เรื่องนี้ พระทนุ ชยารักโข ปัจจุบันอายุ 70 ปี เล่าว่า..ท่านได้ฟังเรื่องนี้มาจากเจ้าของเรื่องโดยตรง ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังเป็นหนุ่ม อายุประมาณ 30 ปี ช่วงนั้นท่านไปทำบุญที่วัดปากน้ำอยู่เป็นประจำเนื่องจากโยมแม่แท้ ๆ คือ โยมแม่กิมซุ้ย แซ่ลี้ ไปบวชเป็นแม่ชีอยู่ที่นั่น และช่วยรับบุญขายพวงมาลัยให้สาธุชนนำไปบูชาหลวงปู่ และด้วยความที่ท่านไปวัดปากน้ำบ่อย ๆ นี่เอง ก็ได้ไปเจอกับป้าคนหนึ่ง ซึ่งท่านไปวัดทำบุญกับวัดปากน้ำยาวนานกว่า 30 ปี ซึ่งป้าคนนี้..เป็นหญิงชาวจีนหน้าตาใจดี อายุได้ 82 ปี ตอนนั้นเข้ามาจับมือท่าน..แล้วพูดกับท่านว่า “ลูก ๆ ให้หมั่นมาไหว้หลวงพ่อวัดปากน้ำบ่อย ๆ นะ..ท่านศักดิ์สิทธิ์มากนะ”
ป้าคนนี้เล่าให้ท่านและโยมแม่ฟังพร้อมกันว่า ก่อนหน้านั้น..แกก็ไม่รู้หรอกว่าหลวงปู่วัดปากน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทั้ง ๆ ที่ป้าชอบพายเรือมาทำบุญที่วัดปากน้ำอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งในปี พ.ศ.2480 ป้ามีเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจ มากราบเรียนหลวงปู่ว่า “หลวงปู่คะ..อยู่ ๆ เจ้าของที่ดินที่เช่าทำสวนอยู่ เขาจะขอที่คืน ลูกกลุ้มใจ..เพราะตอนนี้ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนแล้วค่ะ”
หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า “เออ!! เอ็งไม่ต้องกลุ้มใจหรอก อย่างเอ็งน่ะ..มันมีที่อยู่อยู่แล้ว” ป้าคนนี้ก็พูดตอบหลวงปู่ว่า “หลวงพ่อ..อย่าพูดเล่นเลยเจ้าค่ะ ลูกกลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว”
จากนั้นป้าก็พายเรือกลับบ้านด้วยอาการเฉาชีวิตแบบสุด ๆ แต่พอไปถึงบ้านเท่านั้นเอง ก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะอยู่ ๆ ก็มีคนแปลกหน้ามาดักรออยู่ที่บ้าน เพื่อจะเอาที่ดินมาขายให้จำนวน 4 ไร่เศษ อยู่แถวถนนสวนผัก เขตบางขุนนนท์ ซึ่งก็ทำให้ป้าดีใจมาก เพราะจะมีที่อยู่ใหม่แล้ว แต่เรื่องมันไม่จบลงง่ายอย่างนั้นหรอก เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวป้ามีเงินอยู่แค่ 3,000 กว่าบาทเท่านั้น ยังขาดอยู่ประมาณ 9,000 บาท ถึงจะซื้อที่ดินแปลงนี้ได้
และด้วยความที่ป้าแกคุ้นเคยกับหลวงปู่ แกก็เลยหอบความหวังอย่างเปี่ยมล้นมุ่งตรงไปวัดปากน้ำ เพื่อไปขอยืมเงินหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบว่า “อาตมาจะไปเอาเงินมาจากไหน..”
