ชื่อนั้นสำคัญจริงๆ

วันที่ 10 พย. พ.ศ.2559

ชื่อนั้นสำคัญจริงๆ,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน

 

 

ชื่อนั้นสำคัญจริงๆ

 

หากจะมีใครมาบอกว่า “ชื่อนั้นสําคัญไฉน” ก็คงหมายความว่า ใครจะชื่ออะไรไม่สําคัญ ขอให้ทําความดีให้เต็มที่เถอะเป็นได้ดีเอง คิดอย่างนี้ก็ถูกอยู่หรอก ข้าพเจ้าไม่เถียง ข้าพเจ้าเองก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปหลายสิบปีจนย่างเข้าสู่วัยชราอยู่ขณะนี้พอลองคิดทวนความทรงจําดู สําหรับชีวิตข้าพเจ้าดูเหมือนชื่อมีความสําคัญต่อข้าพเจ้าเสียจริงๆ สําคัญมาตั้งแต่ต้นทุกวัยทีเดียว ราวกับถูกกําหนดชะตาให้มาใช้ชื่อนี้ แล้วก็เป็นเรื่องแปลก เมื่อมาพบกลุ่มบุคคลผู้ร่วมกันสร้างวัดพระธรรมกายมาแต่ต้น ชื่อของทุกคนก็ช่างมีความหมายต่องานพระศาสนา งานสร้างบารมีของเราเป็นที่น่าอัศจรรย์

ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูหน่อยนะคะ

คุณยายอาจารย์ “จันทร์” พระจันทร์นั้นให้ทั้งความสว่างไสวและความเย็นอกเย็นใจ คุณยายท่านมีสองสิ่งนี้จริงๆ ให้ความสว่างทางธรรมแก่เหล่าศิษย์ ยังให้ความเย็นอกเย็นใจเมื่อได้รับคําปลอบโยนจากท่าน ใครมีทุกข์ให้หนักหนาสาหัสแค่ไหน คุณยายพูดไม่กี่ประโยคก็เหมือนมีน้ำทิพย์ราดรดชโลมใจ

พระเดชพระคุณหลวงพ่อ “ธัมมชโย” ผู้มีชัยชนะในธรรม ความหมายตรงตัวเถียงไม่ได้ แม้แต่จะเอาชื่อเดิมของท่านคือ ไชยบูลย์ ซึ่งหมายถึงเพิ่มพูนด้วยความชนะ ก็เหมาะต่อคุณสมบัติของท่านครบอยู่แล้ว

พระเดชพระคุณหลวงพ่อ “ทัตตชีโว” ผู้ให้ชีวิต ผู้อุทิศชีวิตให้พระพุทธศาสนาชื่อเดิมว่า เผด็จ แปลว่า ตัด ขจัด ขาด ปราบ ล้วนแต่ใช้ชีวิตสมชื่อท่านมาตลอด ตัดความสุขทางโลกีย์ ปราบกิเลส ขาดออกจากชีวิตครองเรือนเด็ดขาด

ไม่ว่าจะเป็นชื่อเดิมหรือฉายาของหลวงพี่ในวัดอีกกี่องค์ ถ้าลองเอามานึกดูก็จะเห็นเป็นเรื่องแปลก เพราะล้วนแต่พอเหมาะพอสมรวมทั้งชื่อข้าพเจ้า “ถวิล” แปลว่า คิด ก็ช่างคิดเรื่อยมา คุณยายอาจารย์ท่าน ปรารถนาสร้างวัด ข้าพเจ้าก็คิดหาที่ดิน ได้ที่มาแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ให้หาเงินมาสร้างวัด ก็คิดเขียนหนังสือ “เดินไปสู่ความสุข” ใช้ให้หนังสือตามผู้คนมาช่วยกันสร้างวัด ทุกวันนี้ก็ยังต้องคิดเขียนหนังสือที่ท่านกําลังหยิบอ่านอยู่นี่ไง เขียนแล้วขายได้เงินมาช่วยกิจการพระศาสนา คงจะต้องคิดอะไรๆ ต่ออะไรเรื่อยไปจนละโลกนั่นแหละ

ท่านผู้อ่านลองสํารวจชื่อตัวท่านเองดูบ้างสิ มีความหมายต่อชีวิต หรือทําชีวิตให้มีความหมายสมชื่อบ้างหรือเปล่า อย่าให้ชื่อสุขแต่ทุกข์แทบตาย ชื่อฉลาดแต่โง่เหลือหลาย ทีนี้จะวกมาพูดเรื่องชื่อข้าพเจ้าอีกว่า ทําไมจึงมีความหมายต่อชีวิตข้าพเจ้าเหลือเกิน ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง

ชื่อ “ถวิล” นี้น้าสาวซึ่งเป็นน้องคนเล็กของแม่เป็นคนขอตั้งชื่อให้ด้วยความเห่อหลาน เป็นหลานผู้หญิงคนแรก น้าไม่ได้เรียนหนังสืออยู่บ้านในป่า ชื่อ “ถวิล” นี่ก็ถือว่าโก้แล้ว ดีกว่า จุก ดํา แดง เปีย อ้วน หมา ไก่ กุ้ง ฯลฯ ที่นิยมเรียกกันอยู่ทั้งหมู่บ้าน ในวัยเด็กที่เล่าไว้หลายตอน ใครๆ ก็เรียกข้าพเจ้าว่าหนูหวิน มีคนจีนคนหนึ่งเรียกไม่ได้อยู่คนเดียว ต้องเรียกพิเศษต่างจากคนอื่นออกไปว่า “อาซู้หลิง”

พอข้าพเจ้าอายุได้ ๑๐ ขวบ รัฐบาลสมัยนั้นขอให้ประชาชนเปลี่ยนชื่อให้ตรงกับเพศ เขาว่าชื่อข้าพเจ้าเป็นชื่อของผู้ชาย พ่อมีธุระต้องไปที่ว่าการอําเภอ จึงไปเปลี่ยนชื่อให้ข้าพเจ้าใหม่ด้วย พ่อเดินไปตามทางรถไฟ ๑๒ กิโลเมตร เดินกลับอีกเท่ากัน สมัยนั้นไม่มีรถโดยสาร รถจักรยานก็เพิ่งมีขายราคาแพงมากเกินฐานะของพ่อ พ่อจึงต้องเดินด้วยเท้ากลับมาถึงบ้านเป็นเวลาบ่าย แดดร้อนจัด ข้าพเจ้าวิ่งไปรับหน้าเหมือนเช่นเคย เพราะรู้ว่าถ้าพ่อไปไหนมา ผ่านที่มีขนมขายแล้วจะต้องซื้อมาฝากทุกครั้ง

วันนี้ข้าพเจ้าได้ทองหยอดหนึ่งห่อ มีอยู่ ๑๐ เม็ดใหญ่ๆ คงห่อละ ๑ สตางค์ คว้ามาได้ข้าพเจ้าแทบลืมขอบคุณ รีบดึงไม้กลัดที่เสียบใบเตยออก ใช้ไม้กลัดจิ้มทองหยอดใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ปากก็พูดว่า

“พ่อจ๋า ขนมเนี่ยอร่อยจริง หนูกินหมดเลยนะ

แม้ใบหน้าของพ่อจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ท่านก็อมยิ้มพยักหน้าแสดงความสุขความพอใจที่เห็นลูกกินอย่างอร่อย ความจริงข้าพเจ้าก็เห็นท่านกลืนน้ำลายอยู่เหมือนกัน แล้วเดินไปที่ตุ่มน้ำฝนตักขึ้นมาขันใหญ่ค่อยๆ ดื่มจนหมดขัน

มานึกได้เอาตอนนี้ เมื่อไม่มีพ่อเสียแล้ว พ่อเห็นข้าพเจ้ากิน ท่านก็คงนึกอยากกิน ทําไมนะตอนนั้นข้าพเจ้าคิดไม่ออก น่าจะแบ่งไว้ให้ท่านบ้าง กลับกินเสียจนหมด ขนมก็มีเพียงห่อเดียว ทั้งพ่อทั้งแม่อดกิน ข้าพเจ้ากลับไพล่ไปคิดว่า ขนมนี่มีไว้ให้เด็กๆ กิน คนใหญ่ไม่มีใครชอบกินกันหรอก มาเข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่เอาก็ตอนที่ข้าพเจ้าเป็นแม่คน โธ่เอ๋ย เค้กก้อนนี้เราก็อยากกินจะแย่ ถ้าพ่อแม่อยู่ก็จะให้ท่านรับประทานก่อน ต่อจากนั้นก็ลูกๆ ถ้ามีเหลือจึงจะถึงข้าพเจ้าและสามี ถึงจะอยากกินแค่ไหน แต่ถ้าจะหมดเสียก่อนก็ไม่รู้สึกขุ่นเคืองอย่างใด กลับดีใจที่คนที่เรารักกินอร่อย 

พ่อดูข้าพเจ้ากินขนมจนหมดห่อ ท่านพูดว่า

“อร่อยมั้ยลูก วันนี้พ่อไปที่อําเภอมาเลยถือโอกาสเปลี่ยนชื่อลูกให้เป็นชื่อผู้หญิงเสียหน่อย นี่ไงพ่อเปลี่ยนมาให้แล้ว” พ่อพูดพร้อมกับหยิบแผ่นกระดาษเปลี่ยนชื่อส่งให้ข้าพเจ้าดู

ข้าพเจ้าตกตลึงยืนนิ่งด้วยความตกใจ ความรู้สึกชนิดแรกที่เกิดขึ้น คือความรู้สึกเสียดายชื่อเดิมของตนเองจับใจ เราใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่เกิด ชื่อนี้เป็นของเรา พ่อมาเอาทิ้งไปได้ยังไง ทําไมไม่บอกกันก่อน พอตั้งสติได้ทัน ข้าพเจ้าจึงแข็งใจถามพ่อว่า

“พ่อตั้งชื่อใหม่หนูว่าอะไร”

“ชื่อสุภาพจ้ะลูก พ่อว่ามันเพราะดี ความหมายก็ดีออกนะ”

เสียงพ่อตอบชัดเจน “ชื่อสุภาพ” ข้าพเจ้าทวนคํา รู้สึกมึนศีรษะขึ้นมาทันทีด้วยความผิดหวังเป็นที่สุด ส่งเสียงเถียงออกไปทันที

“หนูไม่เอา! หนูไม่เอา! ชื่อนี้หนูไม่ชอบ หนูไม่ชอบ ทําไมพ่อไม่ถามหนูก่อน!”

ข้าพเจ้าส่งเสียงคัดค้าน เพราะนึกไปถึงเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยรู้จัก ปีที่ผ่านมาสมัยหนีภัยสงครามไปเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจําอําเภอแห่งหนึ่ง เด็กคนนั้นชื่อสุภาพ แต่อุปนิสัยไม่สุภาพเลย ปากจัดไวไฟ แถมมีอายุเพียง ๑๒ ปี ก็ทําตัวเหมือนเป็นสาว พูดจาล้อเลียนเล่นหัวกับนักเรียนชาย มีกิริยาอาการที่เรียกว่า “แก่แดด ดัดจริต” ใครๆ ในห้องเรียนไม่มีชอบเด็กคนนี้สักคน กระทั่งครูประจําชั้นก็ไม่ชอบ ต้องดุกันอยู่เรื่อย ข้าพเจ้าจะชื่อเดียวกับเด็กคนนั้นได้อย่างไรกัน ยิ่งนึกก็ยิ่งไม่ถูกใจ แหมเราเกลียดคนชื่อนี้ จะให้ชื่อเหมือนกันได้ยังไง หัวเด็ดตีนขาดต้องเถียงพ่อให้เต็มที่

“พ่อกลับไปอําเภอใหม่ หนูไม่เอาชื่อนี้ หนูไม่ชอบ หนูไม่ยอม! ไม่ยอม!”

“ไม่ได้ลูกต้องชื่อสุภาพ นี่เจ้าหน้าที่ที่อําเภอหลายคนช่วยกันตั้งชื่อหนูอยู่ตั้งนาน แล้วก็เปลี่ยนเสร็จแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ อําเภอไม่ใช่อยู่ใกล้ๆ นี่ลูก”

พ่อชี้แจง ใบหน้าของพ่อซีดสลดแสดงความเสียใจและผิดหวัง พ่อคงคิดว่าข้าพเจ้าจะดีใจ พ่ออุตส่าห์ทําให้แปลกใจถึงขนาดนี้ แต่ข้าพเจ้ากลับแผดเสียงดัง

“ม่..า..ย อ..า..ว หนูไม่เอา พ่อเอาชื่อไปคืนอําเภอ หนูไม่ยอมชื่อสุภาพ”

“ลูกไม่ชอบชื่อนี้เพราะเหตุอะไร ทําไมเป็นเด็กไม่มีเหตุผลไปได้อีลูกนี่ดื้อนัก เสียงพ่อดุดันขึ้นมา

“หนูไม่ชื่อสุภาพ หนูไม่ชอบ พ่อเอาไปคืน พ่อเอาไปคืน!

ส่งเสียงดังหนักขึ้น ไม่ยอมบอกพ่อว่าสาเหตุเป็นเพราะเกลียดเพื่อนคนที่ชื่อเดียวกันนี้ บอกไปพ่อจะยิ่งตําหนิว่าเป็นคนไม่มีเหตุผลหนักขึ้นไปอีก เห็นสีหน้าของพ่อ ท่านโกรธจนหน้าแดงแล้วเขียว คงเหนื่อย และผิดหวัง ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าคงเปลี่ยนชื่อกลับอย่างเดิมไม่สําเร็จ จึงร้องไห้โฮดังลั่นขึ้น พ่อคงเหลืออดเหลือทนจริงๆ ท่านกรากเข้ามาใช้มือตบหน้าข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าใบหน้าชาไปทั้งแถบ ตกใจแทบสิ้นสติ เกิดมาพ่อไม่เคยตีหรือทําร้ายอะไรข้าพเจ้าเลย มีแต่แม่เท่านั้นที่เคยตีบ้างเล็กน้อยเวลาข้าพเจ้าดื้อ ความน้อยใจพ่อข้าพเจ้ายิ่งแผดเสียงร้องดังสุดเสียงพร้อมทั้งวิ่งหนี

เสียงแม่วิ่งลงบันไดเรือน “พ่อลูกมีเรื่องอะไรกัน อ้าวลูกวิ่งหนีไปไหนนั่น...”

พ่อล้างเท้าขึ้นบันได แม่ตามขึ้นไปบนบ้าน เสียงพ่อเล่าถึงความดื้อดึงของข้าพเจ้าแว่วๆ ข้าพเจ้าย่องกลับมานอนฟังอยู่ที่กองจากใต้ถุนบ้าน ร้องไห้เงียบๆ เพลียมากเข้าเลยหลับไป

มารู้สึกตัวอีกครั้งเป็นเวลามืดสนิท เสียงแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดว่า

“ไม่เจอหรอกหรือพี่ ลูกไม่ได้หนีไปหาย่าที่ทุ่งโน้น แล้วลูกจะไปไหนล่ะ ในหมู่บ้านของเราเนี่ย ฉันออกเดินถามจนทั่วแล้ว วานผู้คนค้นกันจนหมดในรกในป่า ตามป่าไผ่ก็ไม่มี ลูกไปอยู่ไหนนี่ มืดลงตั้งนานแล้ว เราจะไปตามลูกที่ไหนกันดี...”

“พี่ก็ไปที่บ้านแม่มาแล้วนะ แม่ก็บอกว่าลูกไม่ได้ไป เฮ้อกลุ้มใจจริง” พ่อพูดกับแม่เสียงไม่สบายใจ

“แค่เรื่องชื่อเท่านั้น ลูกไม่ชอบก็เปลี่ยนกลับอย่างเดิมได้ ทําไมต้องลงไม้ลงมือ” แม่ต่อว่า

“พี่ก็ใจร้อนไปหน่อย พอดีเหนื่อยมาด้วย คิดว่าลูกจะดีใจกลับผิดหวัง แล้วแกยังไล่พี่กลับไปเปลี่ยน ทำท่าเกลียดชื่อนั่นเสียเต็มประดา แผดร้องลั่นไปหมด” พ่อรายงานขอความเห็นใจแม่

“ลูกอาจจะมีเหตุผลส่วนตัวของแกก็ได้ที่เกลียดชื่อนี้ เราต้องค่อยๆ ถามดู ชี้แจงให้แกเข้าใจ พี่ไปบังคับเอาอย่างนั้น แกไม่มีทางยอมหรอก เลี้ยงลูกมาเราก็รู้อยู่ว่าดื้อแค่ไหน”

เสียงพูดของแม่ทําให้ข้าพเจ้าใจชื้นขึ้นพอแรง เรามีคนเห็นใจแล้ว... ยิ่งได้ยินเสียงพ่อบ่นกลุ้มใจที่ลูกหาย ก็รู้ว่าพ่อรักข้าพเจ้ามากหายน้อยอกน้อยใจ... นี่ถ้าพ่อไม่รักเรา ไม่ห่วงเรา พ่อจะไปตามหาถึงบ้านย่า ที่ท้องทุ่งโน้นได้ยังไง เดินตามหัวคันนาไปกลับตั้ง ๑๒ กิโล ราวๆ นั้น ข้าพเจ้าไปเยี่ยมย่าครั้งใด เมื่อยแข้งขาแทบจะหลุด พ่อเหนื่อยจากไปอำเภอแล้วยังมาเดินข้ามทุ่ง กลับมาจนมืด

พอคิดว่า โธ่... นี่พ่อคงเมื่อยขาแย่เลย เดินตามหาเรา... ก็หายงัวเงีย โดดผลุงจากกองจาก ล้างเท้าวิ่งขึ้นบ้าน ส่งเสียงว่า

“พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูอยู่นี่ หนูอยู่นี่

แม่เช็ดน้ำตา รวบตัวข้าพเจ้าไปกอดไว้แน่น พ่อก็มาดึงตัวแย่งไปกอดบ้าง ต่างคนต่างถามว่าข้าพเจ้าไปแอบอยู่ที่ไหนกัน กิริยาของท่านทั้งสองมีแต่ความรักใคร่ห่วงใย ไม่มีความโกรธอะไรเหลืออยู่

“หนูไม่ได้แอบ หนูนอนอยู่ที่กองจากใต้ถุนบ้าน

สมัยนั้นบ้านข้าพเจ้ายังมุงหลังคาด้วยใบจาก ๓-๔ ปี จะต้องเปลี่ยนใหม่อยู่เสมอ เพราะใบจากผุ เมื่อพ่อแม่ให้ข้าพเจ้าไปชี้สถานที่นอนหลับให้ท่านดู แม่บ่นพึมพําว่า

“ตรงนี้ก็หาแล้วนี่นา ทําไมไม่เห็นลูก แล้วแม่ก็เรียก หนูเอ๊ย หนูเอ๊ย... ออกดังลั่น ลูกไม่ได้ยินเลยหรือ

“หนูหลับสนิทเลยจ้ะ มาตื่นตอนแม่ร้องไห้นี่เอง ข้าพเจ้าตอบ

ข้าพเจ้าไม่พูดถึงเรื่องเปลี่ยนชื่ออีกเลย เมื่อเข้าใจแล้วว่าพ่อรักข้าพเจ้า ถ้าชื่อใหม่เป็นชื่อที่ท่านพอใจ ข้าพเจ้าก็จะทนใช้ หลังจากแม่ถามข้าพเจ้าถึงสาเหตุที่ไม่ชอบชื่อสุภาพแล้ว วันรุ่งขึ้นพ่อก็ไปเปลี่ยนชื่อข้าพเจ้ากลับเป็นอย่างเดิม

ดูเอาเถอะ บาปกรรมที่ดื้อดึงกับพ่อ ชื่อข้าพเจ้าเป็นต้นเหตุของการทําบาปและทําบุญได้อย่างใหญ่หลวง มีเรื่องราวเกิดตามมาดังนี้

เมื่อข้าพเจ้าเข้าเรียนในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นปีแรก ฝ่ายทะเบียนของคณะจัดโต๊ะเก้าอี้นั่งเรียนตามตัวอักษรชื่อตัวต้นของนิสิต ถ้าข้าพเจ้าชื่อสุภาพคงจะได้อยู่ใกล้ๆ กับเพื่อนๆ ที่มีชื่อตัว ส. นําหน้า ซึ่งก็คงเป็นผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ แต่นี่ชื่อข้าพเจ้านําหน้าด้วยตัวอักษร ถ. คนรอบข้างเลยมีแต่เพื่อนผู้ชายหลายคน บรรดาเพื่อนเหล่านี้แทบทั้งสิ้นกําลังหลงใหลลัทธิคอมมิวนิสต์ เมื่อข้าพเจ้านั่งใกล้พวกเขาก็พอได้ยินได้ฟังไปด้วย ใจคอก็เอนเอียงคล้อยเชื่อไปตาม นี่ไงเล่าใครว่าชื่อไม่สําคัญ

ประกอบกับมีเรื่องให้เกลียดชังผู้ใหญ่ในคณะรัฐบาลอีกหลายเรื่อง เช่น เพื่อนคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ารัก ถูกพ่อแม่บังคับไปเป็นอนุภรรยาของนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น พ่อเพื่อนอีกคนหนึ่งถูกตํารวจยุคนั้นเผาทั้งเป็นๆ จนตาย รวม ๔ คน และมีเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงอีกนับไม่ถ้วนรายการ มีแต่เรื่องร้ายแรงฆ่ากันตายเหมือนผักปลา ความคิดของข้าพเจ้าจึงพลอยโอนเอียงไปตามเพื่อนๆ ผู้ชายพวกนั้น

แต่ที่ไม่ถึงกับไปร่วมขบวนการด้วย เพราะมีคําสอนที่ไม่ถูกใจของลัทธินั้นอยู่ประการหนึ่ง ที่เขาสอนกันว่า “พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ ลูกเกิดขึ้นด้วยเหตุบังเอิญ ไม่ใช่ความปรารถนาของพ่อแม่”

ถ้าข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่ไปกันคนละทาง ถูกเลี้ยงอย่างขาดแคลนตามบุญตามกรรม ข้าพเจ้าอาจจะคล้อยตามถ้อยคําเหล่านี้ แต่ครอบครัวของข้าพเจ้าอบอุ่น ยิ่งนึกย้อนหลังไปในวัยเด็ก ตั้งแต่จําความได้เป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็พบเห็นแต่ความรักความห่วงใยของท่านทั้งสองมาตลอด สิ่งดีงามเหล่านั้นที่ได้รับ ฝืนความรู้สึกยิ่งนัก ถ้าจะคิดว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณ

บาปเรื่องคิดว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณไม่เกิดแก่ข้าพเจ้า เพราะมิได้เห็นคล้อยตาม แต่บาปที่คิดว่าศาสนาเป็นยาเสพติด บาปที่คิดว่าพระภิกษุสงฆ์เป็นกาฝากสังคม แม้จะไม่แสดงออกมาทางกายทางวาจาแต่ก็คิดคล้อยตามในใจ

คงมีบุญปางก่อนตามช่วยไว้ได้ทัน ให้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระเถระรูปหนึ่งจึงสํานึกได้ เมื่อได้พบคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูงและหมู่คณะ จึงได้มีโอกาสไถ่บาปด้วยการช่วยสร้างวัดพระธรรมกายใช้หนี้แก่พระศาสนา ลงมือปฏิบัติธรรมและช่วยกิจการต่างๆ อันอยู่ในวิสัย

นี่ไง ที่ข้าพเจ้าพูดว่า ชื่อของข้าพเจ้าเป็นเหตุให้มีโอกาสทําบาปด้วย ทำบุญด้วย กลายเป็น “ชื่อนั้นสําคัญจริงๆ”

ความรักความอบอุ่นและความเสียสละของพ่อแม่ที่มีต่อลูก เป็นเสมือนเครื่องป้องกันความคิดเห็นผิดๆ ใครจะมาสั่งสอนด้วยหลักการดีวิเศษแค่ไหน พอมีคําสอนแถมท้ายอยู่ด้วยว่า “พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ” ก็จะ เชื่อถือไปลงทันที เห็นว่าเป็นคําสอนผิด พลอยให้หมดความเชื่อถือในหลักการอื่นๆ ตามไปด้วย


 

 

Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล

จากความทรงจำ เล่ม3

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.030759330590566 Mins