ผีมาเป็นเพื่อน
คนโบราณชอบกล่าวคําพังเพยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า คนดีผีคุ้ม
คําว่า คุ้ม ในที่นี้หมายถึง คุ้มครองป้องกันให้พ้นจากอันตราย ส่วน ผี ในที่นี้หมายถึง เทวดาชั้นต้นที่อยู่ใกล้ชิดกับเรา เห็นเราทําดีก็จะรู้สึกรักใคร่เอ็นดู เวลามีอันตรายก็ช่วยเหลือ
เทวดาประเภทนี้บางองค์ก็ได้รับหน้าที่มาจากเทวดาผู้ใหญ่ให้มาดูแลรักษาคนดีมีศีลธรรมผู้กําลังสร้างบารมี เวลาผู้ที่ได้รับการดูแลนั้นทำการกุศลสิ่งใดก็จะแบ่งส่วนกุศลให้เขาหรือเขาได้อนุโมทนาในกุศล กรรมเหล่านั้น ย่อมทําให้บุญของเทวดาที่ว่าเพิ่มพูนยิ่งขึ้น
เรื่องดังที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ ถ้าแม้เด็กๆ ได้เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่มีอยู่จริงเสียตั้งแต่วัยเด็ก เขาจะมีความรู้สึกอบอุ่น มีกําลังใจ บิดามารดา ผู้ปกครองจะอยู่หรือไม่อยู่ดูแลพวกเขา เขาก็จะไม่ว้าเหว่เกินไป เขาจะ รู้สึกว่าถ้าเขาทําความดีอยู่เสมอๆ แล้ว ก็จะมีเทวดาเป็นเพื่อนและจะทําให้เกลียดชังความชั่วไปโดยปริยาย เพราะเกรงว่าถ้าทําชั่วแล้วเทวดาจะไม่อยู่ด้วย จะหนีไปเสีย นี่เป็นอุบายปลูกฝังนิสัยที่ดีให้เกิดมีหิริโอตตัปปะ
ส่วนผีที่ไม่ใช่เทวดา เช่น ผีเปรต ผีอสุรกาย ผียักษ์ เป็นพวกผีมาจากคนที่ทําบาปเอาไว้นั้น เขาจะไม่สามารถช่วยดูแลรักษาคนทําความดีได้ เพราะตัวพวกเขาก็เดือดร้อนสาหัสอยู่แล้ว แต่เขาก็จะเกรงกลัวไม่กล้าทําร้ายรังแกคนดี เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาทําผิดต่อมนุษย์ดีๆ บาปของเขาจะเพิ่มพูนให้ต้องทุกข์ยากหนักขึ้นอีกในทันทีทันใดนั้นเอง
สมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นนักเรียนอยู่ในโรงเรียนประจํา ซึ่งโรงเรียนนั้นดั้งเดิมทีเดียวเป็นวังเก่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ ข้าพเจ้าพักอยู่กับเพื่อนราว ๔๐ คน ในตึกหลังที่ ๒๔ คืนหนึ่งเวลาดึกสงัด อากาศหนาวเย็น ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบาย ปวดมวนในท้องจึงลุกขึ้นไปห้องส้วม เจ้ากรรมจริงๆ มีเพื่อนเข้าอยู่ก่อนแล้ว ในตึกนอนก็มีส้วมเพียงส้วมเดียว ยืนคอยเป็นพักใหญ่เพื่อนก็ไม่ออกมา ข้าพเจ้าทนต่อไปไม่ไหวรู้สึกเหมือนปวดทั้งหนักทั้งเบา ในท้องวุ่นวายกระอักกระอ่วนไปหมด จึงจําเป็นต้องลงจากตึกเพื่อวิ่งไปเข้าส้วมกลางซึ่งเป็นส้วมแถว ๑ ห้องเรียงกัน อยู่ระหว่างตึกนอนที่ ๒๔ และ ๒๕ ห่างออกไปจากตัวตึกประมาณ ๕๐ เมตร ในเวลากลางคืนไม่มีเด็กคนใดชอบไปเพราะจะรู้สึกเงียบ เปลี่ยวและวังเวง
ความปวดท้องทําให้ลืมกลัว ข้าพเจ้าวิ่งอ้าวไปเข้าส้วม ถ่ายของเสียทั้งหนักเบาออกจนหมดตัว พอสบายท้องดีแล้ว ขณะที่กําลังนุ่งผ้าให้เรียบร้อย ความเงียบกริบทําให้เริ่มรู้สึกหวาดหวั่น จึงคิดในใจขึ้นว่า แหม นี่ถ้ามีเพื่อนมาเข้าส้วมด้วยกันสักคนก็ดีน่ะซี จะได้อุ่นใจ
ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงในห้องส้วมติดกันดังโคล้งเคล้งขึ้น เป็นเสียงเหมือนคนหยิบภาชนะที่ใช้ในส้วม คือกระป๋องอะลูมิเนียมมีด้ามถือ สําหรับตักน้ำในโอ่งเล็กๆ ราดส้วมบ้าง ล้างก้นบ้าง แล้วติดตามด้วยเสียงตักน้ำในโอ่งราดลงในส้วมอีก ๒-๓ ครั้ง
ข้าพเจ้าดีใจขึ้นมาอย่างเต็มที่ว่าเรามีเพื่อนมาเข้าส้วมด้วยจริงๆ จะเป็นเพื่อนตึกไหนก็ช่างเถอะ รู้จักกันดีอยู่ทั้ง ๒ ตึกน่ะแหละ แต่ก็สงสัยตัวเองอยู่นิดหน่อยว่า
“เอ เขามาถึงส้วมตอนไหนกัน เพราะตอนเรามาถึงประตูส้วมเปิดอยู่ทุกห้องเลย แล้วเรานั่งอยู่ในส้วมตั้งนาน เวลาใครเดินหรือวิ่งมา เราก็น่าจะได้ยินหรือถ้าตอนมาไม่ได้ยิน ตอนปิดประตูใส่กลอนก็น่าได้ยินเสียงบ้าง เพราะเป็นห้องติดกับเราแท้ๆ”
ข้าพเจ้าฉุกใจสงสัยเพียงชั่วแวบเดียวก็คิดว่า
“สงสัยเราปวดท้องมาก หูเลยอื้อ ไม่ได้ยินอะไรเลยก็เป็นได้ จะยังไงก็ช่าง มีเพื่อนมาอยู่ใกล้ๆ นี่ก็เป็นเรื่องวิเศษสุดแล้ว”
คิดแล้วข้าพเจ้าก็คอยอยู่รอจนกระทั่งเขาเปิดประตูส้วมดังแกร๊ก ข้าพเจ้าก็เปิดตามแกร๊กออกมาแทบจะพร้อมกันแล้วก็ก้าวเท้าออกมาทันที อ้าปากขึ้นเพื่อเตรียมทักทาย ก็ต้องอ้าปากค้างอยู่แค่นั้น เพราะที่หน้าส้วมทั้งแถบยาวถึง ๖ ห้องว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดเลย ว่างเงียบ มีสายลมเย็นพัดผ่านตัวข้าพเจ้าวูบหนึ่งเหมือนคนเดินผ่านอย่างเร็วๆ สมองข้าพเจ้ารายงานทันทีว่า ผีหลอก เพราะระยะทางจากตึกนอนทั้งสองมาที่ส้วมราวๆ ๕๐ เมตรนั้น ใครจะวิ่งเป็นลมพัดอย่างไรก็ต้องยังไม่ถึงตัวตึก แต่ทุกอย่างเงียบสนิท ประตูตึกทั้งสองปิด ข้าพเจ้าเป็นคนถือกุญแจตึก ๒๔ มาด้วยเพราะเป็นหัวหน้าตึก
พอรู้ตัวว่าผีหลอก แม้จะเกิดอาการเย็นวาบขึ้นในอก ข้างหลังก็เหมือนหนาวยะเยือกขึ้นมา ขาเกิดแข็งไปชั่วครู่ไม่ยอมก้าวเดิน ข้าพเจ้ารีบเรียกสติคืนมาเพราะรู้ว่าในเหตุการณ์เฉพาะหน้าอย่างนี้จะพึ่งใครไม่ได้ ต้องพึ่งตนเอง ข้าพเจ้าก้าวเดินทันทีเมื่อขายอมทํางานแล้ว เดินช้าๆ อย่างองอาจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รู้สึกคอแข็งมองตรงไปข้างหน้า ทําอย่างไรๆ ก็จะต้องไม่ยอมเหลียวหลังเป็นอันขาด ในใจเวลานั้นว่างเปล่า นี่ถ้ารู้ถึงอํานาจพระศรีรัตนตรัยอยู่บ้างในตอนนั้น ก็คงจะเจริญภาวนาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ใจก็จะมีที่พึ่ง ไม่ต้องเกร็งจนแทบหัวใจจะหยุดเต้นอย่างนั้น
กลับถึงเตียงนอน หัวใจเต้นโครมคราม หายอ่อนเพลียไม่มีง่วงเหงาเหลืออยู่เลย นอนตาค้างอยู่อีกหลายชั่วโมงจนสว่าง ครั้นรุ่งเช้าก่อนไปอาคารเรียน ขณะที่นักเรียนทั้งสองตึกต้องเข้าแถวเพื่อเดินไปรับ ประทานอาหารเช้าที่โรงอาหาร ข้าพเจ้าออกเดินถามเพื่อนในแถวทั้งสองตึกว่า เมื่อตอนดึกประมาณตีสองมีใครออกจากตึกนอนไปห้องส้วมแถวบ้าง ทุกคนปฏิเสธและพากันถามว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ควรเล่าเรื่องผีหลอกนี้ให้เพื่อนฟัง เพราะจะพากันหวาดหวั่นกลัวผี เดือดร้อนกันไปเปล่าๆ โดยเฉพาะตัวข้าพเจ้านั่นแหละจะเป็นคนเดือดร้อนที่สุดเพราะเป็นหัวหน้าตึก ใครๆ จะต้องเอาเป็นที่พึ่ง ต่อไปใครปวดท้องจะเข้าห้องส้วม คงจะต้องไปปลุกข้าพเจ้าให้ไปเป็นเพื่อน คงไม่เป็นอันหลับอันนอน จึงปฏิเสธโดยกลบเกลื่อนไปว่า
“คงเป็นยามประจําที่ต้องออกเดินตรวจ ไม่มีอะไรหรอก” ซึ่งความจริงก็ไม่มีอะไรจริงๆ คือไม่มีอะไรที่เป็นคน แต่มีอะไรที่เป็นอย่างอื่น เวลานั้นข้าพเจ้านึกเคือง ผี ผู้นั้นอยู่เหมือนกัน ทําไมต้องมาหลอกกันด้วย ฉันก็กลัวเหมือนกันนะ ต่อมาได้ยินอาจารย์สองท่านคุยกันถึงเรื่องความเป็นอยู่ของวังแห่งนี้ในอดีต จึงได้ทราบว่า ตรงสถานที่ที่สร้างส้วม แต่เดิมเป็นประตู เรียกว่า ประตูผี คือเป็นประตูที่มีไว้สําหรับให้รถบรรทุกศพของผู้คนในวังที่ถึงแก่กรรมออกทางนี้ ไม่ใช่ประตูสําหรับผู้คนเข้าออก เมื่อวังมาเปลี่ยนเป็นสถานที่ราชการ จึงได้ก่ออิฐ ถือปูนโบกปิดเสีย เมื่อเติบโตได้เรียนรู้ถึงหลักศาสนา รู้ถึงความเป็นไปของภพภูมิต่างๆ ทางปริยัติด้วย ทางปฏิบัติด้วย ทําให้ทราบว่า ผีในครั้งนั้นเขาตั้งใจเป็นเพื่อนจริงๆ เพราะข้าพเจ้านึกอยากมีเพื่อน เขาไม่ได้คิดหลอกหลอน ความรู้สึกนึกคิดของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเรา ถ้าเราถามเขาว่า ทําไมทําอย่างนั้น เขาก็จะต้องตอบว่า
“แหม หวังดีนะ เห็นอยากมีเพื่อน ก็อุตส่าห์เป็นเพื่อนให้แล้ว ยังว่าไม่ดีอีกหรือ”
นี่เป็นผีเทวดาชั้นต่ำที่สุดที่อยู่ตามพื้นดิน มีความเอ็นดูข้าพเจ้าเป็นพิเศษ
Cr. อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม1