีอาหารเหลือจากโรงอาหารของโรงเรียนกินทุกวัน นอนในมุ้ง มีผู้ทายาแผลพุพองให้จนหาย เด็กจึงมีรูปร่างสมบรูณ์ผิวพรรณผ่องใสขึ้น ข้าพเจ้าให้มาเข้าเรียน ทั้งครูและเพื่อนๆ พากันเรียกชื่อเด็กตามข้าพเจ้าไปหมดทุกคน จ๋องกรอดชอบแอบมามองดูข้าพเจ้าทุกเช้า เมื่อข้าพเจ้าไปถึงโรงเรียนเพียงข้าพเจ้ายิ้มด้วย เรียกทักชื่อเขา ถามสารทุกข์สุกดิบไม่กี่คำ เขาก็จะยิ้มแย้มด้วยความสุขใจและกลับไปเล่นกับเพื่อนๆ ต่อ จนเรียนชั้นสูงขึ้นเป็นผู้ใหญ่เข้า จึงไม่ค่อยมาเฝ้าดูข้าพเจ้าอีก
ในสมัยยังเล็กๆ นั้น ถ้ามีสิ่งใดขาดเหลือ เขาจะมาพบข้าพเจ้าแต่จะไม่ออกปากขอ ต้องรอให้ถูกซักก่อนว่ามีสิ่งใดที่ต้องใช้ จึงจะค่อยๆ บอกด้วยความเกรงใจ ต่อมา ครูประจำชั้นเห็นเด็กเป็นคนขี้เกรงใจให้ซื้อหนังสือหรืออุปกรณ์ใดๆ ก็ไม่ค่อยทันเวลา ครูจึงเลยเป็นผู้เบิกแทนเสียเอง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าจำประวัติของจ๋องกรอดได้แม่นเป็นพิเศษ เวลานั้นมีพายุไต้ฝุ่นพาฝนตกหนักในกรุงเทพมหานครถึง ๔ วัน ๔ คืน แม้พายุจะเลิกพัดไปแล้ว ในห้องเรียนของจ๋องกรอด เพื่อนๆ ทุกคนมากันครบ ขาดไปแต่จ๋องกรอดและพี่สาว ครูประจำชั้นรายงานให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าจึงชวนเขาไปยังที่อยู่ของเด็กด้วยกัน ปรากฏว่าน้ำท่วมเต็มไปหมดเข้าไม่ได้ จ๋องกรอดลุยน้ำออกมาพบพร้อมกับมารดา อธิบายให้ข้าพเจ้าทราบว่าน้ำท่วมจนหาลูกน้ำไปขายที่ตลาดแทบไม่ได้ จึงต้องให้ลูกทั้งสองคนขาดโรงเรียนช่วยกันหาช้อนลูกน้ำ แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้เงินพอซื้อข้าวสารกินในแต่ละวัน ข้าพเจ้าพูดกับเขาว่า
“พรุ่งนี้ให้ลูกไปโรงเรียน เรื่องข้าวสารไม่ต้องห่วง ครูจะฝากให้มากับจ๋องกรอด”
ขณะที่พูด ข้าพเจ้าก็นึกถึงว่าจะนำข้าวสารจากบ้านตนเอง พร้อมทั้งเครื่องกระป๋อง ไข่ ปลาเค็ม ที่มีอยู่แบ่งมาให้ก่อน ต่อจากนั้นจึงค่อยให้การช่วยเหลือระยะยาว ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ และคนรู้จัก ได้ข้าวสาร ๒-๓ กระสอบ ของแห้ง ของเค็มตามสมควร ได้อนุเคราะห์เพิ่มอีกหลายครอบครัว
แต่สำหรับจ๋องกรอดที่ต้องจำได้จนเดี๋ยวนี้ เพราะวันที่ข้าพเจ้านำข้าวสารจากที่บ้านประมาณครึ่งถัง ไข่ดิบ ๑๐ ฟอง ของแห้งอีกบางอย่างให้เด็กกับพี่สาวนำกลับบ้าน ทั้งคู่เกิดหกล้มระหว่างทาง ข้าวสาร ไข่ดิบ และของอื่นๆ ตกลงในน้ำเน่าสกปรกสูญเสียไปหมดสิ้น วันนั้นครอบครัวเขาต้องอดข้าวไปตามเคย วันต่อมาเมื่อข้าพเจ้ารู้ข่าว ครั้งนี้ข้าพเจ้าเป็นคนถือด้วยมือของตนเองไปวางไว้จนถึงในที่เก็บข้าวสาร เวลาครูบางคนถาม ข้าพเจ้าจะตอบเขาไปว่า
