พลังแห่งศูนย์กลางกาย

วันที่ 06 ตค. พ.ศ.2559

พลังแห่งศูนย์กลางกาย,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน

 

พลังแห่งศูนย์กลางกาย

ประมาณกลางเดือนธันวาคม ๒๕๓๐ ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปบรรยายธรรมที่ห้องประชุมกระทรวงมหาดไทย ข้าพเจ้ากระทำเหมือนทุกครั้ง คือ เวลาบรรยายก็พยายามเอาใจจรดไว้ที่ศูนย์กลางกายแล้วบรรยายไปตามความคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น ไม่เคยมีการร่างคำพูดไว้ล่วงหน้า วันนั้นบรรยายธรรมอยู่ประมาณ ๓ ชั่วโมง  หลังจากเลิกแล้วมีผู้ฟังสองท่าน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง พูดกับข้าพเจ้าว่าขณะที่เขาฟังข้าพเจ้าพูดนั้น เขาเห็นร่างกายของข้าพเจ้าเปลี่ยนไป ไม่ใช่เป็นลักษณะแม่ชีสูงอายุที่เห็นกันอยู่นี่ แต่เป็นลักษณะคล้ายผู้ชายหน้าตาดี ผิวพรรณมีสง่าราศี

 

ข้าพเจ้าฟังเพียงแค่นั้นรีบชวนเขาเปลี่ยนเรื่องพูดทันที เพราะใจไปคิดเอาว่า...นี่เรากำลังจะเจอคนเพี้ยนอยู่รึเปล่านะ น่ากลัวจะเป็นพวกชอบเรื่องทรงเจ้าเข้าผี จะมาเหมาเอาว่าเทพองค์โน้นองค์นี้มาสิงร่างเราให้พูดสอนคนละก็ เดี๋ยวยุ่งกันใหญ่.... ข้าพเจ้านึกเพี้ยนไปดังนั้นเสียเอง

ต่อมาในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ มีสมาชิกผู้เคยฟังการบรรยายธรรมจากข้าพเจ้า ขอร้องให้ช่วยพูดนำทางบิดาซึ่งกำลังป่วยหนักใกล้ตาย ข้าพเจ้าเห็นเป็นคนคุ้นเคยกันอยู่ จึงบอกให้คนเจ็บนึกถึงบุญกุศลที่ได้เคยทำบุญทอดผ้าป่าปลูกต้นกัลปพฤกษ์ไว้ที่วัดพระธรรมกาย โดยบรรยายถึงความสวยงามของต้นกัลปพฤกษ์เวลามีดอก ขณะบรรยายข้าพเจ้าก็นึกไปที่ศูนย์กลางกาย เหมือนเวลาบรรยายตามที่ต่างๆ ภรรยาของคนป่วยได้เล่าให้ลูกสาวฟังว่า เขามองเห็นภาพต่างๆ ที่ข้าพเจ้าบรรยาย เกิดขึ้นที่ฝาผนังเบื้องหลังข้าพเจ้าเหมือนดูภาพยนตร์

 

ครั้งหลังสุด ตอนปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๑ สมาชิกผู้หนึ่งที่ชอบมาฟังธรรมและปฏิบัติธรรมทุกวันพุธที่กระทรวงเกษตรฯ แต่ไม่ใช่ข้าราชการที่นั้น เป็นข้าราชการอยู่แถวสี่แยกคอกวัว ได้บอกข้าพเจ้าว่าวันพุธที่ผ่านมา ขณะเขากำลังฟังการบรรยายธรรมของข้าพเจ้าอย่างเพลิดเพลิน เขาเห็นหน้าตาของข้าพเจ้าค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจนเป็นคนละคน จมูกโด่งขึ้น รูปหน้าและผิวพรรณเปลี่ยนเป็นสวยงามผุดผ่อง เดี๋ยวเห็นเหมือนคนเดิม เดี๋ยวเห็นเป็นคนใหม่ กลับไปกลับมา ผลที่สุดเจ้าตัวก็สงสัยว่า ตนเองคงมีอาการทางประสาททำให้เกิดภาพหลอกหลอนทางสายตา

เมื่อประมวลเหตุการณ์ต่างๆ มาได้เรื่องดังนี้ ข้าพเจ้าจึงได้อธิบายกับเขาว่า


ป้าคิดว่า หนูไม่ได้เป็นโรคประสาทอะไรหรอก เพราะป้าจำได้ว่ามีคนพูดกับป้าทำนองนี้มาแล้ว ในความคิดเห็นของป้าอาจเป็นเพราะจิตของคุณหรือคนที่เห็นภาพป้าผิดไปจากคนอื่นๆ เป็นจิตที่สงบอยู่ในอารมณ์เดียว คือตั้งใจแน่วแน่ในการฟังธรรม จิตจึงตกลงสู่ศูนย์กลางกายโดยบังเอิญ ทำให้ตานอกตาในทะลุถึงกัน สามารถมองเห็นได้เป็นอัศจรรย์ เวลาที่ป้าบรรยายธรรม ป้ามักใช้ใจนิ่งอยู่ในศูนย์กลางกลาย ความรู้อะไรเกิดขึ้นก็พูดไปตามนั้น ใจของป้าตอนกำลังพูดเป็นใจที่อยู่ในระดับความผ่องใส กว่าใจในกายมนุษย์ธรรมดา เรียกว่า เป็นใจของกายที่ดีกว่ากายแก่ๆ กายนี้ เมื่อจิตคุณตกศูนย์โดยบังเอิญจึงสามารถมองเห็นได้

 

ข้าพเจ้าพยายามอธิบาย ทำให้ผู้ฟังสบายใจ หายข้องใจอาการของตนเองที่เขาไม่สบายใจ เพราะเมื่อเกิดอาการเห็นภาพผิดไปเขาได้ถามคนนั่งข้างๆ ด้วยว่า เห็นเหมือนเขาหรือไม่ มีแต่ผู้ตอบว่าไม่เห็นมีอะไรผิดไป จึงทำให้รู้สึกกลุ้มใจไปหลายวัน เมื่อได้ฟังคำอธิบายจึงได้เข้าใจ

 

นอกจากนั้น ข้าพเจ้าเคยทดลองอำนาจของศูนย์กลางกายอีก ๒-๓ เรื่อง ได้รับผลตามต้องการอย่างประหลาดอัศจรรย์ ชนิดไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้ วิธีทำก็คือ ทำใจนิ่งลงไปให้ผ่องใสสว่างไสวอยู่ในศูนย์กลางกาย จากนั้นก็นึกอธิษฐานสิ่งที่ปรารถนาไว้ในใจในยามนั้น ยิ่งทำซ้ำเรื่องเดียวนั้นบ่อยๆ ความปรารถนามักกลายเป็นเรื่องจริงได้อย่างรวดเร็ว บางทีเกิดได้ภายในวันเดียวกันนั้นเอง ถ้าเป็นเรื่องยุ่งยากต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนหลายคน อาจจะใช้เวลาหลายวันหรือบางทีก็เป็นเดือนเป็นปีไปบ้างแต่ก็สำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น

เรื่องปรารถนารับประทานผลไม้ชนิดหนึ่งผิดฤดูกาล นึกถึงในตอน ๔ โมงเช้า บ่าย ๔ โมง มีผู้นำมาฝากจากพัทยา

เรื่องต้องการให้มีคนดีๆ มาขอเช่าบ้าน นึกถึงเวลา ๔ ทุ่ม ตี ๕ ครึ่งได้พบตัว

เรื่องขายที่ดิน นึกถึงแล้วอีก ๒ วัน มีผู้มาติดต่อโดยไม่เกี่ยงราคา

เรื่องต้องการหาเงินถวายพระเป็นธรรมทาน ๗ แสน ใช้เวลา ๑ เดือน

เรื่องต้องการมีทุนไม่ต่ำกว่า ๓ แสนบาท ให้เป็นประเดิมการตั้งกองกฐินให้คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ใช้เวลา ๘ เดือน ดังนี้เป็นต้น

 

แต่ที่เห็นประโยชน์ชัดเจนและโดยตรง คือ เมื่อใจมีความเศร้าหมองใดๆ เกิดขึ้น เมื่อคิดนิ่งแน่วลงไปที่ศูนย์กลางกาย ทำอาการประดุจวิ่งลึกลงไปมากเข้าๆ ตรงกลางนั้นวิ่งเข้าไปได้โดยไม่มีที่สิ้นสุดสภาพของใจจะสะอาด สุกใสสว่างไสวยิ่งขึ้นๆ ความรู้สึกเศร้าหมองด้วยอารมณ์ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ที่กลุ้มรุมห่อหุ้มก็จะคลายออกๆ จนในที่สุดก็สูญสิ้นไป ข้อสำคัญเพียงแต่ว่า พอมีสติรู้ตัวว่าจิตใจกำลังถูกกิเลสห่อหุ้มอีกแล้ว ต้องไม่ชักช้า รีบจัดการกำจัดด้วยภาวนามยปัญญานั้นทันที

 

หรือถ้าให้ดีก็ควรทำใจให้อยู่ในศูนย์กลางกายดังนั้นตลอดเวลา ไม่ต้องรอให้กิเลสใดๆ ย่างกรายมาก่อน ก็จะเป็นวิธีป้องกันและกำจัดอย่างดีที่สุด ยิ่งถ้าปฏิบัติได้ชำนาญมากเข้าๆ จิตใจย่อมผ่องใสบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน จะได้ความรู้สึกเป็นอิสระ สิ้นทุกข์หมดความหมายในตัวตนและความยึดถือในสิ่งทั้งปวง เป็นผู้อยู่เหนือโลก พ้นจากวัฏสงสารได้ในที่สุด

 

จะเข้าถึงสภาพดังนี้ได้ ก็ด้วยอานุภาพการเข้าถึงศูนย์กลางกายเป็นเบื้องต้นนั่นเอง

 

Cr. อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล

จากความทรงจำ เล่ม1

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.025727880001068 Mins