พอได้ฟังหลวงปู่พูดอย่างนี้..ป้าแกก็เลยเข้าใจไปว่าหลวงปู่ไม่ยอมช่วย ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยพอใจรีบเดินกลับไปยังท่าเรือ เพื่อพายเรือกลับบ้าน และขณะที่แกกำลังเดินไปที่ท่าเรือนั้นเอง หลวงปู่ท่านก็พูดขึ้นมาดัง ๆ ว่า “ฝรั่งที่บ้าน เอ็งก็เอาน้ำไปรดเข้าสิ จะได้เก็บมาขาย มีเงินพอซื้อที่ดิน”
แต่ป้าแกไม่เชื่อหลวงปู่ เพราะตอนนั้นแกรู้สึกแต่ว่า หลวงปู่ไม่ยอมช่วย ดังนั้นตอนพายเรือกลับบ้าน ป้าก็คิดไปตลอดทางว่า “ในเมื่อหลวงปู่เป็นที่พึ่งให้ไม่ได้..ก็ต้องพึ่งตัวเอง” และด้วยความไม่พอใจนี้เอง พอกลับมาถึงบ้าน แทนที่จะเอาน้ำไปรดต้นฝรั่งทั้งหมดอย่างที่หลวงปู่บอก แกก็เอาน้ำไปรดต้นฝรั่งแค่ 6 ต้น เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่สวนฝรั่งของป้าแกมีพื้นที่มากถึง 5 ไร่เศษ
และพอรดน้ำเสร็จ แกก็ไม่สนใจไยดีอะไรทั้งนั้น แต่พอรุ่งเช้าเท่านั้นเอง!!! ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น คือ ต้นฝรั่ง 6 ต้น ที่เมื่อวานป้าแกรดน้ำเอาไว้ มันเกิดเป็นอะไรไปไม่รู้ คือ อะเลิร์ตออกลูกเต็มต้นไปหมด อีกทั้งแต่ละลูกยังใหญ่กว่าฝรั่งปกติ และยังมีสีเขียวอ่อนดูหวานกรอบน่ากินมาก ซึ่งเมื่อป้าแกเห็นดังนั้น ก็ดีอกดีใจ รีบตะโกนเรียกลูกชายและสามีให้มาช่วยกันเก็บไปขายที่ตลาด ส่วนป้าแกก็รีบจัดแจงเอาน้ำมารดต้นฝรั่งต่อจนหมดทั้งสวน แต่คราวนี้รดใหญ่เลย
และพอรดเสร็จวันรุ่งขึ้น..ฝรั่งทุกต้นมันพร้อมใจกันออกลูกแบบพึ่บพั่บ จนมองไปทางไหนก็มีแต่ฝรั่งลูกอ้วน ๆ โต ๆ เต็มไปหมดสุดลูกหูลูกตาทั้งพื้นที่ 5 ไร่เศษ จนเก็บไปขายกันไม่ทัน คือ ทุกคนในครอบครัว ต้องช่วยกันเดินแบกเข่งฝรั่งลงเรือเพื่อเอาไปขายหลายรอบมาก คือ เดินเก็บ..เดินแบกกันจนเท้าบวม ซึ่งตรงนี้..เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ๆ ว่าเป็นไปได้อย่างไร ที่ปุ๋ยก็ไม่ได้ใส่ ยาเร่งผลก็ไม่ได้ฉีด ดินก็ไม่ได้พรวน เวลาก็ไม่ต้องรอ แถมไม่ต้องตัดต่อพันธุกรรม หรือใช้เทคโนโลยีนาโนอะไรทั้งนั้น แต่ฝรั่งกลับออกเอา ๆ
และที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้นก็คือ พอนำฝรั่งไปขายที่ปากคลองตลาด เข่งฝรั่งยังไม่ทันวางเลย คนก็แย่งกันมารุมซื้อ ขายดิบขายดีเป็น
เทน้ำเทท่า และภายในไม่กี่วัน ป้าแกก็มีเงินซื้อที่ดินแปลงใหม่ได้ แถมยังมีเงินเหลืออีก 3,000 กว่าบาทเป็นอัศจรรย์..
แต่หลังจากที่ป้าแกซื้อที่ดินแล้ว ปัญหาใหม่ก็ตามมาอีก คือ มีแต่ที่ดินเปล่า แต่ไม่มีบ้านจะอยู่ ป้าแกก็เลยต้องการปลูกบ้าน แต่เงินที่เหลืออยู่ไม่พอปลูก ด้วยเหตุนี้..ป้าจึงรีบกลับไปหาหลวงปู่ใหม่ ซึ่งคราวนี้หลวงปู่บอกว่า “ผักหลังบ้านเอ็ง..เอาน้ำไปรดเข้าสิ แล้วก็เก็บไปขาย จะได้มีเงินพอปลูกบ้าน
ซึ่งป้าแกคิดในใจว่า “ผักหลังบ้าน..มันตายจะหมดอยู่แล้ว เพราะร้อยวันพันปีก็ไม่เคยดูแลมัน” แต่ครั้งนี้..ป้าแกไม่เอ๊ะอ๊ะ.. อิดออด หรือรอช้าเหมือนครั้งก่อน แต่กลับอะเลิร์ตกระวีกระวาดรีบกลับไปรดน้ำผักกาดขาวหลังบ้าน
ทันทีที่ป้าแกรดน้ำลงไปเท่านั้นเอง..ก็ต้องตกใจแบบสุดขีดเพราะจู่ ๆ พอรดน้ำลงไป..ผักมันงอกขึ้นมาแบบฉับพลันกะทันหัน แถมยังแย่งกันชูใบขยายใหญ่อย่างกับผีหลอกกลางวันแสก ๆ คือ หัวผักกาดมันโผล่ขึ้นมาทั้งหัวเลย จนป้าแกรีบตะโกนเรียกสามีเสียงหลงว่า.. “ เตี่ยตี๋ ๆ มึงมาดู..มึงมาดู..ผีมันหลอกกู กูไม่กล้าดูแล้ว มึงออกมาดูให้กูหน่อย”
ซึ่งขณะที่ตะโกน..ก็เหมือนยิ่งตะโกนยิ่งยุ คือ ผักมันงอก..ผุดกันพึ่บพั่บแน่นแปลงไปหมดเลย และในที่สุดป้าและครอบครัวก็ช่วยกันเก็บผักไปขาย จนมีเงินมากพอสำหรับปลูกบ้านราคา 8,000 บาท (ราคาเมื่อ 75 ปีที่แล้ว) ได้สำเร็จแป็นอัศจรรย์จริง ๆ ...
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