คุณรู้มั้ย เรื่องของกรรมนั้นมีอานุภาพรุนแรงนัก ถ้าเคยเบียดเบียน เช่น คดโกง ขโมยของคนอื่นเค้าไว้ ทำให้ต้องลำบากอดอยากแล้ว แม้เราจะสงสารหยิบยื่นสิ่งใดๆ ให้ เขาก็กินก็ใช้ไม่ได้ ต้องมีอันเป็นไปให้ต้องอดอย่างกรณีนี้แหละ ให้เด็กไปเด็กก็ต้องหกล้ม ข้าวของหล่น อดกันหมดทั้งบ้าน แต่เมื่อพี่(หมายถึง ตัวข้าพเจ้า) เป็นคนเอาไปให้ พี่อธิษฐานว่าด้วยบุญของพี่ขออย่าให้พี่เห็นครอบครัวนี้อดอยาก ขอให้เขาได้กิน เพื่อพี่และพวกเราจะได้ดีใจ เขาจึงได้กิน
พี่น้องคู่นี้ได้ทุนเล่าเรียนเหมือนเด็กที่ขาดแคลนรายอื่นๆ ตลอดเวลาที่เรียนอยู่ในโรงเรียน เมื่อจบชั้นสูงสุดพี่สาวออกไปช่วยมารดาประกอบอาชีพรับจ้างในร้านขายของ ส่วนจ๋องกรอดเป็นเด็กมีนิสัยดี เรียนเก่ง ไปสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนอีกแห่งหนึ่งสอบได้ที่ดี ข้าพเจ้าจึงทำหนังสือราชการขอความช่วยเหลือไปยังสถานศึกษาแห่งนั้น ขอทุนให้เด็กได้เรียนต่อ ซึ่งได้รับความร่วมมือด้วยดี ในระยะที่จ๋องกรอดไปเรียนที่อื่นแล้ว มีโอกาสสว่างยังกลับมาเยี่ยมข้าพเจ้า ดูเขาไม่ลืมช่วงชีวิตที่เขาได้รู้จักและเล่าเรียนอยู่กับข้าพเจ้าถึง ๗ ปี กระทั่งเวลาต่อมาเมื่อข้าพเจ้าออกจากราชการ เราก็ไม่ได้พบกันอีกเลยนับกว่า ๑๐ ปี
มาเห็นในบัดนี้จ๋องกรอดของครู เธอยู่ในเพศสมณะอันสำรวมเรียบร้อย ครั้งก่อนพบกันเธอต้องกราบครูทุกครั้ง ครั้งนี้ครูต้องเป็นฝ่ายกราบเธอ ครูเต็มใจกราบคารวะเธอเป็นที่สุด...จากนั้นเราได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ในชีวิตระหว่างเวลาที่จากกันสู่กันฟัง
เมื่อจ๋องกรอดเรียนชั้นมัธยมสูงสุดแล้ว ไม่มีทุนเรียนชั้นสูงต่อ จึงได้ออกมาประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งมีรายได้พอเลี้ยงมารดาและเหลือเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ในพรรษานั้นปี ๒๕๒๙ จึงเอาเงินที่เก็บไว้มาให้มารดาจัดงานบวชให้ตนและเหลืออีกส่วนหนึ่งให้มาดาไว้ใช้เลี้ยงชีวิตในระหว่างที่ลูกชายบวชในระยะที่ทำงานได้ จ๋องกรอดไม่ยอมให้มาดาช้อนลูกน้ำขายอีกเพราะจำคำขอร้องที่ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ ก่อนที่เราจะจากกันในครั้งเขาย้ายโรงเรียนว่า เมื่อใดมีอาชีพบริสุทธิ์เลี้ยงตัวและแม่ ขอให้แม่อยู่ให้สบาย อย่าให้หากินในทางบาปอย่างที่ทำอยู่ คือช้อนลูกน้ำบ้าง ให้คนมาตั้งเล่นวงไพ่ในที่อยู่บ้าง เพื่อเก็บ “ค่าต๋ง” พอตำรวจรู้พากันมาจับ คนเล่นก็ต่างคนกระโจนวิ่งหนี บางครั้งถึงกับที่อยู่อาศัยแคบๆ นั้น พังระเนระนาดต้องซ่อมกันเป็นวัน
เมื่อบวชแล้วได้ย้อนกลับไปที่โรงเรียนเดิม เพื่อสอบถามที่อยู่ของข้าพเจ้าจากครูเก่าๆ เมื่อรู้ว่าข้าพเจ้ากลับไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อเลี้ยงดูบิดาก็หมดหวัง ต่อมาได้พบคนรู้จักอีกคนหนึ่งเขาบอกว่าบิดาของข้าพเจ้าถึงแก่กรรมแล้ว จึงได้เสี่ยงมาดูบ้านที่อยู่บางยี่ขันและได้พบข้าพเจ้า
หลังจากคุยกันเรื่องความเป็นอยู่ในชีวิตแล้ว เราก็ได้สนทนาธรรมกันอีกหลายเรื่องทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ ท่านกล่าวในที่สุดว่า
“อาตมาได้เรียนหนังสือก็เพราะความช่วยเหลือของโยมอาจารย์ ได้บวชก็เพราะนึกถึงสมัยเป็นนักเรียนอยู่กับโยม โยมสอนอาตมาและเพื่อนๆ ให้ฝึกสมาธิ อาตมารู้ว่าเรื่องศาสนาเป็นเรื่องดีงาม โยมอาจารย์จึงเอามาสอนลูกศิษย์ จำได้มาตลอดเวลา เมื่อมีโอกาสจึงขออนุญาตโยมแม่บวช มามีปัญหาตอนนี้ตรงที่อาตมาบวชแล้วมีศรัทธามาก ชีวิตเป็นสุขจริงๆ ไม่อยากสึกหาลาเพศอีกเลย แต่เงินที่ให้โยมแม่ไว้เป็นจำนวนไม่มาก ถ้าไม่คิดสึกก็ไม่มีใครเลี้ยงโยมแม่ พี่สาวก็มีรายได้น้อย แต่งงานไปกับคนจนๆ ด้วยกัน มีลูกอีก ๒-๓ คน ช่วยเลี้ยงแม่ไม่ได้ โยมแม่จึงมีแต่อาตมาเท่านั้น”
ข้าพเจ้าต้องนิ่งอั้นคราวนี้จนปัญญา นึกถึงเรื่องพระภิกษุองค์หนึ่งในสมัยพุทธกาล ท่านบิณฑบาตเลี้ยงโยมบิดามารดาได้ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้ แต่เมื่อสอบถามการบิณฑบาตของท่านจ๋องกรอด เห็นว่าได้น้อยมาก พอเพียงสำหรับท่านเองเท่านั้น คงจะไม่พอถึงโยมแม่ ทั้งผู้คนสมัยนี้มีความเป็นอยู่ที่จำเป็นหลายอย่าง เครื่องอุปโภคบริโภคล้วนแต่ต้องใช้เงินซื้อทั้งสิ้น จึงต้องขอให้ท่านตัดสินใจเอง แต่ขอร้องว่าแม้ต้องสึกหาลาเพศออกมาขอให้อยู่ในศีลธรรม โดยเฉพาะให้มีศีล ๕ เป็นประจำ ถึงจะอยู่ในแดนคนจนมีปัญหาสารพัดอย่างที่เป็นอยู่ ก็ขอให้คงความเป็นเพชรไว้ เมื่อใดมีโอกาสถูกใครหยิบขึ้นมาล้างโคลน ก็ให้ส่องประกายเจิดจ้าดังเดิม ขอให้หลีกเลี่ยงการคบเพื่อนเลวๆ ให้มากที่สุด
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ๒ ปีผ่านไป พระภิกษุ “จ๋องกรอด” ของข้าพเจ้าได้หายไป ยังมิได้กลับมาเยี่ยมกันอีก ท่านอาจจะสึกจากสมณเพศแล้ว
ครูขอภาวนาให้จ๋องกรอดของครู จงมีชีวิตที่อยู่เย็นเป็นสุข ปฏิบัติตนอยู่ในครรลองที่ดีงามสร้างสมแต่กุศลกรรมไปให้ตลอดรอดฝั่งจนชั่วชีวิต การที่กลับมาให้ครูเห็นชายผ้าเหลือง ครูก็ถือว่าดอกไม้ที่ครูปลูกไว้ออกดอกแล้ว ถึงจะรอนานหน่อยถึง ๑๙ ปี แต่ดอกสีเหลืองก็งามเบิกบาน สว่างไสวอยู่กลางใจครูมาจนถึงกระทั่งทุกวันนี้จ้ะ
ชื่อเรื่องเดิม จ๋องกรอด
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม1